วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หลวงพ่อเล่าเรื่อง อดีตของท่านท้าวมหาราชหรือท้าวจตุโลกบาล เรื่องที่ ๙๘ ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นท่านท้าวมหาราชบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

หลวงพ่อเล่าเรื่อง อดีตของท่านท้าวมหาราชหรือท้าวจตุโลกบาล

เรื่องที่ ๙๘
ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นท่านท้าวมหาราชบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช

จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน


"..วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ สองวันที่ผ่านมาร่างกายไม่ดี ใช้กำลังสมถภาวนาไม่ได้ ต้องใช้กำลังวิปัสสนาญาณเป็นตัวยืน อารมณ์ของคนเราถ้าเจริญพระกรรมฐานต้องเข้าใจว่า กรรมฐานที่ทรงตัวจริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๑๑ อย่าง และกรรมฐานแบบคิดอีก ๒๙ อย่าง เวลาที่ร่างกายมีกำลังดี ไม่ป่วยไข้ไม่สบายมากจิตจะทรงตัว ใช้กรรมฐานทรงตัวได้ แต่ถ้าจิตเกิดฟุ้งซ่านขึ้นมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บมันกวนมาก มันเพลียมาก ก็ต้องใช้กรรมฐานคิดใช้วิปัสสนาญาณควบ ไม่ต้องการรู้อะไรทั้งหมด

ท้าวจตุโลกบาล
มาวันนี้อารมณ์เริ่มทรงตัวขึ้นมาบ้าง ก็ใช้กำลังทรงตัวได้ แต่ถ้าใช้กำลังทรงตัวแน่นไปอีกก็ไม่เห็นอะไร พอขยับจิตเคลื่อนลงมานิดหนึ่งอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ ก็เห็นท่านท้าวมหาราชนั่งอยู่ข้างๆ ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ เขาเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล มีหน้าที่รักษาคุ้มครองชาวมนุษยโลก ถ้าสร้างความดีก็หาทางป้องกันช่วยเหลือ จะส่งเทวดาไปอารักขา ถ้าสร้างความชั่วก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้ก็อดใจไว้ และก็มีหน้าที่บันทึกความดีความชั่วของคนทั้งการพูด การคิด การทำทุกอย่าง สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชอยู่กึ่งกลางเขาพระสุเมรุ คนที่ตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้ ต้องเคยได้ฌานสมาบัติ แต่เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย ถ้าขณะที่ตายเข้าฌานตาย ก็จะไปเกิดเป็นพรหม

ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ

๑) ท่านท้าวเวสสุวัณ คุมด้านทิศเหนือ

๒) ท่านท้าววิรุฬหก คุมด้านทิศใต้

๓) ท่านท้าวธตรฐ คุมด้านทิศตะวันออก

๔) ท่านท้าววิรูปักข์ คุมด้านทิศตะวันตก

ท่านท้าวเวสสุวัณ เป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศเหนือ

ท่านท้าวเวสสุวัณ เป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศเหนือ และเป็นประธานของท้าวมหาราชทั้ง ๔ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ในเมืองมนุษย์มักจะทำสัญลักษณ์เป็นรูปยักษ์ จะเห็นได้ตามวัด ตามถํ้าจะมีรูปปั้นยักษ์อยู่ทางด้านหน้าทางเข้า ก่อนที่ท่านจะมาเป็นท่านท้าวมหาราชเขตจาตุมหาราช ถอยหลังไป ๑ ชาติ ในตอนต้นเลยทีเดียวที่ยังไม่มีพระพุทธศาสนา มีแต่ศาสนาพราหมณ์ ท่านมีนามว่า "กุเวรพราหมณ์" เป็นชื่อเดิม ต่อมาท่านเป็นกษัตริย์ครองกรุงราชคฤห์มหานครทรงพระนามว่า "พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์" ท่านเกิดรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารครองกรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งต่อมาทรงออกผนวชบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทรง พระนามว่า "สมเด็จพระสมณโคดม" ท่านมีพระสหายอีก ๒ องค์คือ พระเจ้าปเสนทิโกศลครองกรุงสาวัตถีกับท่านพันธุรเสนา รวมเป็น ๔ องค์ เป็นเพื่อนรักกันมาก ต่างคนต่างเป็นลูกกษัตริย์ สมัยนั้นไปเรียนหนังสือที่เมืองตักศิลาด้วยกัน

ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ พระเจ้าพิมพิสารทรงคิดว่ามีเรื่องราวกับใคร จึงนิมนต์ให้เข้าประทับในเมือง จะมอบอำนาจให้ครึ่งหนึ่งและสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง ให้เป็นมหาอุปราช พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า "ไม่ได้หนีใคร ทรงเบื่อความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องการแสวงหาโมกขธรรม คือธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากความตาย และต้องการเอาธรรมนั้นมา สอนคนอื่น"

พระเจ้าพิมพิสารจึงบอกว่า "ถ้าพระองค์ทรงบรรลุเมื่อไร ขอมาโปรดท่านก่อน"

พระพุทธเจ้าก็ทรงรับ เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็ทรงสอนคนมาตามทาง จนกระทั่งถึงกรุงราชคฤห์มหานคร พบพระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ก็ทรงเทศน์ พอเทศน์จบปรากฏว่า พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันพร้อมกับคนจำนวนมาก หลังจากนั้นก็ได้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าประทับในพระเวฬุวันมหาวิหาร

อานิสงส์ของการถวายทาน
ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่นั้น พระเจ้าพิมพิสารไปเฝ้าทุกวัน ได้ถวายทานทุกวัน ฟังเทศน์ทุกวัน จึงมีอานิสงส์ดังนี้คือ

การถวายทาน เป็นปัจจัยให้ได้ทิพยสมบัติ

การถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร เป็นเหตุให้ได้วิมานสวยงาม

กำลังความเป็นพระโสดาบันและทรงฌานสมาบัติด้วย เป็นเหตุให้มีกำลัง เมื่อไปเป็นเทวดาก็ทรงอำนาจมาก

เวลาที่ท่านจะตาย ท่านถูกลูกชายคือ พระเจ้าอชาตศัตรู ทรมาน คือพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นกบฏทรยศต่อพ่อ แย่งราชสมบัติแล้วก็ทรมานพ่อ โดยจับขังคุก ต่อมาให้อดข้าว เมื่อท่านยังเดินจงกรมได้ ท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ แม้จะอดข้าวก็ไม่ตายผิวพรรณยังผ่องใส ในที่สุดเขาก็เฉือนเท้าไม่ให้เดิน ท่านก็มีความเจ็บปวดมาก แต่จิตใจก็นึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตร ท่านก็มีจิตใจชุ่มชื่น ปวดน่ะปวด แต่ท่านก็ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า คนเราที่เกิดมาทุกคน แม้ฐานะจะต่างกัน แต่สภาพจริงๆ มันเหมือนกันคือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นเหมือนกันหมดทุกคน และก็เดินเข้าไปหาความแก่ มีทุกขเวทนา มีการทรมานจากร่างกาย และในที่สุดก็เป็นคนตาย ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ จะเป็นเศรษฐี คหบดี หรือคนยากจนก็ตาม มีสภาพเหมือนกันไม่มีอะไรแตกต่างกัน

พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ท่านเป็นพระโสดาบันขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เวลาตายท่านออกด้วยกำลังของฌาน ๔ จะต้องไปเกิดเป็นพรหม แต่พอจิตแยกออกจากกายแล้ว ท่านมีความรู้สึกด้วยอำนาจกำลังจิตที่เป็นทิพย์ว่า ก่อนที่ท่านจะมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสารท่านเคยเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชมาก่อน ท่านก็เลยไม่ไปอยู่พรหม มาอยู่ชั้นจาตุมหาราชที่เดิม เมื่อท่านเป็นเทวดาแล้ว ท่านก็ฝึกฝนจนเป็นพระอนาคามี และท่านไม่กลับมาเกิดอีกแล้

ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้
ท่านท้าววิรุฬหก ท่านเป็นท่านท้าวมหาราชคุมด้านทิศใต้ บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ในเมืองมนุษย์มักเข้าใจว่า ท่านท้าววิรุฬหกและบริวารของท่านเป็น กุมภัณฑ์

"กุมภะ" แปลว่า "หม้อ" ท่านจึงแสดงรูปร่างอ้วนใหญ่เหมือนกับพ้อมใส่ข้าว ผิวดำปี๋ พุงก็ปลิ้น คอก็สั้น หัวก็โต ฟันก็ขาว เขี้ยวก็โง้งออกจากปาก มีริมฝีปากนูนๆ ตาใหญ่มาก สว่างแวววาวเหมือนกับไฟฉาย มองส่ายไปส่ายมา ทำให้น่ากลัว แต่ความจริงท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมาบอกอาตมาว่า ในสมัยเป็นมนุษย์ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ อาชีพของท่านเป็นคนมีเงินเดือน เป็นหัวหน้าคนกลุ่มใหญ่มีคนใต้บังคับบัญชานับพันคน ท่านบอกท่านเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน เคยเข้าสมาคมกับขุนนางชั้นสูงและกับคนทุกชั้น เพราะท่านมีเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร ท่านถือว่าทุกคนฐานะไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่กำลังใจเท่านั้น นอกจากนั้นท่านมีความต้องการหนังเหนียวยิงไม่ออก แคล้วคลาดจากอาวุธ และสามารถแสดงฤทธิ์ ท่านมีอาจารย์เป็นพระและเป็นฆราวาสก็มี ถ้ามีความดีเป็นกรณีพิเศษ การทำให้หนังเหนียวต้องใช้คาถา ก่อนที่จะใช้คาถาทั้งหมด ท่านต้องมีความเคารพพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ เคารพในพระธรรมคำสอน และเคารพในพระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์ หลังจากนั้นต้องทำจิตให้มั่นคงโดยภาวนาให้จิตทรงตัว ก็คือ จิตเป็นสมาธินั่นเอง ถ้าจิตมีสมาธิสูง กำลังอานุภาพที่ต้องการก็จะมีอานุภาพมาก ถ้ากำลังสมาธิตํ่าของที่เรียนมาก็มีอานุภาพตํ่า การท่องคาถาอาคม การปลุกตัว การปลุกของ ต้องทำทุกวันเพื่อความมั่นคง จิตต้องเข้าถึงฌานสมาบัติ แต่เวลาที่ท่านตาย ท่านไม่ได้เข้าฌานตาย

เมื่อตายแล้วท่านไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ต่อมาก็ขึ้นเป็น เทวดาชั้นอินทกะ (คำว่า "อินทกะ" แปลว่า "ผู้เป็นใหญ่" คือเป็นรองท่านท้าวมหาราช อินทกะนี้มีได้ทิศละพันองค์ พร้อมที่จะเป็นท้าวมหาราชได้ตามความสามารถและวาสนาบารมี ในเมื่อท่านท้าวมหาราชไปจากชั้นนี้ คือจากชั้นจาตุมหาราชไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูงบ้าง หรือว่าไปเป็นพรหมบ้าง หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ตาม) จากอินทกะท่านก็เป็นท้าวมหาราช คือท่านท้าววิรุฬหกในปัจจุบันนี้

ท่านท้าวธตรฐ ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศตะวันออก
วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ เห็นท่านท้าวมหาราชมานั่งอยู่ องค์หนึ่งมาตัวสูงเท่ายอดตาล จึงหันไปถามว่า "ใคร" ท่านท้าววิรุฬหกตอบว่า "ท่านธตรฐครับ" พอท่านเข้ามาใกล้ก็เลยถามว่า "ทำไมสูงเหมือนเปรตแบบนี้ล่ะ" ท่านตอบว่า "อย่างนี้เขาเรียกสูงแบบเทวดา ไม่ใช่สูงแบบเปรต" ถามท่านท้าวธตรฐว่า "อดีตของท่านเคยเป็นอะไรมาตอนเป็นมนุษย์" ท่านตอบว่า "อดีตผมเป็นพระราชาเมืองพาราณสีครับ" ก็เลยถามท่านว่า "เวลานั้นไม่มีพระพุทธศาสนาเป็นเทวดาได้อย่างไร"

ท่านตอบว่า "เทวดาหรือพรหมไม่จำเป็นต้องนับถือพระพุทธศาสนาเสมอไป พราหมณ์ก็เป็นเทวดาเป็นพรหมได้" เวลานี้ท่านเป็นพระอนาคามี เป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง ท่านไม่กลับลงมาเกิดอีกแล้ว

ท่านท้าววิรูปักษ์ ท่านเป็นท้าวมหาราชคุมด้านทิศตะวันตก
ในวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๑ วันเดียวกันนั้นอาตมาได้หันไปถาม ท่านวิรูปักษ์ ว่า "อดีตท่านเป็นอะไร" ท่านตอบว่า "อดีตผมอยู่ปักษ์ใต้ ประเทศไทยนี่เอง เป็นผู้ชายไทย ฐานะสูงมากสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ฌานสมาบัติแต่เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย ตายแล้วไปเป็นอินทกะเลย เมื่อท่านวิรูปักษ์องค์เก่าขึ้นไปเป็นพรหม ท่านก็ขึ้นเป็นแทน ท่านเก่งมาก

เป็นอันว่าก็ได้ทราบประวัติของท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ แล้วว่าใครเป็นใคร ทำให้ทราบว่าการเป็นเทวดาก็ไม่หนักสำหรับพวกเรา การเป็นพรหมก็ไม่หนัก การไปพระนิพพานก็ไม่หนัก การไปนรกก็ไม่หนัก ชอบทางไหนก็ไปได้ทั้งนั้น.."

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557

สวัสดีปีใหม่ไทย สุขสันต์วันสงกรานต์ ขอเชิญเที่ยวงานสงกรานต์ ปฏิบัติธรรม วัดวีระโชติฯ เสริมบารมีแก่ท่านและครอบครัว แก้ปีชง ๒๕๕๗

สวัสดีปีใหม่ไทย สุขสันต์วันสงกรานต์ 
ขอเชิญเที่ยวงานสงกรานต์ ปฏิบัติธรรม วัดวีระโชติฯ เสริมบารมีแก่ท่านและครอบครัว แก้ปีชง
ปิดทองลูกนิมิต ไหว้พระประธาน ๕ พี่น้อง
(หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อโต วัดบางพลี หลวงพ่อวัดบ้านแหลม 
หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อวัดเขาตะเครา)
รอดหลวงพ่อโต(เงินไหลมาเทมา) เสริมดวงและสะเดาะเคราะห์
กราบไหว้หลวงพ่อทองคำ(จำลอง)วัดไตรมิตร
กราบไหว้หุ่นขี้ผึ้งเกจิอาจารย์ทั่วประเทศ
สรงน้ำครูบาอาจารย์ชื่อดังอาทิ หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต เป็นต้น
สักการะหุ่นขึ้ผึ้งรูปเหมือนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๗

กำหนดการ
งานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๗
ณ วัดวีระโชติฯ เมือง ฉะเชิงเทรา
วันที่ ๑๓ - ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๗
วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๗
เวลา ๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์ สามเณร
เวลา ๑๒.๐๐ น. สรงน้ำพระ(สรงที่มือ)

วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๗
เวลา ๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์ สามเณร
เวลา ๑๒.๐๐ น. สรงน้ำพระ(สรงที่มือ)

วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๗
เวลา ๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์ สามเณร
เวลา ๑๒.๐๐ น. พระสงฆ์สวดมาติกา - บังสุกุล
เวลา ๑๓.๐๙ น. พิธีเททองหล่อนำฤกษ์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ขนาด ๕ นิ้ว จำนวน ๕๖ องค์ โดยหลวงพ่อองอาจ
เวลา ๑๓.๓๐ น. สรงน้ำพระ(สรงที่องค์)

หมายเหตุ ผู้ที่มาร่วมบุญสามารถ นำอัฐิบรรพบุรุษมาประกอบพิธีได้ที่วัด ซึ่งทางวัดได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว

โทรสอบถามรายละเอียดได้ที่ 089-748-6427,084977 3339, 097-922-4888


วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

เชิญบูชาเหรียญเสมาหลวงพ่อโสธร ยันต์เกราะเพชร ทุนการศึกษา ๒๕๕๖

เชิญบูชาเหรียญเสมาหลวงพ่อโสธร ยันต์เกราะเพชร ทุนการศึกษา ๒๕๕๖
(ช่วยแชร์ไปด้วยนะครับ)
พิธีพุทธาภิเษก หลวงพ่อโสธร ยันต์เกราะเพชร
วันพฤหัสบดี ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557
ได้รับความเมตตา จาก
1.พระเดชพระคุณพระพรหมเวที (สนิท ชวนปญฺโญ) เจ้าคณะหนใหญ่ตะวันออก
เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม
2.พระเดชพระคุณพระพรหมสุธี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดสระเกศ
(ประธานดับเทียนชัย)
3.หลวงพ่อท่านเจ้าคุณ พระเทพสิทธิญาณรังษี วิ. เจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม
(ประธานจุดเทียนชัย)
4.ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาพิธาน รจจ.ฉะเชิงเทรา วัดโสธรวาราม
5.หลวงพ่อนิภา วัดเจดีย์ 108 พระองค์ จ.เพชรบูรณ์
6.พระครูประโชติบุญญาภรณ์ (หลวงพ่อประทวน) เจ้าอาวาสวัดถ้ำดาวเขาแก้ว
7.พระครูสุวรรณธรรมวงศ์ เจ้าอาวาสวัดสุวรรณมาตร เจ้าคณะตำบลตลองอุดลจร
8.หลวงพ่อหล่ำ พระครูสิริธรรมรัต วัดสามัคคีธรรม ลาดพร้าว กทม.
9.พระครูภาวนาวีรคุณ วิ. (หลวงพ่อองอาจ อาภากโร) เจ้าอาวาสวัดวีระโชติฯ

****รูปภาพ ๒๐ ก.พ. ๕๗ ก่อนเริ่มพิธีพุทธาภิเษก ดูได้ที่นี่
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.611038682304074.1073741959.382171541857457&type=3

****รูปภาพ๒๐ ก.พ. ๕๗ พิธีพุทธาภิเษก ดูได้ที่นี่
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.611042135637062.1073741960.382171541857457&type=3
เปิดสั่งจองและบูชา
เหรียญเสมา หลวงพ่อพุทธโสธร ยันต์เกราะเพชร
ย้อนยุคปีพ.ศ.2509

พระครูภาวนาวีรคุณ วิ. สร้างถวายวัดโสธรวราราม,วิทยาลัยสงฆ์

สมทบทุน : กองทุนการศึกษา เพื่อระดมทุนเข้ากองทุนฯ
ชมรมคณะพุทธศาสตร์ วิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ฉะเชิงเทรา รุ่นที่ 60 และรุ่นที่ 1 ก่อตั้งชมรมคณะพุทธศาสตร์

พิธีพุทธาภิเษก
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๗ เวลา ๑๙.๐๙ น.
ณ วิหารแก้วพระราชพรหมยาน วัดวีระโชติธรรมาราม ฉะเชิงเทรา

สั่งจองได้ 2 แบบ ดังนี้
1.เนื้อเงินลงยาร้อน 2,000 บาท จำนวนสร้างตามจอง
2.เนื้อทองเหลืองลงยาร้อน สร้างจำนวน 999 องค์
ลงยาร้อน สีชมพู 499 บาท (สีประจำ มจร.)
ลงยาร้อน สามสี 499 บาท (สีแดง เหลือง น้ำเงิน)
ลงยาร้อน สีเหลือง 299 บาท
ลงยาร้อน สีน้ำเงิน 299 บาท
ลงยาร้อน สีเขียว 299 บาท
ลงยาร้อน สีแดง 299 บาท

***ชุดพิเศษ 1 ชุดกรรมการ 5 องค์ ชุดละ 1,999 บาท
1.ลงยาร้อน 3 กษัตริย์ (ไม่มีจำหน่าย)
2.ลงยาร้อนสีเหลือง
3.ลงยาร้อนสีแดง
4.ลงยาร้อนสีเขียว
5.ลงยาร้อนสีน้ำเงิน

***ชุดพิเศษ 2 ชุดกรรมการ 5 องค์ ชุดละ 1,499 บาท
1.ลงยาร้อนสีชมพู (สีประจำ มจร.)
2.ลงยาร้อนสีเหลือง
3.ลงยาร้อนสีแดง
4.ลงยาร้อนสีเขียว
5.ลงยาร้อนสีน้ำเงิน

ติดต่อสอบถามได้ที่
1. พระครูสุภาจารโสภิต เจ้าอาวาสวัดใหม่คูมอญ โทร. 089 744 1259
2. พระมหาวินัย โฆสนาโม รองเจ้าอาวาสวัดสุวรรณมาตร โทร.089 549 4610,086 895 6649
3. พระครูปลัดเฉลิมพล สุเมโธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดวีระโชติฯ โทร. 087 922 4888

จองและบูชา สามารถแจ้งได้ที่กล่องข้อความ https://www.facebook.com/pages/ชมรมพุทธศาสตร์-วิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร-๒๕๕๖/173676142796962?sk=messages_inbox





วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม เรื่องพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
ตอบปัญหาธรรม เรื่องพระปัจเจกพระพุทธเจ้า


ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านต้องบำเพ็ญบารมีนานไหมครับ จึงจะตรัสรู้ได้....?

หลวงพ่อ : พระปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญบารมีเท่ากับพระอัครสาวก คือ ๒ อสงไขยกับแสนกัป

ผู้ถาม : ท่านตรัสรู้เองใช่ไหมครับ.....?

หลวงพ่อ : ใช่ ลงคำว่า พุทธเจ้า ต้องตรัสรู้เอง คือไม่ต้องรับคำสอนจากคนอื่

ผู้ถาม : มีเฉพาะตอนที่มีพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ....?

หลวงพ่อ : เจ๊ง...พระปัจเจกพระพุทธเจ้าจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อว่างจากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มีพร้อมพระพุทธเจ้า อย่างศาสนานี้สิ้นไป ในช่วงว่างก่อนจะถึงพระศรีอาริย์ ในช่วงนี้มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า สมัยพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเวลานี้ก็ไม่มีสาวก ก็มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้งหมด เพราะปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้บรรลุเพียงองค์เดียวอย่างพระพุทธเจ้า ก็มีได้เป็นหมื่นเป็นแสน แต่พระพุทธเจ้าจะต้องมีองค์เดียว มีซ้อนไม่ได้

ผู้ถาม : แล้วทำไมพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเมื่อท่านตรัสรู้แล้วจึงไม่สอนเหมือนกับพระพุทธเจ้าครับ....?

หลวงพ่อ : เกิดทันรึ...รู้เหรอว่าท่านไม่สอน เคยพบหรือเปล่า....?

ผู้ถาม : ?....?....?

หลวงพ่อ : ท่านสอน จะว่าไม่สอนเลยนั้นไม่ใช่ แต่ว่าไม่สอนถึงอริยสัจ ถ้าไปศึกษากับท่าน ท่านก็สอนแค่อภิญญาโลกีย์ ส่วนที่ตัดเข้าถึงมรรคผลนั้นเป็นเรื่องของบุคคลนั้นเอง ปัจเจก เขาแปลว่า รู้เฉพาะตน ความจริง คำว่า "เฉพาะ" ก็มีเฉพาะส่วนที่เป็นอริยสัจเท่านั้นเองนะ

ผู้ถาม : ถ้าอย่างนั้นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็รู้หมดทุกอย่างใช่ไหมครับ....?

หลวงพ่อ : รู้หมด....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซิ รู้ไม่หมด

ผู้ถาม : อ้าว...ทำไมยังงั้นล่ะครับ

หลวงพ่อ : ถ้าถามปัญหาพระพุทธเจ้า ท่านรู้ทุกอย่าง รู้ไม่หมดสักที พระปัจเจกพระพุทธเจ้าถามไปถามมา...หมด นี่เขา เรียกว่า รู้หมด

ผู้ถาม : อ๋อ...แหมศัพท์ภาษาไทยนี่ไม่รู้เรื่อง อยู่ห่างวัดเป็นอย่างนี้

หลวงพ่อ : เป็นอันว่าพระปัจเจกพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม แต่เรื่องนิพพานท่านไม่สอนใคร เพราะไม่ใช้หน้าที่ของท่าน

ฉะนั้นพระถ้าเข้าถึงจุดหมายปลายทาง ท่านจะรู้หน้าที่ของท่าน อย่างพระที่ยังไม่เป็นอรหันต์ เป็นหมอดู เป็นหมอรักษาโรค เราใช้ได้ทุกอย่าง ท่านจะทำให้ทุกอย่าง พอถึงอรหันต์ปั๊บ ท่านรู้เลยว่าท่านเกิดมานี่เพื่อทำกิจอะไร.....อย่างอื่นที่ไม่ใช่ของท่าน ท่านจะไม่ทำ จะงดหมด ท่านทำเฉพาะกิจ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ท่านสอนเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม แต่เรื่องนิพพานท่านไม่สอน

ที่มา https://www.facebook.com/photo.php?f...%21%2FBuddhaSattha

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

ความเป็นมาของการสวดภาณยักษ์ โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง

ความเป็นมาของการสวดภาณยักษ์ โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง

ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อไปนี้ก็ฟังความเป็นมาของการเทศน์ภาณยักข์หรือว่าสวดภาณยักข์ ก็เป็นอันว่า เรื่องราวต่าง ๆ ก็เป็นของ จุไร กับท่านท้าวเวสสุวัณ ตามเดิม เป็นอันว่า เมื่อท่านลุงท้าวเวสสุวัณ คลายจากความเมื่อย ความปวด แต่ความจริงท่านผู้ฟังอาจจะสงสัยว่า เทวดาไม่มีทุกขเวทนาแบบนี้ ทำไมเรื่องนิทานเรื่องจึงบอกว่า มีความเมื่อย ความปวด ก็ต้องขอบอกให้ทราบว่า นี่เป็นนิทาน แต่ความจริงเวลามันหมด จะไปบอกอย่างนั้นว่า หมดเวลา กำลังใจก็เสีย หาจุดจบไม่ได้ จึงบอก ปวดไป เมื่อยไป ก็หมดเรื่องราวกัน ก็เป็นอันว่า ในเมื่อเวลาปรากฏขึ้นมาใหม่ ก็ขอนำความเป็นมาจากเรื่องภาณยักข์ เรื่องภาณยักข์นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทได้ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง ต่างคน ต่างก็เล่าลือกันว่า การสวดภาณยักข์ มีความสำคัญ ถ้าสวดเมื่อไร คนที่ถูกคุณไสยก็ตาม ผีเข้าเจ้าสิงก็ตาม เขาจะอยู่ไม่ได้ จะต้องออกจากร่างกายของคนนั้น

แต่ว่าพิธีกรรมการสวดภาณยักข์ต้องมีพิธีกรรมให้ถูกต้อง ถ้าจะถามคนเล่านิทาน ก็ตอบว่า ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะคนเล่านิทานนี่ เป็นคนเคยแต่เพียงว่า ไปเทศน์เรื่องภาณยักข์ แต่พิธีกรรมต่าง ๆ นี่เป็นเรื่องของเจ้าภาพท่าน แต่ผลที่เป็นมาจริง ๆ ที่เวลาเขาสวดภาณยักข์ พระท่านสวดกัน การสวดภาณยักข์ต้องเลือกพระเฉพาะพระพิธีกรรม คือ มีความเข้าใจในบทสวดทั้งหลายเหล่าจริง ๆ และก็สวดกันน่าตื่นเต้นมาก ผีออก จริง ๆ คนที่ถูกผีเข้าสิงเจ้าสิงวิ่งพล่านไป วิ่งพล่านมา บางคนก็ดิ้น บางคนก็ร้อง บางคนทั้งร้อง ทั้งดิ้น ประเดี๋ยวก็หายไป เมื่อเลิกแล้วปรากฏว่า หายหมด ทุกคนบอก สบายขึ้นมาก ความเป็นมาของภาณยักข์ เป็นมาอย่างไร ก็ฟังลุงกับหลานคุยกัน

เป็นอันว่า จุไร ก็ถามท่านลุงว่า คุณลุงเจ้าคะ หนูเคยไปกับแม่ไปที่วัด ๒-๓ แห่งด้วยกัน เมื่อปีที่แล้ว ปรากฏวัดทั้งหลายเหล่านั้นมีพิธีกรรม สวดภาณยักข์ แต่ผลพิธีกรรมสวดภาณยักข์ ไม่ค่อยจะเหมือนกัน วัดแรกมีความศักดิ์สิทธิ์มากเพราะว่าเวลาสวดภาณยักข์จริงๆ เสียงพระที่สวดน่ากลัวมาก เสียงกระแทกกระทั้น เสียงดังกึกก้อง ตกใจ หนูเองฟังแล้วยังหวั่นไหวในเสียงของพระ แต่สิ่งที่อัศจรรย์คือว่า คนที่นั่งในศาลาทั้งหมด ทีแรกก็นั่งกันเงียบ พอพระสวดถึงบทตอนสำคัญ

เสียงกระแทกกระทั้นมาก ๆ หนักเข้า คนบางคนหรือหลาย ๆ คน ลุกขึ้นวิ่งบ้าง บางคนก็นอนดิ้น ร้องบ้าง ดิ้นแล้วก็ร้อง ร้องแล้วก็ดิ้น บางคนก็สิ่งไป บางคนก็ชัก ดิ้นพราด ๆ ในที่สุด เมื่อพระสวดจบ คนทั้งหลายเหล่านั้น ก็สงบและทุกคนก็บอกว่า มีความสุข บางคนก็บอกว่า คล้าย ๆ กับอะไรออกจากร่างกาย ซู่ซ่า บางคนออกอย่างแรง บางคนก็ออกเรียบ ๆ แต่ว่าในที่สุด ทุกคนบอกว่า มีความสุขหมด มีความสบายมาก หนูอยากจะทราบความเป็นมาจริง ๆ ของเรื่องภาณยักข์ คำว่า ภาณยักข์ นี่หมายความว่าอะไร คือว่า เขาพูดกัน ๒ คำ ภาณยักข์ ด้วย และก็ ภาณพระ ด้วย หนูมาเห็นลุงทั้งสองคือ ท่านลุงวิรุฬหกก็ดี ท่านลุงท้าวเวสสุวัณก็ดี ท่านทั้งสองในตอนต้นท่านเป็นยักข์ แสดงตัวโต ๆ ใหญ่ หน้าตาใหญ่ ดุดัน ฉะนั้นคำว่า ภาณยักข์ เป็นพานใส่ของของยักข์ใช่ไหมเจ้าคะ ท่านลุงเวสสุวัณฟังแล้วก็ยิ้ม บอกว่า หลาน คำว่า ภาณยักข์ เป็นภาษาบาลี ไม่ใช่ภาษาไทย บาลีน่ะ ภาณ ตัวนี้แปลว่า พูด ยักข์ ก็คือ ยักข์ คำว่า ภาณยักข์ แปลว่า ยักข์พูด

ต่อมาในตอนที่สอง เรียกว่า ภาณพระ ภาณพระ ก็คือ ตอนพระพูด จุไรก็ถามว่า ความเป็นมาจริง ๆ ของเรื่อง การสวดมนต์ภาณยักข์ กับภาณพระ เป็นอย่างไรเจ้าคะ เห็นพระท่านสวดกันยาวมาก ท่านลุงก็บอกว่า การที่พระสวดยาว ๆ เป็นการเล่าเรื่องในตอนต้นให้ฟัง เล่าความเป็นมาของภาณยักข์ ตอนยักข์พูด และตอนภาณพระ ตอนพระพูด แต่ตอนบทจริง ๆ ที่ใช้เนื่องในการภาณยักข์หรือภาณพระ นี่ก็คือบท วิปัสสิส ใน๗ ตำนาน บทนี้บรรดาพระเณรทั้งหลายในวัดได้กันหมด หรือคนที่รักษาศีลอุโบสถ ที่เขาอยู่วัดกัน เขาก็สวดกันได้

จุไรก็ถามว่า บทวิปัสสิสนี้ สวดแล้วมีผลอย่างไรเจ้าคะ ลุงก็บอกว่า บทวิปัสสิส เป็นบทสวด แสดงความเคารพพระพุทธเจ้า เป็นต้น แต่ว่าบุคคลใด ถ้าสวดไว้ เจริญไว้ ต้องสวดต้องเจริญแบบปกตินะ ไม่ใช่สวด ไม่ใช่เจริญแบบประเภทไล่ผี ขับผี ถ้ามีเจตนาร้าย ผีจะเกลียด

ถ้าสวดไว้เป็นแบบปกติ ผีจะไม่รบกวน เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ จะไม่รบกวน เธอก็บอกว่า สวดอย่างไรเจ้าคะ สวดตามปกติ สวดด้วยความเคารพ ท่านก็เลยบอกว่า ก่อนที่จะสวด ก็ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย พระธรรมด้วย พระอริยสงฆ์ด้วย เทวดา กับพรหมทั้งหมดด้วย และก็สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าเป็นต้น เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น หนูก็อยากจะทราบความเป็นมา บทวิปัสสิส นี่ ถ้าไปถามพระองค์ไหน องค์นั้นก็รู้ใช่ไหมเจ้าคะ

ท่านลุงก็บอกว่า ใช่ เธอก็ถามว่า ความเป็นมาจริง ๆ เป็นมาอย่างไร ท่านลุงจะเล่าให้ฟังได้ไหม ท่านลุงก็บอก ถ้าหลานต้องการจะฟังลุงจะเล่าให้ฟัง คือ บทภาณยักข์ หรือภาณพระ นี่เป็นเครื่องความเป็นมาของลุงเอง ท่านก็เล่าความเป็นมาว่า ความเป็นมาจริง ๆ มีอย่างนี้ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว

หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท คนที่หวังมรรค หวังผลมีความสุข หวังไม่ต้องการความเกิด แก่ ตาย ในวันหน้า หมายความว่าร่างกายนี้ตายแล้วก็แล้วกัน ไปนิพพาน จะถึงนิพพาน หรือยังไม่ถึงก็ตาม ก็ตั้งใจปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพ ทุกคนเมื่อปฏิบัติตามนี้ มักจะนั่งในที่สงัด อยู่ในป่าชัฏบ้าง อยู่ในป่าช้าบ้าง อยู่ในเรือนว่างเปล่า อย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าเมื่อคนทั้งหลายตั้งใจทำความดีเพื่อตัดกิเลสแบบนี้ ก็ยังมีบรรดาภูติผีทั้งหลายก็ดี เทวดาบางพวกก็ดีที่ไม่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เขาจะกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า เขาก็ทำไม่ได้ ก็เลยหาทางกลั่นแกล้งลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า คือ คนที่ปฏิบัติความเพียร อยู่ในที่สงัด เข้าไปแสดงตัวให้ปรากฏบ้าง ส่งเสียงร้องคำรามบ้าง ทำให้กลัว หรือนั่งใกล้ ๆ ทำให้ขนลุกซูซ่า ทำให้กลัวบ้างอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นเหตุให้คนทั้งหลายเหล่านั้นมีความหวาดหวั่นไม่สามารถจะบำเพ็ญบารมีหรือไม่สามารถจะบำเพ็ญฌานสมาบัติเป็นการตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน

ลุงก็มีความเห็นว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ตั้งใจทำความดี แต่เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี ผีที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี กลั่นแกล้งแบบนี้ เป็นการไม่ชอบธรรม ในฐานะที่ ลุงเป็นท้าวจตุโลกบาล คือ ลุงกับคณะ คือ ลุงเอง ๑ ท้าวเวสสุวัณ ๒.ท่านท้าววิรุฬหก ๓. ท่านท้าววิรูปักข์ ๔. ท่านท้าวธตรฐ ทั้ง ๔ คนนี้มีหน้าที่รักษาชาวโลก คือ ชาวมนุษย์โลก ถ้าสร้างความดีก็หาทางป้องกัน ช่วยเหลือ ถ้าเขาสร้างความชั่ว ก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้ ก็อดใจไว้ แล้วก็มีหน้าที่ ต้องบันทึกความดีหรือความชั่วของคน ทั้งการพูด การคิด การทำทุกอย่าง ใครทำความดี ใครทำดี ใครพูดดี ใครคิดดี ก็จดบันทึก ใครคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย ก็บันทึกตอนนี้จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เขาพูดก็ดี เขาทำก็ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ปรากฏ แต่ตอนเขาคิดในใจนี่ ลุงรู้ได้

อย่างไร ท่านท้าวเวสสุวัณ ก็บอกว่า เทวดาทุกองค์ นางฟ้าทุกองค์ หรือพรหมทุกองค์ ร่างกายเป็นทิพย์ และก็มีจิตใจเป็นทิพย์ ความเป็นทิพย์นี่ สามารถรู้การเคลื่อนไหว ความรู้สึกของคนได้ทุกอย่าง แล้วจุไรก็ถามว่า คนมีมาด้วยกัน ทั้งโลก ไม่ใช่ล้าน สองล้าน นับเป็นพันล้าน แล้วลุงคนเดียวจะรู้ได้อย่างไร

ท่านเวสสุวัณก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงคนเดียวที่จะต้องรู้ ผู้ที่รู้อันดับแรกก็คือ ภูมิเทวดา ภูมิเทวดา ที่ชาวบ้านตั้งศาลให้นั่นแหละ เขาเป็นคนรู้ เป็นเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขต เป็นจุดแคบ ๆ แล้วท่านผู้นี้ไม่ต้องไปนั่งจ้อง คิดว่า ใครจะทำโน่น ใครจะทำนี่ ใครจะคิดอะไร ไม่จำเป็น รู้เอง เมื่อเขาคิดดี ก็ขึ้นบัญชีดี ความคิดขึ้นบัญชีเอง เมื่อเขาคิดชั่ว ความคิดนั่นก็ขึ้นบัญชีชั่ว แต่ว่าไม่ใช่แผ่นทองคำหรือแผ่นหนังสุนัข เพราะว่า เมืองเทวดาไม่มีสุนัข ไม่สามารถจะเอาหนังสือมาเขียนได้ เป็นอันว่า มีบัญชีของเทวดาก็แล้วกัน

ถ้าพูดไป หลานจะงง หลังจากนั้น ในกลุ่มหนึ่งของภูมิเทวดาหลาย ๆ องค์ ก็มีอากาสเทวดาชั้นจาตุมหาราช ไปคุม ๑ องค์ ถึงเวลาวันโกนหรือวันกลางเดือน หรือวันสิ้นเดือน เขาก็นำบัญชีมาให้เทวดาชั้นจาตุมหาราช ชั้นจาตุมหาราชก็นำบัญชีทั้งหมด เท่าที่ได้รับมา แต่ละหน่วย ๆ มาให้เทวดาที่เป็น
มหาอำมาตย์รองจากอินทกะหลังจากนั้นท่านมหาอำมาตย์ก็มอบให้ท่านอินทกะ ท่านอินทกะก็มอบให้ลุงแจ้งให้ทราบ ลุงก็แยกบัญชี ส่วนบัญชีส่วนไหนเป็นความดี แจ้งไปดาวดึงส์ ให้เทวดาไปมอบให้ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร เป็นเลขาของพระอินทร์ แล้วท่านปัญจสิกขเทพบุตร ก็อ่านประกาศในวันที่ประชุมเทวดา และนางฟ้า บัญชีที่ทำบาป ลุงก็ส่งไปให้พระยายม แต่ความจริงบัญชีพระยายนั้นมีทั้งบัญชีทำความดี และบัญชีทำความชั่ว ทั้งบุญ และบาป ส่งไป ๒ อย่าง เหมือนกัน ก็เป็นอันวา ลุงรู้ตามนี้

จุไรฟังแล้วก็นั่งงงคิดไม่ออกว่า ความเป็นทิพย์ ทำไมมีการคล่องตัวมาก แต่ก็ไม่ถาม เธอก็ย้อนถามมาว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงเจ้าคะ ขอเล่าเรื่องความเป็นมาของภาณยักข์ก็แล้วกัน ท่านลุงก็บอกว่า ในเมื่อเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี ภูติผีปีศาจต่าง ๆ ที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี คอยกลั่นแกล้งลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ลุงเองในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน ลุงเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ ก็มีความจำเป็น ต้องหาทางสงเคราะห์คนพวกเดียวกัน คือ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า จึงได้ประชุมท่านท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ คือ ท่านท้าวธตรฐ ท่านท้าววิรุฬหก ท่านท้าววิรูปักข์ เวลานี้ท่านทั้งสามก็มาอยู่ร่วมกันที่นี่แล้วก็เป็นอันว่า ในเวลานั้น

เมื่อประชุมกันเสร็จก็หารือกันว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ มันเกิดขึ้นอย่างนี้ เราจะช่วยคนที่เขาตั้งใจทำความดีสร้างบุญสร้างกุศล เราจะทำอย่างไร ในที่สุด ทั้งสี่ท่านก็มีมติเห็นชอบพร้อมกันว่า เราจะสร้างบทสวดมนต์ขึ้นบทหนึ่ง บทสวดมนต์นี้มีการสรรเสริญพระพุทธเจ้า เป็นต้น เมื่อสร้างบทสวดมนต์แล้วเสร็จ แล้วก็สั่งประชุมเทวดาทั้ง ๔ ทิศ ให้ประกาศให้ทราบว่า ทุกคน เทวดาหรือนางฟ้าทุกองค์ จะนับถือพระพุทธเจ้าหรือไม่นับถือก็ตาม อันนี้ไม่รับทราบ ให้พึงทราบว่า ถ้าบุคคลใด เขาสวดมนต์บทนี้อยู่ด้วยความตั้งใจดี ไม่ใช่กลั่นแกล้ง ไม่ใช่ขับเทวดา ไม่ใช่ขับผี เมื่อเขาไปอยู่ที่ไหนก็ตาม พอเริ่มต้นปั๊บ ก็สวดมนต์ตั้งแต่ นโม ตสส เรื่อยไป และขั้นต่อไปก็สวดบทนี้ ด้วยความเคารพ ถ้าหากว่า ท่านผู้ใดเขาสวดมนต์บทนี้อยู่ ไม่ใช่สวดทั้งวันนะ เอาแค่จบเดียวก็พอ ก็ห้ามบรรดาเทวดากับนางฟ้าทั้งหมด และภูติผีปีศาจทั้งหมด ห้ามเข้าไปนั่งใกล้ คนที่เขาเจริญมนต์แบบนี้ บทวิปัสสิสนี่นะ ห้ามเข้าไปนั่งใกล้ ห้ามไปล้อ ไปเลียน ห้ามไปหลอก ไปหลอน ห้ามไปกลั่นแกล้ง ถ้าเทวดาหรือนางฟ้า หรือภูติผี ท่านใดฝ่าฝืน ท้าวมหาราชทั้งสี่จะปรับโทษ ในฐาน กบฎ เอาโทษหนัก

ในเมื่อลุงประชุมเทวดากับนางฟ้าทั้งหมดแล้ว ลุงทั้งสี่ก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินสีห์ แล้วกราบทูลความเป็นมาเรื่องนี้ให้ทราบ ตามที่กล่าวมาแล้ว ถ้าขืนย้อน ๆ ไป มันจะช้าจะเนิ่นนานรำคาญ ขณะที่ลุงกราบทูลพระพุทธเจ้า ตอนนี้เขาเรียกว่า ภาณยักข์ ซึ่งเขาลือว่า ท้าวเวสสุวัณนี่เป็นยักข์ เขาจึงได้เขียนรูปเหมือนยักษ์

แต่ยักษ์ที่เขาเขียนมันไม่เหมือนยักษ์ที่ไหน ไม่ว่ายักษ์ที่ไหนจะมีเขี้ยวออกนอกปาก เป็นเขาวัว เขาควายแบบนั้น กัดใครไม่ได้ เขี้ยวยักษ์ ไม่ใช่เขี้ยวขวิด เขี้ยวยักษ์เป็นเขี้ยวกัด ในเมื่อทำเขี้ยวโง้งออกจากปาก จะกัดได้อย่างไร อ้าปากมันไม่หุบเขี้ยว เขี้ยวไม่อยู่ในปาก ก็รวมความว่า ขณะที่ลุงเป็นผู้แทนของท้าวมหาราช อีก ๓ องค์ ปกติเวลาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ลุงเองเป็นผู้กราบทูลแทน ท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ ท่านไม่พูด เป็นแต่เพียงยอมรับว่า ท่านร่วม

เมื่อขณะที่ลุงรายงาน ขอให้พระพุทธเจ้าส่งมนต์บทนี้ให้แก่บรรดาสาวกทั้งหมด แจ้งให้ทราบว่า มนต์นี้ ถ้าใครสวดขึ้นแล้วก็ตาม คำว่า สวด ให้สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ไม่ใช่ตั้งใจขับผี ขับสาง ถ้าสวดมนต์บทนี้อยู่หรือสวดแล้วก็ตาม ในวันนั้นไม่ใช่ต้องนั่งสวดกันทั้งวัน ก็เป็นอันว่า ผีก็ดี เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ไม่สามารถจะเข้ามานั่งใกล้ ไม่สามารถจะกลั่นแกล้ง ไม่สามารถจะล้อเลียน ไม่สามารถจะหลอกได้

ถ้าใครฝ่าฝืนจะต้องถูกท้าวมหาราชทั้งสี่ลงโทษ ฐานกบฎ เป็นอันว่า ตอนนี้ลุงรายงานให้ท่านทราบ เขาเรียกว่า ภาณยักข์

ต่อมาเมื่อลุงกลับแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงเรียกพระประชุม เล่าความเป็นมาอย่างนี้ทั้งหมด ให้พระรับทราบ และแนะคำสวดมนต์ทั้งบทให้พระทั้งหลายสาธยายคือให้ท่องให้จำได้ แล้วก็ซ้อมพร้อมกัน

ตอนนี้ท่านเรียกว่า ภาณพระ คือ พระพูด พระ คือ พระพุทธเจ้าพูด ก็เป็นอันว่าเรื่องราวภาณยักข์ กับภาณพระ เป็นมาเท่านี้เองหลานรัก

แล้วจุไรก็ถามว่า เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกว่า เรียบ ๆ ไม่มีอะไรมาก แต่ว่าหนูมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่ง คุณปู่เล่าให้ฟังว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ มีพระองค์หนึ่ง ไปอยู่ในเขต เขาวงพระจันทร์ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในวัด ท่านปลูกกระท่อมอยู่ในป่า พระองค์นี้เป็นพระเสียงดัง ท่าทางห้าวหาญ หนูจำชื่อท่านไม่ได้ แต่ไม่ขอบอกชื่อ เพราะเกรงว่าจะไปตรงกับชื่อพระองค์ใดองค์หนึ่งเข้า จะหาว่ากล่าววาจาเสียดสี เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอกล่าวปฏิปทาของท่าน เพราะว่าท่านทราบมาจากคนแก่ คนเก่า ๆ หรือพระเก่า ๆ เคยเล่าให้ฟังว่า บทวิปัสสิสนี้ ถ้าสวดเสียงดังขนาดไหน ผีก็ดี เทวดา หรือยักข์ร้ายก็ตาม ที่จะกลั่นแกล้ง จะต้องอยู่สุดปลายเสียงโน้น ขณะได้ยินเสียงอยู่นี่ อยู่ไม่ได้ ต้องหนีไปให้พ้นเสียง

ฉะนั้น ตอนเช้าก็ดี ตอนกลางวันก็ดี ตอนเย็นก็ดี ตอนกลางคืน หัวค่ำก็ดี ตอนดึกก็ตาม ตอนเช้า ตื่นเช้าท่านจะสวดบทวิปัสสิส สวดเสียงดังมาก เลยต้องอยู่คนเดียว คนอื่นเขารำคาญ ตอนกลางวันก็สวดเสียงดัง ตอนเย็นก็สวดเสียงดัง พอค่ำไปหน่อยก็สวดเสียงดัง ตอนดึกก่อนจะนอนก็สวดเสียงดัง สวดอย่างนี้ทุกวัน แต่ปรากฏว่า มีวันหนึ่ง ตอนเย็นประมาณ ๔ โมงเย็นเศษ ใกล้จะ ๕ โมงเป็นเวลาที่พระองค์นี้สวดมนต์ แต่แทนที่จะได้ยินเสียงสวดมนต์ กลับได้ยินเสียงพระองค์นี้ร้อง โอ๊ย…ๆ ๆ ตายแล้ว ๆ ๆ กลัวแล้ว ๆ โอ๊ย… เสียงลั่นห้อง เสียงก้องไปในป่า ปรากฏว่า พระที่อยู่ไม่ไกลนัก หรือชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินเสียงท่าน ต่างคนก็ต่างวิ่งไปที่กระท่อมนั้น คิดว่า ใครมาทำร้ายร่างกายพระองค์นี้

แต่เมื่อทุกคนเข้าไปถึงประตูห้อง ก็ต้องผงะ เพราะเห็นบุคคลคนหนึ่ง ตัวสูงมาก หัวแค่ขื่อ นุ่งกางเกงสีแดง ใส่เสื้อสีแดง คาดหัวผ้าสีแดง แล้วก็หวายท่อนใหญ่ ตีพระองค์นี้ หวดอย่างขนาดหนัก เมื่อทุกคนเข้าไปที่นั่น ไปยืนอยู่ก็ยังตีอยู่ พอดีพระองค์หนึ่งท่านได้สติ ท่านยกมือไหว้ บอกว่า ท่านขอรับ ขออภัยเถิด หยุดแค่นี้เถิดขอรับ ท่านผู้นั้นก็หันมา แล้วก็หยุด แล้วก็ถอยหลังไปนิดหนึ่ง แล้วก็เอามือชี้หน้าอาจารย์องค์นั้น องค์ที่ถูกตี แล้วก้าวขึ้นขื่อหายไป

ก็เป็นอันว่า อยากจะทราบว่า คุณลุงเจ้าคะ ในเมื่อพระองค์นี้สวดขนาดนี้ ทำไมถูกเทวดาตี หนูคิดว่าเป็นเทวดา ท่านลุงบอกว่า การสวดแบบนี้ไม่ใช่สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าโดยตรง เป็นการตั้งใจขับผี ขับเทวดา ที่นี้เทวดาที่เขาดี เป็นสัมมาทิฐิเขาก็มีมาก แล้วผีก็เหมือนกัน ที่เป็นสัมมาทิฐิก็มีมาก มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าก็มีเยอะ ที่เป็นมิจฉาทิฐิมีน้อย การสวดแบบนั้นตั้งใจขับทั้งหมด ไม่เจาะจงเฉพาะที่เป็นมิจฉาทิฐิ และเจตนาจริง ๆ ก็ต้องการขับผี ขับเทวดา ฉะนั้น ในเมื่อโอกาสพึงมี เขาก็ต้องลงโทษ เป็นการสั่งสอนว่า ไม่ควรจะทำอย่างนั้น จุไรก็บอกว่า โอ้โฮ…การลงโทษหนักหนาเหลือเกินนะคะ คุณลุงท่านบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดา แต่เขาตีท่านไม่ถึงตาย เพราะเทวดาฆ่าคนให้ตายไม่ได้ เธอก็ถามว่า เทวดาผ้าแดง นุ่งแดง ใส่เสื้อแดง ผ้าคาดหัวแดง มีที่ไหน

ท่านลุงท่านก็บอกว่า หลานรัก มองไปดูข้างหลังซิ พอมองไปเห็นข้างหลังลุง เป็นร้อยเป็นพันเลย นุ่งกางเกงสีแดง ใส่เสื้อสีแดง คาดผ้าสีแดง ทุกคนเห็นจุไรแล้วก็ยิ้ม แล้วมีท่านหัวหน้าองค์ใหญ่ ๆ บอกว่า หลานรัก ลุงนี่ตามปกติก็มีเพชรเต็มตัวเหมือนกัน แต่ว่ายามที่ออกปราบปราม ท่านที่เป็นศัตรูกับพุทธศาสนา ก็ใช้สีแดง หรือมิฉะนั้น ถ้าบุคคลใดเขาจะตาย ถ้ามีความจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือนำไปสำนักพระยายม ก็ต้องใช้ชุดนี้ ถ้าอยู่ตามปกติ ลุงก็อาจจะนุ่งกางเกงในเฉย ๆ ก็ได้ แต่เวลาเข้าเฝ้าพระอินทร์ ต้องแต่งเต็มยศ ท่านพูดแล้ว เครื่องเต็มยศก็ปรากฏขึ้น มีชฎาแหลมเปี๊ยบ รูปร่างคล้ายพรหม

จุไรก็ยกมือไหว้ จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เขาลือว่า เทวดาสีแดง มีฤทธิ์มากใช่ไหม ท่านลุงก็บอกว่า มีฤทธิ์มากพอสมควร ไม่เกินวิสัยของลุง เพราะว่าลุงตายจากความเป็นคน ก่อนจะตายลุงได้ฌานสมาบัติ แต่ว่าเวลาจะตายไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ จึงไม่ได้เป็นพรหม มีจิตเป็นกุศล แต่ไม่ถึง จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงรู้จัก เลขหวย ไหมคะ ท่านลุงก็บอกว่า เรื่องเลขหวยน่ะหลาน ลุงรู้ทั้งหมด รางวัลไหนจะออกเลขอะไร รู้หมด แต่มันบอกไม่ได้ ตามระเบียบ ถ้าต้องการเลขหวยให้แม่นจริง ๆ ก็ถามลุงท้าวเวสสุวัณก็แล้วกัน

ท่านเวสสุวัณหันมาโบกมือบอก อย่ายุ่ง ๆ ซิ ไปยุให้เด็กขอหวยฉัน ฉันก็ให้ไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นกฎของกรรมก็เป็นอันว่า จุไรกับท่านลุงก็คุยเรื่อง ภาณยักข์ ท่านลุงก็บอกว่า การสวดภาณยักข์หรือเทศน์ภาณยักข์นะหลานรัก เขาต้องทำพิธีให้ถูก ถ้าการทำพิธีไม่ถูก ไม่ต้อง ก็ไม่มีการศักดิสิทธิ์ จุไรก็ถามว่า การศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้นเพราะอะไร ท่านท้าวเวสสุวัณก็บอกว่า ถ้าเขาทำถูกตามพิธีกรรม เขาเชิญเทวดาด้วยความเคารพ เขาตั้งศาลบวงสรวงด้วยความเคารพ เขามีเครื่องสังเวยถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อความเป็นสุขของคน และต้องการผลการปฏิบัติดี คือ การฟังเทศน์เรื่องนี้ เพราะเทศน์เรื่องนี้มีข้อปฏิบัติที่ดี ๆ มีมาก ตั้งใจให้ทุกคนมีความสุข โดยศีล โดยธรรม อย่างนี้ เทวดาชุดแดงเขาไปช่วย จุไรก็หันไปถามคุณลุงหัวหน้าบอก คุณลุงเจ้าคะ คุณลุงไปทุกงานหรือ ท่านลุงก็บอกว่า หลาน งานไหนทำถูก งานนั้นลุงไป ถ้างานไหนทำไม่ถูก งานนั้นลุงไม่ไปจุไรก็ถามว่า ถ้าจะทำให้ถูกอย่างไร ลุงก็บอกว่า ไม่ใช่วาระที่จะถามลุงในเวลานี้นะ เพราะว่าพิธีกรรมต่าง ๆ ทุกคนต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เขามีระเบียบปฏิบัติอยู่แล้ว ทำด้วยความเคารพจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ทำเป็นการค้า ถ้าวัดไหนต้องการทำเพื่อการค้า หวังได้เงินอย่างเดียว ขายข้าว ขายของ อยากได้เงิน อย่างนั้นลุงก็ไม่ไปช่วย ตามที่ลุงพูดกับท่านท้าวมหาราชเมื่อสักครู่นี้ว่าบางวัดก็มีผล บางวัดก็ไม่มีผล วัดที่มีผล เขาตั้งใจเป็นกุศลจริง ๆ

จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ลุงจะบอกพิธีกรรมได้ไหม ท่านลุงก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงเสียแล้ว จุไรจึงหันมาถามท่านท้าวเวสสุวัณว่า คุณลุงเจ้าคะจะบอกพิธีกรรมได้ไหม ท่านลุงก็บอก บอกได้ แต่ลุงคิดว่า ไม่บอกดีกว่า เพราะพิธีกรรมเขามีอยู่ ถ้าบุคคลใดต้องการอยากจะรู้ ต้องการอยากจะทำ ก็เข้าไปหาเจ้าพิธีเขา เจ้าพิธีเขาจะบอก เขาจะบอกวัตถุต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธีกรรมด้วย จะบอกลีลาที่จะปฏิบัติในพิธีกรรมด้วย จะได้ช่วยทำถูกต้องเอาละ หลานรัก ตอนนี้คุยกันเรื่องเดียว หมดเวลาพอดีนะ ตอนนี้หมดเวลาตอนที่ ๒ นี้แล้ว ก็ขอยุติไว้ก่อน

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน ผู้รับฟังทุกท่าน

จากหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๑

วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความมหัศจรรย์ของการสวดมนต์..สมเด็จโต

ความมหัศจรรย์ของการสวดมนต์..

อาตมา (สมเด็จโต) ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวอาตมาเอง

ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร

ในสมัยนั้น…เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูติผีวิญญาณ
ตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น

อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดเลย นอกจากคำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใด ก็จะกล่าวเพียงคำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมา
อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้

เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์

มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทย์มนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ

เขาเล่าให้อาตมาฟังว่า เขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่
กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่

นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตาถึง 7 วัน เต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบ
ตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย

วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทย์มนต์คาถา หรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมา จึงกลับมายังเขาซึ่งเป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้
อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ ทำให้ผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมาจึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้

อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
จนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ

นายผล เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า..

ข้าแต่ท่านอาจารย์ ก็เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัด จงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่า.. การสวดมนต์ของท่านเช่นนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่าน หรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูติผีปิศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าของรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่าอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการ ที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ อาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป..อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก จะขึ้นมา จึงได้จุดเทียนและพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี และด้วยสัญชาติญาณจึงกล่าวคำสวดมนต์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ

ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้..ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักนักอยู่ อาตมาบอกว่า อาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้นก็อันตรธานหายไป

นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนต์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้

ที่อาตมา (สมเด็จโต) ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน

ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุ
ว่า อานิสงส์ของการสวดมนต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยีงนัก..

(จากหนังสือ อมตะธรรม สมเด็จโต
อานิสงส์การสวดมนต์แผ่เมตตามหาบุญ)

วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เมื่อท้าวเวสสุวรรณพบหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

เมื่อท้าวเวสสุวรรณพบหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
>>>เมื่อฉันบวชใหม่ๆ ในพรรษาแรก วันนั้นหลวงพ่อปานบวงสรวงจะเชิญพระพักตร์พระพุทธรูปไปที่เขาวงพระจันทร์ ฉันถามว่า "หลวงพ่อครับ เวลาหลวงพ่อเชิญนี่ ท้าวเวสสุวัณ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านมาไหม"

ท่านบอก "เอ็งเจริญกรรมฐานหรือเปล่า?"
>>>บอก "เจริญครับ"
ท่านบอก "แกเห็นไหม?"
>>>บอก "ไม่เห็นครับ"
ท่านบอก "ถุย ขี้หมา"
ความจริงหลวงพ่อปานตาไม่ดีมองเห็นคนเป็นขี้หมาไปได้...

ท่านบอก "ถุย ขี้หมา ไม่เคยเห็นหรือ"
>>>บอก "ไม่เคยเห็น"
ท่านบอก "เอางี้ซี เวลาฉันเชิญมานะ แกต้องการจะพบองค์ไหนก็เชิญองค์นั้น แกเจริญกรรมฐานเวลาเท่าไหร่"
>>>บอก "ตามปกติตี ๒ ครับ"
ท่านบอก "เวลาตี ๒ เชิญให้ท่านไปพบที่แกนอน"

>>>ฉันตั้งนาฬิกาปลุก ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาทำวัตรเสร็จ เหลือเวลาอีก ๕ นาทีก็เข้าเจริญพระกรรมฐาน พอตี ๒ เป๋ง กุฏิมีฝานะ แต่มองแล้วเหมือนไม่มีฝาทางด้านเหนือ นุ่งขาวห่มสไบเฉียงนะ ไม้พลองแบบพลองลูกเสือ มาลิ่วๆ เห็นชัด มาถึงยืนปุ๊บบนหน้าต่าง หัวไม่สูงยันขื่อ มาถึงมายืนปั๊บ ฉันขนลุกซู่ ปอดลอย มันยิ่งกว่ากลัวอีก ทั้งๆ ที่ท่านมาสวย
>>>ก็เลยบอก "กลับไปก่อนเถอะท่านอาจารย์ เชิญกลับไปได้แล้ว ขอบคุณที่มาให้เห็น"
ท่านถาม "กลัวผมทำไมครับ"
>>>ถามทำไมถึงรู้สึกกลัว
ท่านบอก "ท่านเป็นเทวดา นึกในใจก็รู้หมด" ท่านก็เลยคุย บอก "ท่านอย่ากลัวผมซิ ท่านอย่ากลัวผมซิ ท่านกับผมน่ะเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนนะ" ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม
ท่านบอก "กระบองที่เตรียมมา ไม่ได้เตรียมมาตีท่านหรอกนะ ผมเอายันกันจะล้ม"
>>>ถาม "ทำไม"
ท่านบอก "เจอะนักเลงเก่า เกรงกลัวจะสู้กัน"

ท่านเล่าให้ฟังถึงอดีตชาติ บอกในสมัยหนึ่งเราทั้งสองต่างคนต่างเป็นลูกกษัตริย์ ท่านเล่ามายาวมากให้หายกลัว
ท่านบอกว่า "ทำไมต้องการพบองค์เดียวล่ะ"
>>>ก็เลยบอกว่า "เขาว่าท้าวเวสสุวัณเป็นยักษ์"
ท่านถามว่า "เห็นเขี้ยวผมไหม"
>>>บอก "ยังไม่เห็น"
ถาม "มีหรือไม่มี"
ท่านบอก "อยากเห็นไหมล่ะ"
>>>บอก "อยากเห็นเขี้ยวออกทางจมูก"
ท่านบอก "นี่มันไม่ใช่เขี้ยวยักษ์ มันเขี้ยวหมู"
ท่านหัวเราะชอบใจใหญ่
>>>บอก "นี่ท่านยังไม่แปลกจากของเก่านะ ยังเหมือนเดิม"

.....สรุปแล้วว่า "ท่านมานี่ ท่านนุ่งขาวห่มขาวใช่ไหม" ท่านบอกว่า "ไม่ใช่นะ เข้าเขตพระต้องใช้นุ่งเหลืองห่มเหลือง แต่กลางคืนท่านเห็นเป็นขาวไปเอง
>>>ถามว่า "ความจริงท่านแต่งตัวอย่างไร"
ท่านบอก "ปกติแต่งตัว เหมือนคนธรรมดา"
>>>ก็ถามว่า "ถ้าแต่งตัวเต็มที่"
ท่านเลยแต่งตัวเต็มที่เลย แต่งเครื่องทรง แสงสว่างจ้าเหมือนกับพรหม ที่เขาเขียนเป็นยักษ์ บอก "ไอ้คนเขียนมันไม่รู้จักผม"
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านมีสภาพเหมือนกันแบบนี้ สวยเหมือนพรหม

ที่มา....
oard.palungjit.org/f23/เมื่อท้าวเวสสุวรรณพบหลวงพ่อฤาษี-วัดท่าซุง-475202.html