วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความมหัศจรรย์ของการสวดมนต์..สมเด็จโต

ความมหัศจรรย์ของการสวดมนต์..

อาตมา (สมเด็จโต) ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวอาตมาเอง

ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร

ในสมัยนั้น…เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูติผีวิญญาณ
ตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น

อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดเลย นอกจากคำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใด ก็จะกล่าวเพียงคำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมา
อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้

เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์

มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทย์มนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ

เขาเล่าให้อาตมาฟังว่า เขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่
กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่

นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตาถึง 7 วัน เต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบ
ตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย

วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทย์มนต์คาถา หรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมา จึงกลับมายังเขาซึ่งเป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้
อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ ทำให้ผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมาจึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้

อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
จนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ

นายผล เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า..

ข้าแต่ท่านอาจารย์ ก็เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัด จงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่า.. การสวดมนต์ของท่านเช่นนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่าน หรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูติผีปิศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าของรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่าอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการ ที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ อาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป..อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก จะขึ้นมา จึงได้จุดเทียนและพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี และด้วยสัญชาติญาณจึงกล่าวคำสวดมนต์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ

ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้..ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักนักอยู่ อาตมาบอกว่า อาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้นก็อันตรธานหายไป

นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนต์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้

ที่อาตมา (สมเด็จโต) ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน

ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุ
ว่า อานิสงส์ของการสวดมนต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยีงนัก..

(จากหนังสือ อมตะธรรม สมเด็จโต
อานิสงส์การสวดมนต์แผ่เมตตามหาบุญ)

วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เมื่อท้าวเวสสุวรรณพบหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

เมื่อท้าวเวสสุวรรณพบหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
>>>เมื่อฉันบวชใหม่ๆ ในพรรษาแรก วันนั้นหลวงพ่อปานบวงสรวงจะเชิญพระพักตร์พระพุทธรูปไปที่เขาวงพระจันทร์ ฉันถามว่า "หลวงพ่อครับ เวลาหลวงพ่อเชิญนี่ ท้าวเวสสุวัณ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านมาไหม"

ท่านบอก "เอ็งเจริญกรรมฐานหรือเปล่า?"
>>>บอก "เจริญครับ"
ท่านบอก "แกเห็นไหม?"
>>>บอก "ไม่เห็นครับ"
ท่านบอก "ถุย ขี้หมา"
ความจริงหลวงพ่อปานตาไม่ดีมองเห็นคนเป็นขี้หมาไปได้...

ท่านบอก "ถุย ขี้หมา ไม่เคยเห็นหรือ"
>>>บอก "ไม่เคยเห็น"
ท่านบอก "เอางี้ซี เวลาฉันเชิญมานะ แกต้องการจะพบองค์ไหนก็เชิญองค์นั้น แกเจริญกรรมฐานเวลาเท่าไหร่"
>>>บอก "ตามปกติตี ๒ ครับ"
ท่านบอก "เวลาตี ๒ เชิญให้ท่านไปพบที่แกนอน"

>>>ฉันตั้งนาฬิกาปลุก ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาทำวัตรเสร็จ เหลือเวลาอีก ๕ นาทีก็เข้าเจริญพระกรรมฐาน พอตี ๒ เป๋ง กุฏิมีฝานะ แต่มองแล้วเหมือนไม่มีฝาทางด้านเหนือ นุ่งขาวห่มสไบเฉียงนะ ไม้พลองแบบพลองลูกเสือ มาลิ่วๆ เห็นชัด มาถึงยืนปุ๊บบนหน้าต่าง หัวไม่สูงยันขื่อ มาถึงมายืนปั๊บ ฉันขนลุกซู่ ปอดลอย มันยิ่งกว่ากลัวอีก ทั้งๆ ที่ท่านมาสวย
>>>ก็เลยบอก "กลับไปก่อนเถอะท่านอาจารย์ เชิญกลับไปได้แล้ว ขอบคุณที่มาให้เห็น"
ท่านถาม "กลัวผมทำไมครับ"
>>>ถามทำไมถึงรู้สึกกลัว
ท่านบอก "ท่านเป็นเทวดา นึกในใจก็รู้หมด" ท่านก็เลยคุย บอก "ท่านอย่ากลัวผมซิ ท่านอย่ากลัวผมซิ ท่านกับผมน่ะเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนนะ" ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม
ท่านบอก "กระบองที่เตรียมมา ไม่ได้เตรียมมาตีท่านหรอกนะ ผมเอายันกันจะล้ม"
>>>ถาม "ทำไม"
ท่านบอก "เจอะนักเลงเก่า เกรงกลัวจะสู้กัน"

ท่านเล่าให้ฟังถึงอดีตชาติ บอกในสมัยหนึ่งเราทั้งสองต่างคนต่างเป็นลูกกษัตริย์ ท่านเล่ามายาวมากให้หายกลัว
ท่านบอกว่า "ทำไมต้องการพบองค์เดียวล่ะ"
>>>ก็เลยบอกว่า "เขาว่าท้าวเวสสุวัณเป็นยักษ์"
ท่านถามว่า "เห็นเขี้ยวผมไหม"
>>>บอก "ยังไม่เห็น"
ถาม "มีหรือไม่มี"
ท่านบอก "อยากเห็นไหมล่ะ"
>>>บอก "อยากเห็นเขี้ยวออกทางจมูก"
ท่านบอก "นี่มันไม่ใช่เขี้ยวยักษ์ มันเขี้ยวหมู"
ท่านหัวเราะชอบใจใหญ่
>>>บอก "นี่ท่านยังไม่แปลกจากของเก่านะ ยังเหมือนเดิม"

.....สรุปแล้วว่า "ท่านมานี่ ท่านนุ่งขาวห่มขาวใช่ไหม" ท่านบอกว่า "ไม่ใช่นะ เข้าเขตพระต้องใช้นุ่งเหลืองห่มเหลือง แต่กลางคืนท่านเห็นเป็นขาวไปเอง
>>>ถามว่า "ความจริงท่านแต่งตัวอย่างไร"
ท่านบอก "ปกติแต่งตัว เหมือนคนธรรมดา"
>>>ก็ถามว่า "ถ้าแต่งตัวเต็มที่"
ท่านเลยแต่งตัวเต็มที่เลย แต่งเครื่องทรง แสงสว่างจ้าเหมือนกับพรหม ที่เขาเขียนเป็นยักษ์ บอก "ไอ้คนเขียนมันไม่รู้จักผม"
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านมีสภาพเหมือนกันแบบนี้ สวยเหมือนพรหม

ที่มา....
oard.palungjit.org/f23/เมื่อท้าวเวสสุวรรณพบหลวงพ่อฤาษี-วัดท่าซุง-475202.html