เชิญบูชาเหรียญเสมาหลวงพ่อโสธร ยันต์เกราะเพชร ทุนการศึกษา ๒๕๕๖
(ช่วยแชร์ไปด้วยนะครับ)
พิธีพุทธาภิเษก หลวงพ่อโสธร ยันต์เกราะเพชร
วันพฤหัสบดี ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557
ได้รับความเมตตา จาก
1.พระเดชพระคุณพระพรหมเวที (สนิท ชวนปญฺโญ) เจ้าคณะหนใหญ่ตะวันออก
เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม
2.พระเดชพระคุณพระพรหมสุธี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดสระเกศ
(ประธานดับเทียนชัย)
3.หลวงพ่อท่านเจ้าคุณ พระเทพสิทธิญาณรังษี วิ. เจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม
(ประธานจุดเทียนชัย)
4.ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาพิธาน รจจ.ฉะเชิงเทรา วัดโสธรวาราม
5.หลวงพ่อนิภา วัดเจดีย์ 108 พระองค์ จ.เพชรบูรณ์
6.พระครูประโชติบุญญาภรณ์ (หลวงพ่อประทวน) เจ้าอาวาสวัดถ้ำดาวเขาแก้ว
7.พระครูสุวรรณธรรมวงศ์ เจ้าอาวาสวัดสุวรรณมาตร เจ้าคณะตำบลตลองอุดลจร
8.หลวงพ่อหล่ำ พระครูสิริธรรมรัต วัดสามัคคีธรรม ลาดพร้าว กทม.
9.พระครูภาวนาวีรคุณ วิ. (หลวงพ่อองอาจ อาภากโร) เจ้าอาวาสวัดวีระโชติฯ
****รูปภาพ ๒๐ ก.พ. ๕๗ ก่อนเริ่มพิธีพุทธาภิเษก ดูได้ที่นี่
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.611038682304074.1073741959.382171541857457&type=3
****รูปภาพ๒๐ ก.พ. ๕๗ พิธีพุทธาภิเษก ดูได้ที่นี่
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.611042135637062.1073741960.382171541857457&type=3
เปิดสั่งจองและบูชา
เหรียญเสมา หลวงพ่อพุทธโสธร ยันต์เกราะเพชร
ย้อนยุคปีพ.ศ.2509
พระครูภาวนาวีรคุณ วิ. สร้างถวายวัดโสธรวราราม,วิทยาลัยสงฆ์
สมทบทุน : กองทุนการศึกษา เพื่อระดมทุนเข้ากองทุนฯ
ชมรมคณะพุทธศาสตร์ วิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ฉะเชิงเทรา รุ่นที่ 60 และรุ่นที่ 1 ก่อตั้งชมรมคณะพุทธศาสตร์
พิธีพุทธาภิเษก
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๗ เวลา ๑๙.๐๙ น.
ณ วิหารแก้วพระราชพรหมยาน วัดวีระโชติธรรมาราม ฉะเชิงเทรา
สั่งจองได้ 2 แบบ ดังนี้
1.เนื้อเงินลงยาร้อน 2,000 บาท จำนวนสร้างตามจอง
2.เนื้อทองเหลืองลงยาร้อน สร้างจำนวน 999 องค์
ลงยาร้อน สีชมพู 499 บาท (สีประจำ มจร.)
ลงยาร้อน สามสี 499 บาท (สีแดง เหลือง น้ำเงิน)
ลงยาร้อน สีเหลือง 299 บาท
ลงยาร้อน สีน้ำเงิน 299 บาท
ลงยาร้อน สีเขียว 299 บาท
ลงยาร้อน สีแดง 299 บาท
***ชุดพิเศษ 1 ชุดกรรมการ 5 องค์ ชุดละ 1,999 บาท
1.ลงยาร้อน 3 กษัตริย์ (ไม่มีจำหน่าย)
2.ลงยาร้อนสีเหลือง
3.ลงยาร้อนสีแดง
4.ลงยาร้อนสีเขียว
5.ลงยาร้อนสีน้ำเงิน
***ชุดพิเศษ 2 ชุดกรรมการ 5 องค์ ชุดละ 1,499 บาท
1.ลงยาร้อนสีชมพู (สีประจำ มจร.)
2.ลงยาร้อนสีเหลือง
3.ลงยาร้อนสีแดง
4.ลงยาร้อนสีเขียว
5.ลงยาร้อนสีน้ำเงิน
ติดต่อสอบถามได้ที่
1. พระครูสุภาจารโสภิต เจ้าอาวาสวัดใหม่คูมอญ โทร. 089 744 1259
2. พระมหาวินัย โฆสนาโม รองเจ้าอาวาสวัดสุวรรณมาตร โทร.089 549 4610,086 895 6649
3. พระครูปลัดเฉลิมพล สุเมโธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดวีระโชติฯ โทร. 087 922 4888
จองและบูชา สามารถแจ้งได้ที่กล่องข้อความ https://www.facebook.com/pages/ชมรมพุทธศาสตร์-วิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร-๒๕๕๖/173676142796962?sk=messages_inbox
วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557
หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม เรื่องพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
ตอบปัญหาธรรม เรื่องพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านต้องบำเพ็ญบารมีนานไหมค รับ จึงจะตรัสรู้ได้....?
หลวงพ่อ : พระปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญบารมีเท่ากับพระอ ัครสาวก คือ ๒ อสงไขยกับแสนกัป
ผู้ถาม : ท่านตรัสรู้เองใช่ไหมครับ.. ...?
หลวงพ่อ : ใช่ ลงคำว่า พุทธเจ้า ต้องตรัสรู้เอง คือไม่ต้องรับคำสอนจากคนอื่ น
ผู้ถาม : มีเฉพาะตอนที่มีพระพุทธเจ้า ใช่ไหมครับ....?
หลวงพ่อ : เจ๊ง...พระปัจเจกพระพุทธเจ้ าจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อว่างจาก พระพุทธเจ้า ไม่ใช่มีพร้อมพระพุทธเจ้า อย่างศาสนานี้สิ้นไป ในช่วงว่างก่อนจะถึงพระศรีอ าริย์ ในช่วงนี้มีพระปัจเจกพระพุท ธเจ้า สมัยพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเว ลานี้ก็ไม่มีสาวก ก็มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั ้งหมด เพราะปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้บ รรลุเพียงองค์เดียวอย่างพระ พุทธเจ้า ก็มีได้เป็นหมื่นเป็นแสน แต่พระพุทธเจ้าจะต้องมีองค์ เดียว มีซ้อนไม่ได้
ผู้ถาม : แล้วทำไมพระปัจเจกพระพุทธเจ ้าเมื่อท่านตรัสรู้แล้วจึงไ ม่สอนเหมือนกับพระพุทธเจ้าค รับ....?
หลวงพ่อ : เกิดทันรึ...รู้เหรอว่าท่าน ไม่สอน เคยพบหรือเปล่า....?
ผู้ถาม : ?....?....?
หลวงพ่อ : ท่านสอน จะว่าไม่สอนเลยนั้นไม่ใช่ แต่ว่าไม่สอนถึงอริยสัจ ถ้าไปศึกษากับท่าน ท่านก็สอนแค่อภิญญาโลกีย์ ส่วนที่ตัดเข้าถึงมรรคผลนั้ นเป็นเรื่องของบุคคลนั้นเอง ปัจเจก เขาแปลว่า รู้เฉพาะตน ความจริง คำว่า "เฉพาะ" ก็มีเฉพาะส่วนที่เป็นอริยสั จเท่านั้นเองนะ
ผู้ถาม : ถ้าอย่างนั้นพระปัจเจกพระพุ ทธเจ้าก็รู้หมดทุกอย่างใช่ไ หมครับ....?
หลวงพ่อ : รู้หมด....พระสัมมาสัมพุทธเ จ้าซิ รู้ไม่หมด
ผู้ถาม : อ้าว...ทำไมยังงั้นล่ะครับ
หลวงพ่อ : ถ้าถามปัญหาพระพุทธเจ้า ท่านรู้ทุกอย่าง รู้ไม่หมดสักที พระปัจเจกพระพุทธเจ้าถามไปถ ามมา...หมด นี่เขา เรียกว่า รู้หมด
ผู้ถาม : อ๋อ...แหมศัพท์ภาษาไทยนี่ไม ่รู้เรื่อง อยู่ห่างวัดเป็นอย่างนี้
หลวงพ่อ : เป็นอันว่าพระปัจเจกพระพุทธ เจ้าท่านสอนเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม แต่เรื่องนิพพานท่านไม่สอนใ คร เพราะไม่ใช้หน้าที่ของท่าน
ฉะนั้นพระถ้าเข้าถึงจุดหมาย ปลายทาง ท่านจะรู้หน้าที่ของท่าน อย่างพระที่ยังไม่เป็นอรหัน ต์ เป็นหมอดู เป็นหมอรักษาโรค เราใช้ได้ทุกอย่าง ท่านจะทำให้ทุกอย่าง พอถึงอรหันต์ปั๊บ ท่านรู้เลยว่าท่านเกิดมานี่ เพื่อทำกิจอะไร.....อย่างอื ่นที่ไม่ใช่ของท่าน ท่านจะไม่ทำ จะงดหมด ท่านทำเฉพาะกิจ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนก ัน ท่านสอนเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม แต่เรื่องนิพพานท่านไม่สอน
ที่มา https://www.facebook.com/ photo.php?f...%21%2FBuddhaS attha
ตอบปัญหาธรรม เรื่องพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านต้องบำเพ็ญบารมีนานไหมค
หลวงพ่อ : พระปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญบารมีเท่ากับพระอ
ผู้ถาม : ท่านตรัสรู้เองใช่ไหมครับ..
หลวงพ่อ : ใช่ ลงคำว่า พุทธเจ้า ต้องตรัสรู้เอง คือไม่ต้องรับคำสอนจากคนอื่
ผู้ถาม : มีเฉพาะตอนที่มีพระพุทธเจ้า
หลวงพ่อ : เจ๊ง...พระปัจเจกพระพุทธเจ้
ผู้ถาม : แล้วทำไมพระปัจเจกพระพุทธเจ
หลวงพ่อ : เกิดทันรึ...รู้เหรอว่าท่าน
ผู้ถาม : ?....?....?
หลวงพ่อ : ท่านสอน จะว่าไม่สอนเลยนั้นไม่ใช่ แต่ว่าไม่สอนถึงอริยสัจ ถ้าไปศึกษากับท่าน ท่านก็สอนแค่อภิญญาโลกีย์ ส่วนที่ตัดเข้าถึงมรรคผลนั้
ผู้ถาม : ถ้าอย่างนั้นพระปัจเจกพระพุ
หลวงพ่อ : รู้หมด....พระสัมมาสัมพุทธเ
ผู้ถาม : อ้าว...ทำไมยังงั้นล่ะครับ
หลวงพ่อ : ถ้าถามปัญหาพระพุทธเจ้า ท่านรู้ทุกอย่าง รู้ไม่หมดสักที พระปัจเจกพระพุทธเจ้าถามไปถ
ผู้ถาม : อ๋อ...แหมศัพท์ภาษาไทยนี่ไม
หลวงพ่อ : เป็นอันว่าพระปัจเจกพระพุทธ
ฉะนั้นพระถ้าเข้าถึงจุดหมาย
ที่มา https://www.facebook.com/
วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557
ความเป็นมาของการสวดภาณยักษ์ โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง
ความเป็นมาของการสวดภาณยักษ ์ โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง
ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อไปนี้ก็ฟังความเป็นมาของ การเทศน์ภาณยักข์หรือว่าสวด ภาณยักข์ ก็เป็นอันว่า เรื่องราวต่าง ๆ ก็เป็นของ จุไร กับท่านท้าวเวสสุวัณ ตามเดิม เป็นอันว่า เมื่อท่านลุงท้าวเวสสุวัณ คลายจากความเมื่อย ความปวด แต่ความจริงท่านผู้ฟังอาจจะ สงสัยว่า เทวดาไม่มีทุกขเวทนาแบบนี้ ทำไมเรื่องนิทานเรื่องจึงบอ กว่า มีความเมื่อย ความปวด ก็ต้องขอบอกให้ทราบว่า นี่เป็นนิทาน แต่ความจริงเวลามันหมด จะไปบอกอย่างนั้นว่า หมดเวลา กำลังใจก็เสีย หาจุดจบไม่ได้ จึงบอก ปวดไป เมื่อยไป ก็หมดเรื่องราวกัน ก็เป็นอันว่า ในเมื่อเวลาปรากฏขึ้นมาใหม่ ก็ขอนำความเป็นมาจากเรื่องภ าณยักข์ เรื่องภาณยักข์นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทได้ฟังบ ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง ต่างคน ต่างก็เล่าลือกันว่า การสวดภาณยักข์ มีความสำคัญ ถ้าสวดเมื่อไร คนที่ถูกคุณไสยก็ตาม ผีเข้าเจ้าสิงก็ตาม เขาจะอยู่ไม่ได้ จะต้องออกจากร่างกายของคนนั ้น
แต่ว่าพิธีกรรมการสวดภาณยัก ข์ต้องมีพิธีกรรมให้ถูกต้อง ถ้าจะถามคนเล่านิทาน ก็ตอบว่า ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะคนเล่านิทานนี่ เป็นคนเคยแต่เพียงว่า ไปเทศน์เรื่องภาณยักข์ แต่พิธีกรรมต่าง ๆ นี่เป็นเรื่องของเจ้าภาพท่า น แต่ผลที่เป็นมาจริง ๆ ที่เวลาเขาสวดภาณยักข์ พระท่านสวดกัน การสวดภาณยักข์ต้องเลือกพระ เฉพาะพระพิธีกรรม คือ มีความเข้าใจในบทสวดทั้งหลา ยเหล่าจริง ๆ และก็สวดกันน่าตื่นเต้นมาก ผีออก จริง ๆ คนที่ถูกผีเข้าสิงเจ้าสิงวิ ่งพล่านไป วิ่งพล่านมา บางคนก็ดิ้น บางคนก็ร้อง บางคนทั้งร้อง ทั้งดิ้น ประเดี๋ยวก็หายไป เมื่อเลิกแล้วปรากฏว่า หายหมด ทุกคนบอก สบายขึ้นมาก ความเป็นมาของภาณยักข์ เป็นมาอย่างไร ก็ฟังลุงกับหลานคุยกัน
เป็นอันว่า จุไร ก็ถามท่านลุงว่า คุณลุงเจ้าคะ หนูเคยไปกับแม่ไปที่วัด ๒-๓ แห่งด้วยกัน เมื่อปีที่แล้ว ปรากฏวัดทั้งหลายเหล่านั้นม ีพิธีกรรม สวดภาณยักข์ แต่ผลพิธีกรรมสวดภาณยักข์ ไม่ค่อยจะเหมือนกัน วัดแรกมีความศักดิ์สิทธิ์มา กเพราะว่าเวลาสวดภาณยักข์จร ิงๆ เสียงพระที่สวดน่ากลัวมาก เสียงกระแทกกระทั้น เสียงดังกึกก้อง ตกใจ หนูเองฟังแล้วยังหวั่นไหวใน เสียงของพระ แต่สิ่งที่อัศจรรย์คือว่า คนที่นั่งในศาลาทั้งหมด ทีแรกก็นั่งกันเงียบ พอพระสวดถึงบทตอนสำคัญ
เสียงกระแทกกระทั้นมาก ๆ หนักเข้า คนบางคนหรือหลาย ๆ คน ลุกขึ้นวิ่งบ้าง บางคนก็นอนดิ้น ร้องบ้าง ดิ้นแล้วก็ร้อง ร้องแล้วก็ดิ้น บางคนก็สิ่งไป บางคนก็ชัก ดิ้นพราด ๆ ในที่สุด เมื่อพระสวดจบ คนทั้งหลายเหล่านั้น ก็สงบและทุกคนก็บอกว่า มีความสุข บางคนก็บอกว่า คล้าย ๆ กับอะไรออกจากร่างกาย ซู่ซ่า บางคนออกอย่างแรง บางคนก็ออกเรียบ ๆ แต่ว่าในที่สุด ทุกคนบอกว่า มีความสุขหมด มีความสบายมาก หนูอยากจะทราบความเป็นมาจริ ง ๆ ของเรื่องภาณยักข์ คำว่า ภาณยักข์ นี่หมายความว่าอะไร คือว่า เขาพูดกัน ๒ คำ ภาณยักข์ ด้วย และก็ ภาณพระ ด้วย หนูมาเห็นลุงทั้งสองคือ ท่านลุงวิรุฬหกก็ดี ท่านลุงท้าวเวสสุวัณก็ดี ท่านทั้งสองในตอนต้นท่านเป็ นยักข์ แสดงตัวโต ๆ ใหญ่ หน้าตาใหญ่ ดุดัน ฉะนั้นคำว่า ภาณยักข์ เป็นพานใส่ของของยักข์ใช่ไห มเจ้าคะ ท่านลุงเวสสุวัณฟังแล้วก็ยิ ้ม บอกว่า หลาน คำว่า ภาณยักข์ เป็นภาษาบาลี ไม่ใช่ภาษาไทย บาลีน่ะ ภาณ ตัวนี้แปลว่า พูด ยักข์ ก็คือ ยักข์ คำว่า ภาณยักข์ แปลว่า ยักข์พูด
ต่อมาในตอนที่สอง เรียกว่า ภาณพระ ภาณพระ ก็คือ ตอนพระพูด จุไรก็ถามว่า ความเป็นมาจริง ๆ ของเรื่อง การสวดมนต์ภาณยักข์ กับภาณพระ เป็นอย่างไรเจ้าคะ เห็นพระท่านสวดกันยาวมาก ท่านลุงก็บอกว่า การที่พระสวดยาว ๆ เป็นการเล่าเรื่องในตอนต้นใ ห้ฟัง เล่าความเป็นมาของภาณยักข์ ตอนยักข์พูด และตอนภาณพระ ตอนพระพูด แต่ตอนบทจริง ๆ ที่ใช้เนื่องในการภาณยักข์ห รือภาณพระ นี่ก็คือบท วิปัสสิส ใน๗ ตำนาน บทนี้บรรดาพระเณรทั้งหลายใน วัดได้กันหมด หรือคนที่รักษาศีลอุโบสถ ที่เขาอยู่วัดกัน เขาก็สวดกันได้
จุไรก็ถามว่า บทวิปัสสิสนี้ สวดแล้วมีผลอย่างไรเจ้าคะ ลุงก็บอกว่า บทวิปัสสิส เป็นบทสวด แสดงความเคารพพระพุทธเจ้า เป็นต้น แต่ว่าบุคคลใด ถ้าสวดไว้ เจริญไว้ ต้องสวดต้องเจริญแบบปกตินะ ไม่ใช่สวด ไม่ใช่เจริญแบบประเภทไล่ผี ขับผี ถ้ามีเจตนาร้าย ผีจะเกลียด
ถ้าสวดไว้เป็นแบบปกติ ผีจะไม่รบกวน เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ จะไม่รบกวน เธอก็บอกว่า สวดอย่างไรเจ้าคะ สวดตามปกติ สวดด้วยความเคารพ ท่านก็เลยบอกว่า ก่อนที่จะสวด ก็ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าด ้วย พระธรรมด้วย พระอริยสงฆ์ด้วย เทวดา กับพรหมทั้งหมดด้วย และก็สวดด้วยความเคารพในพระ พุทธเจ้าเป็นต้น เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น หนูก็อยากจะทราบความเป็นมา บทวิปัสสิส นี่ ถ้าไปถามพระองค์ไหน องค์นั้นก็รู้ใช่ไหมเจ้าคะ
ท่านลุงก็บอกว่า ใช่ เธอก็ถามว่า ความเป็นมาจริง ๆ เป็นมาอย่างไร ท่านลุงจะเล่าให้ฟังได้ไหม ท่านลุงก็บอก ถ้าหลานต้องการจะฟังลุงจะเล ่าให้ฟัง คือ บทภาณยักข์ หรือภาณพระ นี่เป็นเครื่องความเป็นมาขอ งลุงเอง ท่านก็เล่าความเป็นมาว่า ความเป็นมาจริง ๆ มีอย่างนี้ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมม าสัมโพธิญาณแล้ว
หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ท รงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธ บริษัท คนที่หวังมรรค หวังผลมีความสุข หวังไม่ต้องการความเกิด แก่ ตาย ในวันหน้า หมายความว่าร่างกายนี้ตายแล ้วก็แล้วกัน ไปนิพพาน จะถึงนิพพาน หรือยังไม่ถึงก็ตาม ก็ตั้งใจปฏิบัติตามด้วยความ จริงใจ ด้วยความเคารพ ทุกคนเมื่อปฏิบัติตามนี้ มักจะนั่งในที่สงัด อยู่ในป่าชัฏบ้าง อยู่ในป่าช้าบ้าง อยู่ในเรือนว่างเปล่า อย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าเมื่อคนทั้งหลายตั้งใ จทำความดีเพื่อตัดกิเลสแบบน ี้ ก็ยังมีบรรดาภูติผีทั้งหลาย ก็ดี เทวดาบางพวกก็ดีที่ไม่มีควา มเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า แต่เขาจะกลั่นแกล้งพระพุทธเ จ้า เขาก็ทำไม่ได้ ก็เลยหาทางกลั่นแกล้งลูกศิษ ย์ของพระพุทธเจ้า คือ คนที่ปฏิบัติความเพียร อยู่ในที่สงัด เข้าไปแสดงตัวให้ปรากฏบ้าง ส่งเสียงร้องคำรามบ้าง ทำให้กลัว หรือนั่งใกล้ ๆ ทำให้ขนลุกซูซ่า ทำให้กลัวบ้างอย่างนี้เป็นต ้น ก็เป็นเหตุให้คนทั้งหลายเหล ่านั้นมีความหวาดหวั่นไม่สา มารถจะบำเพ็ญบารมีหรือไม่สา มารถจะบำเพ็ญฌานสมาบัติเป็น การตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทป หาน
ลุงก็มีความเห็นว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ตั้งใจทำความดี แต่เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ ดี ผีที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี กลั่นแกล้งแบบนี้ เป็นการไม่ชอบธรรม ในฐานะที่ ลุงเป็นท้าวจตุโลกบาล คือ ลุงกับคณะ คือ ลุงเอง ๑ ท้าวเวสสุวัณ ๒.ท่านท้าววิรุฬหก ๓. ท่านท้าววิรูปักข์ ๔. ท่านท้าวธตรฐ ทั้ง ๔ คนนี้มีหน้าที่รักษาชาวโลก คือ ชาวมนุษย์โลก ถ้าสร้างความดีก็หาทางป้องก ัน ช่วยเหลือ ถ้าเขาสร้างความชั่ว ก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้ ก็อดใจไว้ แล้วก็มีหน้าที่ ต้องบันทึกความดีหรือความชั ่วของคน ทั้งการพูด การคิด การทำทุกอย่าง ใครทำความดี ใครทำดี ใครพูดดี ใครคิดดี ก็จดบันทึก ใครคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย ก็บันทึกตอนนี้จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เขาพูดก็ดี เขาทำก็ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ปรากฏ แต่ตอนเขาคิดในใจนี่ ลุงรู้ได้
อย่างไร ท่านท้าวเวสสุวัณ ก็บอกว่า เทวดาทุกองค์ นางฟ้าทุกองค์ หรือพรหมทุกองค์ ร่างกายเป็นทิพย์ และก็มีจิตใจเป็นทิพย์ ความเป็นทิพย์นี่ สามารถรู้การเคลื่อนไหว ความรู้สึกของคนได้ทุกอย่าง แล้วจุไรก็ถามว่า คนมีมาด้วยกัน ทั้งโลก ไม่ใช่ล้าน สองล้าน นับเป็นพันล้าน แล้วลุงคนเดียวจะรู้ได้อย่า งไร
ท่านเวสสุวัณก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงคนเดียว ที่จะต้องรู้ ผู้ที่รู้อันดับแรกก็คือ ภูมิเทวดา ภูมิเทวดา ที่ชาวบ้านตั้งศาลให้นั่นแห ละ เขาเป็นคนรู้ เป็นเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขต เป็นจุดแคบ ๆ แล้วท่านผู้นี้ไม่ต้องไปนั่ งจ้อง คิดว่า ใครจะทำโน่น ใครจะทำนี่ ใครจะคิดอะไร ไม่จำเป็น รู้เอง เมื่อเขาคิดดี ก็ขึ้นบัญชีดี ความคิดขึ้นบัญชีเอง เมื่อเขาคิดชั่ว ความคิดนั่นก็ขึ้นบัญชีชั่ว แต่ว่าไม่ใช่แผ่นทองคำหรือแ ผ่นหนังสุนัข เพราะว่า เมืองเทวดาไม่มีสุนัข ไม่สามารถจะเอาหนังสือมาเขี ยนได้ เป็นอันว่า มีบัญชีของเทวดาก็แล้วกัน
ถ้าพูดไป หลานจะงง หลังจากนั้น ในกลุ่มหนึ่งของภูมิเทวดาหล าย ๆ องค์ ก็มีอากาสเทวดาชั้นจาตุมหาร าช ไปคุม ๑ องค์ ถึงเวลาวันโกนหรือวันกลางเด ือน หรือวันสิ้นเดือน เขาก็นำบัญชีมาให้เทวดาชั้น จาตุมหาราช ชั้นจาตุมหาราชก็นำบัญชีทั้ งหมด เท่าที่ได้รับมา แต่ละหน่วย ๆ มาให้เทวดาที่เป็น
มหาอำมาตย์รองจากอินทกะหลัง จากนั้นท่านมหาอำมาตย์ก็มอบ ให้ท่านอินทกะ ท่านอินทกะก็มอบให้ลุงแจ้งใ ห้ทราบ ลุงก็แยกบัญชี ส่วนบัญชีส่วนไหนเป็นความดี แจ้งไปดาวดึงส์ ให้เทวดาไปมอบให้ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร เป็นเลขาของพระอินทร์ แล้วท่านปัญจสิกขเทพบุตร ก็อ่านประกาศในวันที่ประชุม เทวดา และนางฟ้า บัญชีที่ทำบาป ลุงก็ส่งไปให้พระยายม แต่ความจริงบัญชีพระยายนั้น มีทั้งบัญชีทำความดี และบัญชีทำความชั่ว ทั้งบุญ และบาป ส่งไป ๒ อย่าง เหมือนกัน ก็เป็นอันวา ลุงรู้ตามนี้
จุไรฟังแล้วก็นั่งงงคิดไม่อ อกว่า ความเป็นทิพย์ ทำไมมีการคล่องตัวมาก แต่ก็ไม่ถาม เธอก็ย้อนถามมาว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงเจ้าคะ ขอเล่าเรื่องความเป็นมาของภ าณยักข์ก็แล้วกัน ท่านลุงก็บอกว่า ในเมื่อเทวดาที่เป็นมิจฉาทิ ฐิก็ดี ภูติผีปีศาจต่าง ๆ ที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี คอยกลั่นแกล้งลูกศิษย์พระพุ ทธเจ้า ลุงเองในฐานะที่เป็นมนุษย์ก ็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเช ่นเดียวกัน ลุงเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าท่านส งเคราะห์ ก็มีความจำเป็น ต้องหาทางสงเคราะห์คนพวกเดี ยวกัน คือ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า จึงได้ประชุมท่านท้าวมหาราช อีก ๓ องค์ คือ ท่านท้าวธตรฐ ท่านท้าววิรุฬหก ท่านท้าววิรูปักข์ เวลานี้ท่านทั้งสามก็มาอยู่ ร่วมกันที่นี่แล้วก็เป็นอัน ว่า ในเวลานั้น
เมื่อประชุมกันเสร็จก็หารือ กันว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ มันเกิดขึ้นอย่างนี้ เราจะช่วยคนที่เขาตั้งใจทำค วามดีสร้างบุญสร้างกุศล เราจะทำอย่างไร ในที่สุด ทั้งสี่ท่านก็มีมติเห็นชอบพ ร้อมกันว่า เราจะสร้างบทสวดมนต์ขึ้นบทห นึ่ง บทสวดมนต์นี้มีการสรรเสริญพ ระพุทธเจ้า เป็นต้น เมื่อสร้างบทสวดมนต์แล้วเสร ็จ แล้วก็สั่งประชุมเทวดาทั้ง ๔ ทิศ ให้ประกาศให้ทราบว่า ทุกคน เทวดาหรือนางฟ้าทุกองค์ จะนับถือพระพุทธเจ้าหรือไม่ นับถือก็ตาม อันนี้ไม่รับทราบ ให้พึงทราบว่า ถ้าบุคคลใด เขาสวดมนต์บทนี้อยู่ด้วยควา มตั้งใจดี ไม่ใช่กลั่นแกล้ง ไม่ใช่ขับเทวดา ไม่ใช่ขับผี เมื่อเขาไปอยู่ที่ไหนก็ตาม พอเริ่มต้นปั๊บ ก็สวดมนต์ตั้งแต่ นโม ตสส เรื่อยไป และขั้นต่อไปก็สวดบทนี้ ด้วยความเคารพ ถ้าหากว่า ท่านผู้ใดเขาสวดมนต์บทนี้อย ู่ ไม่ใช่สวดทั้งวันนะ เอาแค่จบเดียวก็พอ ก็ห้ามบรรดาเทวดากับนางฟ้าท ั้งหมด และภูติผีปีศาจทั้งหมด ห้ามเข้าไปนั่งใกล้ คนที่เขาเจริญมนต์แบบนี้ บทวิปัสสิสนี่นะ ห้ามเข้าไปนั่งใกล้ ห้ามไปล้อ ไปเลียน ห้ามไปหลอก ไปหลอน ห้ามไปกลั่นแกล้ง ถ้าเทวดาหรือนางฟ้า หรือภูติผี ท่านใดฝ่าฝืน ท้าวมหาราชทั้งสี่จะปรับโทษ ในฐาน กบฎ เอาโทษหนัก
ในเมื่อลุงประชุมเทวดากับนา งฟ้าทั้งหมดแล้ว ลุงทั้งสี่ก็ไปเฝ้าองค์สมเด ็จพระชินสีห์ แล้วกราบทูลความเป็นมาเรื่อ งนี้ให้ทราบ ตามที่กล่าวมาแล้ว ถ้าขืนย้อน ๆ ไป มันจะช้าจะเนิ่นนานรำคาญ ขณะที่ลุงกราบทูลพระพุทธเจ้ า ตอนนี้เขาเรียกว่า ภาณยักข์ ซึ่งเขาลือว่า ท้าวเวสสุวัณนี่เป็นยักข์ เขาจึงได้เขียนรูปเหมือนยัก ษ์
แต่ยักษ์ที่เขาเขียนมันไม่เ หมือนยักษ์ที่ไหน ไม่ว่ายักษ์ที่ไหนจะมีเขี้ย วออกนอกปาก เป็นเขาวัว เขาควายแบบนั้น กัดใครไม่ได้ เขี้ยวยักษ์ ไม่ใช่เขี้ยวขวิด เขี้ยวยักษ์เป็นเขี้ยวกัด ในเมื่อทำเขี้ยวโง้งออกจากป าก จะกัดได้อย่างไร อ้าปากมันไม่หุบเขี้ยว เขี้ยวไม่อยู่ในปาก ก็รวมความว่า ขณะที่ลุงเป็นผู้แทนของท้าว มหาราช อีก ๓ องค์ ปกติเวลาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ า ลุงเองเป็นผู้กราบทูลแทน ท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ ท่านไม่พูด เป็นแต่เพียงยอมรับว่า ท่านร่วม
เมื่อขณะที่ลุงรายงาน ขอให้พระพุทธเจ้าส่งมนต์บทน ี้ให้แก่บรรดาสาวกทั้งหมด แจ้งให้ทราบว่า มนต์นี้ ถ้าใครสวดขึ้นแล้วก็ตาม คำว่า สวด ให้สวดด้วยความเคารพในพระพุ ทธเจ้าโดยเฉพาะ ไม่ใช่ตั้งใจขับผี ขับสาง ถ้าสวดมนต์บทนี้อยู่หรือสวด แล้วก็ตาม ในวันนั้นไม่ใช่ต้องนั่งสวด กันทั้งวัน ก็เป็นอันว่า ผีก็ดี เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ไม่สามารถจะเข้ามานั่งใกล้ ไม่สามารถจะกลั่นแกล้ง ไม่สามารถจะล้อเลียน ไม่สามารถจะหลอกได้
ถ้าใครฝ่าฝืนจะต้องถูกท้าวม หาราชทั้งสี่ลงโทษ ฐานกบฎ เป็นอันว่า ตอนนี้ลุงรายงานให้ท่านทราบ เขาเรียกว่า ภาณยักข์
ต่อมาเมื่อลุงกลับแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ท รงเรียกพระประชุม เล่าความเป็นมาอย่างนี้ทั้ง หมด ให้พระรับทราบ และแนะคำสวดมนต์ทั้งบทให้พร ะทั้งหลายสาธยายคือให้ท่องใ ห้จำได้ แล้วก็ซ้อมพร้อมกัน
ตอนนี้ท่านเรียกว่า ภาณพระ คือ พระพูด พระ คือ พระพุทธเจ้าพูด ก็เป็นอันว่าเรื่องราวภาณยั กข์ กับภาณพระ เป็นมาเท่านี้เองหลานรัก
แล้วจุไรก็ถามว่า เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกว่า เรียบ ๆ ไม่มีอะไรมาก แต่ว่าหนูมีความรู้สึกอยู่อ ย่างหนึ่ง คุณปู่เล่าให้ฟังว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ มีพระองค์หนึ่ง ไปอยู่ในเขต เขาวงพระจันทร์ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในวัด ท่านปลูกกระท่อมอยู่ในป่า พระองค์นี้เป็นพระเสียงดัง ท่าทางห้าวหาญ หนูจำชื่อท่านไม่ได้ แต่ไม่ขอบอกชื่อ เพราะเกรงว่าจะไปตรงกับชื่อ พระองค์ใดองค์หนึ่งเข้า จะหาว่ากล่าววาจาเสียดสี เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอกล่าวปฏิปทาของท่าน เพราะว่าท่านทราบมาจากคนแก่ คนเก่า ๆ หรือพระเก่า ๆ เคยเล่าให้ฟังว่า บทวิปัสสิสนี้ ถ้าสวดเสียงดังขนาดไหน ผีก็ดี เทวดา หรือยักข์ร้ายก็ตาม ที่จะกลั่นแกล้ง จะต้องอยู่สุดปลายเสียงโน้น ขณะได้ยินเสียงอยู่นี่ อยู่ไม่ได้ ต้องหนีไปให้พ้นเสียง
ฉะนั้น ตอนเช้าก็ดี ตอนกลางวันก็ดี ตอนเย็นก็ดี ตอนกลางคืน หัวค่ำก็ดี ตอนดึกก็ตาม ตอนเช้า ตื่นเช้าท่านจะสวดบทวิปัสสิ ส สวดเสียงดังมาก เลยต้องอยู่คนเดียว คนอื่นเขารำคาญ ตอนกลางวันก็สวดเสียงดัง ตอนเย็นก็สวดเสียงดัง พอค่ำไปหน่อยก็สวดเสียงดัง ตอนดึกก่อนจะนอนก็สวดเสียงด ัง สวดอย่างนี้ทุกวัน แต่ปรากฏว่า มีวันหนึ่ง ตอนเย็นประมาณ ๔ โมงเย็นเศษ ใกล้จะ ๕ โมงเป็นเวลาที่พระองค์นี้สว ดมนต์ แต่แทนที่จะได้ยินเสียงสวดม นต์ กลับได้ยินเสียงพระองค์นี้ร ้อง โอ๊ย…ๆ ๆ ตายแล้ว ๆ ๆ กลัวแล้ว ๆ โอ๊ย… เสียงลั่นห้อง เสียงก้องไปในป่า ปรากฏว่า พระที่อยู่ไม่ไกลนัก หรือชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลนั ก ได้ยินเสียงท่าน ต่างคนก็ต่างวิ่งไปที่กระท่ อมนั้น คิดว่า ใครมาทำร้ายร่างกายพระองค์น ี้
แต่เมื่อทุกคนเข้าไปถึงประต ูห้อง ก็ต้องผงะ เพราะเห็นบุคคลคนหนึ่ง ตัวสูงมาก หัวแค่ขื่อ นุ่งกางเกงสีแดง ใส่เสื้อสีแดง คาดหัวผ้าสีแดง แล้วก็หวายท่อนใหญ่ ตีพระองค์นี้ หวดอย่างขนาดหนัก เมื่อทุกคนเข้าไปที่นั่น ไปยืนอยู่ก็ยังตีอยู่ พอดีพระองค์หนึ่งท่านได้สติ ท่านยกมือไหว้ บอกว่า ท่านขอรับ ขออภัยเถิด หยุดแค่นี้เถิดขอรับ ท่านผู้นั้นก็หันมา แล้วก็หยุด แล้วก็ถอยหลังไปนิดหนึ่ง แล้วก็เอามือชี้หน้าอาจารย์ องค์นั้น องค์ที่ถูกตี แล้วก้าวขึ้นขื่อหายไป
ก็เป็นอันว่า อยากจะทราบว่า คุณลุงเจ้าคะ ในเมื่อพระองค์นี้สวดขนาดนี ้ ทำไมถูกเทวดาตี หนูคิดว่าเป็นเทวดา ท่านลุงบอกว่า การสวดแบบนี้ไม่ใช่สวดด้วยค วามเคารพในพระพุทธเจ้าโดยตร ง เป็นการตั้งใจขับผี ขับเทวดา ที่นี้เทวดาที่เขาดี เป็นสัมมาทิฐิเขาก็มีมาก แล้วผีก็เหมือนกัน ที่เป็นสัมมาทิฐิก็มีมาก มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าก็มีเ ยอะ ที่เป็นมิจฉาทิฐิมีน้อย การสวดแบบนั้นตั้งใจขับทั้ง หมด ไม่เจาะจงเฉพาะที่เป็นมิจฉา ทิฐิ และเจตนาจริง ๆ ก็ต้องการขับผี ขับเทวดา ฉะนั้น ในเมื่อโอกาสพึงมี เขาก็ต้องลงโทษ เป็นการสั่งสอนว่า ไม่ควรจะทำอย่างนั้น จุไรก็บอกว่า โอ้โฮ…การลงโทษหนักหนาเหลือ เกินนะคะ คุณลุงท่านบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดา แต่เขาตีท่านไม่ถึงตาย เพราะเทวดาฆ่าคนให้ตายไม่ได ้ เธอก็ถามว่า เทวดาผ้าแดง นุ่งแดง ใส่เสื้อแดง ผ้าคาดหัวแดง มีที่ไหน
ท่านลุงท่านก็บอกว่า หลานรัก มองไปดูข้างหลังซิ พอมองไปเห็นข้างหลังลุง เป็นร้อยเป็นพันเลย นุ่งกางเกงสีแดง ใส่เสื้อสีแดง คาดผ้าสีแดง ทุกคนเห็นจุไรแล้วก็ยิ้ม แล้วมีท่านหัวหน้าองค์ใหญ่ ๆ บอกว่า หลานรัก ลุงนี่ตามปกติก็มีเพชรเต็มต ัวเหมือนกัน แต่ว่ายามที่ออกปราบปราม ท่านที่เป็นศัตรูกับพุทธศาส นา ก็ใช้สีแดง หรือมิฉะนั้น ถ้าบุคคลใดเขาจะตาย ถ้ามีความจำเป็นต้องเข้าไปช ่วยเหลือนำไปสำนักพระยายม ก็ต้องใช้ชุดนี้ ถ้าอยู่ตามปกติ ลุงก็อาจจะนุ่งกางเกงในเฉย ๆ ก็ได้ แต่เวลาเข้าเฝ้าพระอินทร์ ต้องแต่งเต็มยศ ท่านพูดแล้ว เครื่องเต็มยศก็ปรากฏขึ้น มีชฎาแหลมเปี๊ยบ รูปร่างคล้ายพรหม
จุไรก็ยกมือไหว้ จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เขาลือว่า เทวดาสีแดง มีฤทธิ์มากใช่ไหม ท่านลุงก็บอกว่า มีฤทธิ์มากพอสมควร ไม่เกินวิสัยของลุง เพราะว่าลุงตายจากความเป็นค น ก่อนจะตายลุงได้ฌานสมาบัติ แต่ว่าเวลาจะตายไม่ได้เข้าฌ านสมาบัติ จึงไม่ได้เป็นพรหม มีจิตเป็นกุศล แต่ไม่ถึง จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงรู้จัก เลขหวย ไหมคะ ท่านลุงก็บอกว่า เรื่องเลขหวยน่ะหลาน ลุงรู้ทั้งหมด รางวัลไหนจะออกเลขอะไร รู้หมด แต่มันบอกไม่ได้ ตามระเบียบ ถ้าต้องการเลขหวยให้แม่นจริ ง ๆ ก็ถามลุงท้าวเวสสุวัณก็แล้ว กัน
ท่านเวสสุวัณหันมาโบกมือบอก อย่ายุ่ง ๆ ซิ ไปยุให้เด็กขอหวยฉัน ฉันก็ให้ไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นกฎของกรรมก็เป็นอันว ่า จุไรกับท่านลุงก็คุยเรื่อง ภาณยักข์ ท่านลุงก็บอกว่า การสวดภาณยักข์หรือเทศน์ภาณ ยักข์นะหลานรัก เขาต้องทำพิธีให้ถูก ถ้าการทำพิธีไม่ถูก ไม่ต้อง ก็ไม่มีการศักดิสิทธิ์ จุไรก็ถามว่า การศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้น เพราะอะไร ท่านท้าวเวสสุวัณก็บอกว่า ถ้าเขาทำถูกตามพิธีกรรม เขาเชิญเทวดาด้วยความเคารพ เขาตั้งศาลบวงสรวงด้วยความเ คารพ เขามีเครื่องสังเวยถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อความ เป็นสุขของคน และต้องการผลการปฏิบัติดี คือ การฟังเทศน์เรื่องนี้ เพราะเทศน์เรื่องนี้มีข้อปฏ ิบัติที่ดี ๆ มีมาก ตั้งใจให้ทุกคนมีความสุข โดยศีล โดยธรรม อย่างนี้ เทวดาชุดแดงเขาไปช่วย จุไรก็หันไปถามคุณลุงหัวหน้ าบอก คุณลุงเจ้าคะ คุณลุงไปทุกงานหรือ ท่านลุงก็บอกว่า หลาน งานไหนทำถูก งานนั้นลุงไป ถ้างานไหนทำไม่ถูก งานนั้นลุงไม่ไปจุไรก็ถามว่ า ถ้าจะทำให้ถูกอย่างไร ลุงก็บอกว่า ไม่ใช่วาระที่จะถามลุงในเวล านี้นะ เพราะว่าพิธีกรรมต่าง ๆ ทุกคนต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เขามีระเบียบปฏิบัติอยู่แล้ ว ทำด้วยความเคารพจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ทำเป็นการค้า ถ้าวัดไหนต้องการทำเพื่อการ ค้า หวังได้เงินอย่างเดียว ขายข้าว ขายของ อยากได้เงิน อย่างนั้นลุงก็ไม่ไปช่วย ตามที่ลุงพูดกับท่านท้าวมหา ราชเมื่อสักครู่นี้ว่าบางวั ดก็มีผล บางวัดก็ไม่มีผล วัดที่มีผล เขาตั้งใจเป็นกุศลจริง ๆ
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ลุงจะบอกพิธีกรรมได้ไหม ท่านลุงก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงเสียแล้ ว จุไรจึงหันมาถามท่านท้าวเวส สุวัณว่า คุณลุงเจ้าคะจะบอกพิธีกรรมไ ด้ไหม ท่านลุงก็บอก บอกได้ แต่ลุงคิดว่า ไม่บอกดีกว่า เพราะพิธีกรรมเขามีอยู่ ถ้าบุคคลใดต้องการอยากจะรู้ ต้องการอยากจะทำ ก็เข้าไปหาเจ้าพิธีเขา เจ้าพิธีเขาจะบอก เขาจะบอกวัตถุต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธีกรรมด้วย จะบอกลีลาที่จะปฏิบัติในพิธ ีกรรมด้วย จะได้ช่วยทำถูกต้องเอาละ หลานรัก ตอนนี้คุยกันเรื่องเดียว หมดเวลาพอดีนะ ตอนนี้หมดเวลาตอนที่ ๒ นี้แล้ว ก็ขอยุติไว้ก่อน
ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิก ชนผู้อ่าน ผู้รับฟังทุกท่าน
จากหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๑
ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อไปนี้ก็ฟังความเป็นมาของ
แต่ว่าพิธีกรรมการสวดภาณยัก
เป็นอันว่า จุไร ก็ถามท่านลุงว่า คุณลุงเจ้าคะ หนูเคยไปกับแม่ไปที่วัด ๒-๓ แห่งด้วยกัน เมื่อปีที่แล้ว ปรากฏวัดทั้งหลายเหล่านั้นม
เสียงกระแทกกระทั้นมาก ๆ หนักเข้า คนบางคนหรือหลาย ๆ คน ลุกขึ้นวิ่งบ้าง บางคนก็นอนดิ้น ร้องบ้าง ดิ้นแล้วก็ร้อง ร้องแล้วก็ดิ้น บางคนก็สิ่งไป บางคนก็ชัก ดิ้นพราด ๆ ในที่สุด เมื่อพระสวดจบ คนทั้งหลายเหล่านั้น ก็สงบและทุกคนก็บอกว่า มีความสุข บางคนก็บอกว่า คล้าย ๆ กับอะไรออกจากร่างกาย ซู่ซ่า บางคนออกอย่างแรง บางคนก็ออกเรียบ ๆ แต่ว่าในที่สุด ทุกคนบอกว่า มีความสุขหมด มีความสบายมาก หนูอยากจะทราบความเป็นมาจริ
ต่อมาในตอนที่สอง เรียกว่า ภาณพระ ภาณพระ ก็คือ ตอนพระพูด จุไรก็ถามว่า ความเป็นมาจริง ๆ ของเรื่อง การสวดมนต์ภาณยักข์ กับภาณพระ เป็นอย่างไรเจ้าคะ เห็นพระท่านสวดกันยาวมาก ท่านลุงก็บอกว่า การที่พระสวดยาว ๆ เป็นการเล่าเรื่องในตอนต้นใ
จุไรก็ถามว่า บทวิปัสสิสนี้ สวดแล้วมีผลอย่างไรเจ้าคะ ลุงก็บอกว่า บทวิปัสสิส เป็นบทสวด แสดงความเคารพพระพุทธเจ้า เป็นต้น แต่ว่าบุคคลใด ถ้าสวดไว้ เจริญไว้ ต้องสวดต้องเจริญแบบปกตินะ ไม่ใช่สวด ไม่ใช่เจริญแบบประเภทไล่ผี ขับผี ถ้ามีเจตนาร้าย ผีจะเกลียด
ถ้าสวดไว้เป็นแบบปกติ ผีจะไม่รบกวน เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ จะไม่รบกวน เธอก็บอกว่า สวดอย่างไรเจ้าคะ สวดตามปกติ สวดด้วยความเคารพ ท่านก็เลยบอกว่า ก่อนที่จะสวด ก็ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าด
ท่านลุงก็บอกว่า ใช่ เธอก็ถามว่า ความเป็นมาจริง ๆ เป็นมาอย่างไร ท่านลุงจะเล่าให้ฟังได้ไหม ท่านลุงก็บอก ถ้าหลานต้องการจะฟังลุงจะเล
หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ท
ลุงก็มีความเห็นว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ตั้งใจทำความดี แต่เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็
อย่างไร ท่านท้าวเวสสุวัณ ก็บอกว่า เทวดาทุกองค์ นางฟ้าทุกองค์ หรือพรหมทุกองค์ ร่างกายเป็นทิพย์ และก็มีจิตใจเป็นทิพย์ ความเป็นทิพย์นี่ สามารถรู้การเคลื่อนไหว ความรู้สึกของคนได้ทุกอย่าง
ท่านเวสสุวัณก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงคนเดียว
ถ้าพูดไป หลานจะงง หลังจากนั้น ในกลุ่มหนึ่งของภูมิเทวดาหล
มหาอำมาตย์รองจากอินทกะหลัง
จุไรฟังแล้วก็นั่งงงคิดไม่อ
เมื่อประชุมกันเสร็จก็หารือ
ในเมื่อลุงประชุมเทวดากับนา
แต่ยักษ์ที่เขาเขียนมันไม่เ
เมื่อขณะที่ลุงรายงาน ขอให้พระพุทธเจ้าส่งมนต์บทน
ถ้าใครฝ่าฝืนจะต้องถูกท้าวม
ต่อมาเมื่อลุงกลับแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ท
ตอนนี้ท่านเรียกว่า ภาณพระ คือ พระพูด พระ คือ พระพุทธเจ้าพูด ก็เป็นอันว่าเรื่องราวภาณยั
แล้วจุไรก็ถามว่า เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกว่า เรียบ ๆ ไม่มีอะไรมาก แต่ว่าหนูมีความรู้สึกอยู่อ
ฉะนั้น ตอนเช้าก็ดี ตอนกลางวันก็ดี ตอนเย็นก็ดี ตอนกลางคืน หัวค่ำก็ดี ตอนดึกก็ตาม ตอนเช้า ตื่นเช้าท่านจะสวดบทวิปัสสิ
แต่เมื่อทุกคนเข้าไปถึงประต
ก็เป็นอันว่า อยากจะทราบว่า คุณลุงเจ้าคะ ในเมื่อพระองค์นี้สวดขนาดนี
ท่านลุงท่านก็บอกว่า หลานรัก มองไปดูข้างหลังซิ พอมองไปเห็นข้างหลังลุง เป็นร้อยเป็นพันเลย นุ่งกางเกงสีแดง ใส่เสื้อสีแดง คาดผ้าสีแดง ทุกคนเห็นจุไรแล้วก็ยิ้ม แล้วมีท่านหัวหน้าองค์ใหญ่ ๆ บอกว่า หลานรัก ลุงนี่ตามปกติก็มีเพชรเต็มต
จุไรก็ยกมือไหว้ จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เขาลือว่า เทวดาสีแดง มีฤทธิ์มากใช่ไหม ท่านลุงก็บอกว่า มีฤทธิ์มากพอสมควร ไม่เกินวิสัยของลุง เพราะว่าลุงตายจากความเป็นค
ท่านเวสสุวัณหันมาโบกมือบอก
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ลุงจะบอกพิธีกรรมได้ไหม ท่านลุงก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงเสียแล้
ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล
จากหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๑
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)