วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558

ชายเจ้าชู้ถูกฆ่าตายไปสำนักพระยายมราชแล้วไปเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 82 หน้า 192 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

ชายเจ้าชู้ถูกฆ่าตายไปสำนักพระยายมราชแล้วไปเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์
คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 82 หน้า 192 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

     "..วัน ที่ 16 กันยายน 2531 เวลา 6.00 น. วันนี้ท่านลุงพุฒิ นุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนเป็นผ้าไหมสวยมาก ท่านมาตามอาตมาให้ไปที่สำนักงานของท่านเพราะมีเรื่องด่วน อาตมาจึงตามท่านลุงไป พอไปถึงท่านพระยายมราชก็เข้าประจำที่ ท่านเรียกชายคนหนึ่งเข้ามา ขอสมมติว่าชื่อนายจันทร์ การสอบสวนคนนี้แปลกเพราะไม่ผ่านเจ้าหน้าที่สอบสวน ท่านลุงเรียกมาหาท่านโดยตรงคงจะเป็นเพราะเวลามีน้อย ชายคนนี้ผอมหน้าตาซีดเซียว ท่าทางอิดโรยมาก ตอนหลังการสอบสวนแล้วชายผู้นี้ทำภาพเมื่อเป็นมนุษย์ให้ดู เป็นชายล่ำสัน ผิวเนื้อสองสีค่อนข้างขาว มีขี้แมลงวันขนาดเล็กมากอยู่ระหว่างคิ้วทั้งสอง แต่ใกล้คิ้วขวามาก เรื่องไฝหรือขี้แมลงวันใกล้คิ้วขวานี้เป็นสัญลักษณ์บอกว่า เป็นคนที่ได้รับความเมตตาจากผู้หญิงมาก ตามีเสน่ห์หรือมองหญิงแล้วหญิงงงทุกราย ชายคนนี้ก็มีกรรมอย่างนี้เหมือนกัน เธอตายเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2531 บ้านอยู่อีสานแต่มาทำงานกรุงเทพฯ ตายเพราะอุบัติเหตุคือ ถูกตียัดกระสอบตาย เพราะความมีเสน่ห์ของเธอ ปกติสาวชอบมาหา เธอก็เมตตาทุกราย

     และ ที่เหตุร้ายเกิดขึ้นถึงตายก็เพราะไปยุ่งกับสาวคือ เมียของนายเข้าถึงต้องตายและศพก็ถูกยัดใส่กระสอบฝังดินกลางทุ่งนา ไกลตาคนไปพบเห็น เสน่ห์มากก็มีภัยอย่างนี้ อาตมาถามเธอว่า "ทำไมทำรุ่มร่ามอย่างนี้" เธอตอบว่า "เห็นใจหญิงเธอมีความต้องการ ถ้าไม่ได้ตามความประสงค์เธอก็กลุ้ม" ถามว่า "เข้ามากรุงเทพฯ ทำงานอะไร" เธอตอบว่า "ทำทุกประเภท ก่อนตายทำงานรับจ้างเป็นงานก่อสร้าง นายเธอไม่ใช่ผู้รับเหมาแต่รับช่วงของงานมา เห็นจะเป็นหัวหน้าหน่วยงาน นายเอาเธอไปใช้ที่บ้าน เห็นทำงานคล่องและสุภาพเรียบร้อย ความสุภาพและงานดีทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ หญิงในบ้านทุกคนเมตตามีความสุข ในที่สุดเมียนายก็เมตตาด้วย เป็นเหตุให้ได้เงินใช้มากขึ้นเพราะเมียนายเมตตานี่เอง ในที่สุดก็กลายเป็นผี"

     เมื่อ ท่านลุงเรียกเข้าไป รูปร่างหน้าตาของเธอเลอะเทอะเหมือนถูกทูบตีแบบยับเยิน ท่านลุงถามว่า "เอ็งชอบไปยุ่งกับลูกเขาเมียเขาใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่" ท่านลุงถามว่า "ทำไมถึงทำเช่นนั้น" เธอตอบว่า "เห็นใจหญิง เมื่อเธอมาหาแล้วก็ไม่อยากให้เธอผิดหวัง" ท่านลุงบอกว่า "เอ็งมีบาปแต่เวลาเอ็งไปฝึกกรรมฐาน เอ็งบอกให้ข้าเป็นพยานทุกคราว ต่อไปถ้าขอให้ข้าเป็นพยานละก็ จงอย่าทำบาปนะ มันผิดระเบียบของเขา แต่เมื่อให้เป็นพยานก็จะเป็นพยานให้" ท่านพูดต่อไปว่า

ลูกศิษย์ที่ใจบุญแต่เจ้าชู้


     1) เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ ต้นเดือน เอ็งไปรับศีลแปดและปฏิบัติศีลแปดตลอด 3 วันใช่ไหม เธอตอบว่า "ใช่"

     2) เธอถวายสังฆทานถังเล็กถังละ 100 บาท รวม 17 ถังใช่ไหม เธอตอบว่า "ใช่" จากนั้นภาพสังฆทานถังเล็กก็ปรากฎตั้งเป็นแถว

     ท่าน ลุงบอกว่า "เท่านี้พอแล้วเอ็งดีมาก แต่เอ็งทำบาปวันอื่นนอกจากนั้นเล่นกาเมนอกบ้านทุกวัน เอ็งมีบาปมาก เอ็งเคยฆ่าปลา กบ เขียด งู ไก่ โกหกก็เก่ง พบสาวโสดหรือสาวมีผัวรูปร่างต้องใจเมื่อไรเป็นโกหกทุกที กลับมาบ้านยังโกหกเมียอีก ลักขโมยเธอไม่เป็น สุราเมรัยดื่มนิดหน่อยแต่มันก็เป็นบาปเขาต้องเอาลงนรก"

     พอ ท่านลุงพูดจบ เธอทำท่าจะล้ม ท่านลุงเตือนให้ยืนตรง ๆ แล้วบอกว่า "ข้ายังพูดไม่จบเลย ทำท่าจะตายแล้ว ให้พูดจบก่อนซิ" แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า "เมื่อเอ็งให้ข้าเป็นพยานบุญ ข้าก็ต้องเป็นและเบิกความให้ ข้าเป็นพยานให้แล้ว ถวายสังฆทานและรักษาศีลแปดเดือนละ 3 วัน ศีลขาดเดือนละ 27 วัน เจริญกรรมฐานเดือนละ 3 วัน ทำกาเมเดือนละ 27 วัน ไม่เลือกกลางวันหรือกลางคืน ในเมื่อมีอารมณ์เศร้าหมองสลับกับอารมณ์แจ่มใส บุญอย่างนี้ปกติไปอยู่ชั้นนิมมานรดี แต่เพราะศีลขาดมากกว่าศีลดี จิตผ่องใสน้อยกว่าจิตเจ้าชู้ วิมานเอ็งอยู่แค่ดาวดึงส์ เอ็งไปรับผลของความดีก่อนตามกำลังบุญของเอ็งก็แล้วกัน" เมื่อเธอได้ฟังอย่างนั้น รู้สึกว่าร่างกายผ่องใสขึ้นทันที สวยขึ้น ๆ ในที่สุดก็แต่งกายเป็นเทวดาสวยงามมาก ท่านลุงจึงให้เทวทูตนำไปส่งที่วิมานของเธอ

     เมื่อ เสร็จภารกิจของท่านลุงแล้ว ท่านก็มาพูดว่า ที่ท่านไปตามอาตมามาในยามเช้าก็เพราะชายผู้นี้เนื่องกับอาตมาคือเป็นลูก ศิษย์ที่ใจบุญแต่เจ้าชู้.."

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

เรียนเชิญท่านสมาชิกในกลุ่ม ร่วมเป็นเจ้าภาพฉัตรทอง ประดิษฐานบนยอดอุโบสถแก้วกลางน้ำ จำนวน ๑ ฉัตร ในนามคณะชมรมลูกหลานศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดวีระโชติธรรมาราม

เรียนเชิญท่านสมาชิกในกลุ่ม ร่วมเป็นเจ้าภาพฉัตรทอง ประดิษฐานบนยอดอุโบสถแก้วกลางน้ำ จำนวน ๑ ฉัตร ในนามคณะชมรมลูกหลานศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดวีระโชติธรรมาราม
เนื่องด้วยเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ทางหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้แจ้งว่า ฉัตรนั้นมี ๙ ฉัตร ๆ ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ยังขาดเจ้าภาพอีก ๒ ฉัตร
* หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง กล่าวว่าการสร้างเจดีย์และยกฉัตรนั้นมีอานิสงส์สูงมากแม้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็จักสำเร็จได้ในอนาคต
ดังนั้นทางอาตมาภาพพร้อมคณะศิษย์พร้อมกับคณะชมรมลูกหลานศิษย์ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน" จึงขอร่วมเป็นเจ้าภาพ ๑ ฉัตร
จึงขอเชิญชวนทุกท่านในกลุ่มร่วมเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ตั้งแต่ ๑ บาท เป็นต้นไปหรือตามกำลังศรัทธานะ
รวมบุญได้ตั้งแต่วันนี้ รวบรวมถวายปัจจัยในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๘
วัดวีระโชติธรรมาราม
มากน้อยไม่สำคัญขอให้ได้ทำก็เป็นบุญแล้วโยม
ติดได้ที่ คุณเอ็ม https://www.facebook.com/mrangsiya.rangsiya?fref=ts

ใส่บาตรแทนนาย หลวงพ่อ(ฤาษี) ตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๙

ใส่บาตรแทนนาย
หลวงพ่อ(ฤาษี) ตอบปัญหาธรรม
ฉบับพิเศษ เล่ม ๙

ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ หนูเป็นลูกจ้างเจ้านายจะต้องให้
หุงหาอาหารใส่บาตรตอนเช้าเป็นประจำ ถ้าลูกจะอธิษฐาน
ก่อนใส่บาตรโดยสมมุติตัวเองว่าเป็นเจ้าของไม่ทราบว่าลูกควร
อธิษฐานหรือเปล่า คำถวายในใจว่าอย่างไร
หลวงพ่อ : ไม่ต้องอธิษฐานหรอก บุญมันได้เต็มที่อยู่แล้ว
ได้แล้วสมบูรณ์แบบ อธิษฐานอย่างนี้ซิ “ที่ข้าพเจ้าใส่บาตร
อานิสงส์ผลการใส่บาตรนี้น่ะ ขอคำว่าไม่มีจงอย่ามีกับข้าพเจ้า
จนกว่าจะเข้านิพพาน”
ผู้ถาม : ของ ๆ เจ้านายนะครับ ไม่ใช่เป็นเจ้าของเอง
หลวงพ่อ : ของใครก็ช่างเถอะ เราใส่บาตร ไวยาวัจกร
และปิติก็ไม่เสมอกันนายอยู่ในบ้าน เราเห็นพระเรามีธรรมปิติมากกว่า
ได้กำไรมากกว่า นึกว่าต่อไปคราวหน้าไม่ได้ใส่ เจ้านายใส่เอง
เราก็สาธุซะ ยินดีด้วย นี่ยังได้อีก

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง "พระเยซู" หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ สนทนาธรรมกับ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง "พระเยซู"

หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓
สนทนาธรรมกับ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

"ฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง พระเยซู ประมาณเมื่อ ๑๐ ปี เกือบ ๒๐ ปีแล้ว ได้ไปที่บางนกแขวกที่วัดคริสต์นั่นนะ คือว่าบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ แล้วก็ชอบๆกัน เพราะสมัยนั้นฉันเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ไอ้ที่เรียนคริสต์ ไม่ใช่ไปเรียนมี่โรงเรียน แต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุลีจีน เขามาคุยแลกเปลี่ยน แต่ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกันนะ ต่อไปก็ไปที่โน่นไปเยี่ยมเขา คุยไปคุยมาเขาถามว่า ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ไหน บอกว่า รู้
ถามว่า เคยคุยไหม ก็บอกฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน ก็ถามเขาว่า แล้วพระเจ้าของแกอยู่ที่ไหน เขาบอก ไม่รู้ ถามว่า เคยเห็นไหม บอก ไม่เคยเห็น เลยบอกว่า แหม?ไอ้คนโง่ๆ ประเภทนี้ก็มีด้วย ก็คุยสนุกๆก็บอก ไอ้นั่งอยู่ที่นี่ ๕-๖ คน มันโง่ทั้งนั้น นับถือส่งเดชไม่มีหลักฐาน เขาบอกมีคำสอน ใครสอนก็ไม่รู้ บอกต้องหาตัวคนสอนให้ได้ ก็คุยสนุกสนานไป เขาเลยถามว่าท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ บอกว่า ไม่เคยสนใจ แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป
แล้วต่อมาก็กลับมาที่พัก ธรรมดาของพระ พระก่อนจะนอนก็ทำงานของพระก่อน ทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่งั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดเลยพอโผล่พลุ้บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่องระหว่างพระจุฬามณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไปเดินป๋อที ่นั่น พอขึ้นไปเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางมา เดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า พระเยซูใช่ไหม?? ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์มันจะบอกชัด จะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็บอกใช่ครับ ถามว่า ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ละ บนสวรรค์เขาแต่งตัวอย่างนี้เรอะ ท่านบอกว่า เอ้า?ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้จะสงสัย
ถ้ายังงั้นสภาพความจริงของท่านเป็นยังไง ท่านก็ทำให้ดูภาพนั้นก็หายไป กลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวแพล้บเรียกว่าจับตาเลย เป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ ถามว่า อยู่ที่ไหน บอกว่า อยู่ชั้นดุสิตพอบอกอยู่ชั้นดุสิตเราตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แหงๆ เขาไม่ใช่ต่ำนะ ก็คุยไปคุยมาบอกว่าคำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ ถามว่า ผิดยังไง ก็บอกว่า ไอ้ล้างบาป ถ่ายบาป ซื้อบาป จำนำบาปนั่นนะ ไอ้คนที่มันทำความชั่วแล้ว มันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผลนี่ เราจะเอาเงินไปแลกเนื้อใครเขาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ ท่านบอกว่าความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ความจริงที่ผมสอนนั้น สอนให้สารภาพบาป แบบกับพระแสดงอาบัตินะ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป นี่คำสอนเขาแบบนี้นะ นี่ตอนหลังเขามาเซ็งลี้กัน พอล้างบาป สารภาพบาป พอจ่ายสตางค์แล้วบาปหายเลยบาปทั้งสองคน ไอ้คนก่อนก็ไม่หมดบาปเพราะโกหกโกงสตางค์เขาอีกด้วย ก็เลยเข้าใจ
พอกลับมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูนี่เป็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิตต้องมีบารมีเข้มแข็ งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นนี้เข้าได้ ๓ พวก คือพุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว แล้วก็พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะอยู่ชั้นนี้ได้ สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ว่าใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมมาอยู่ชั้นดุสิตได้ เขาต้องเป็นพระโพธิสัตว์ มาดูอารมณ์ของท่านตอนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่าไม้กางเขนนะ คือไม้กางแขน สระแอหายไป เหลือสระเอ มันลด คือกางแขนถูกตะปูตอก ถ้าจิตไม่ดีพอเขาจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่าถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ นั่นเขาถูกเจ็บขนาดนั้น เขายังไม่โกรธ คุณลองคิดดูให้ดี ไม่ใช่เรื่องเล็กนะเขาใหญ่มาก ใช่ไหม?
ไอ้จิตเศร้าหมองนิดเดียว ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยก็ต้องลงนรกหน่อย อย่างพระนางมัลลิกาเทวี นั่นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษแกไม่มี ถ้าจิตไม่เศร้าหมองก็ไม่ลง แต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วันในมนุษย์ต้องคิด ถ้า ๗ วันแรกนรกก็ซวยเลย"

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
จากหนังสือธรรมปฏิบัติ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม ๑๗

ในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาประทับสำราญอิริยาบถ
ท่านโกมารภัจจ์ได้ยินข่าวว่า เมืองทวาราวดี เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง
มีขนบธรรมเนียมประเพณีดี มีภาษาพูดเพราะ ก็อยากจะไปเที่ยว
เมืองทวาราวดีคือเขตไทยทางด้านนครปฐม แต่ว่าทวาราวดีเวลานั้น
ก็กินเขตแดนเกือบทั้งหมดของเมืองไทยนี่เอง

เวลานั้นเขาไม่เรียกเมืองไทย เขาเรียกตามชื่อเมืองว่า เมืองทวาราวดี
ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ทูลลาองค์สมเด็จพระชินสีห์
ไปเที่ยวที่เมืองทวาราวดีอยู่เกือบ ๒ ปี ตอนนั้นท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว
คือว่าการเป็นพระโสดาบันนี่เป็นไม่ยาก คือ

๑. นึกถึงความตายเป็นอารมณ์
๒. เคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์
๓. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
๔. จิตใจต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์

พระโสดาบันเขาเป็นกันแค่นี้นะ ทุกคนก็เป็นได้

เมื่อมาถึงทวาราวดี อยู่ประมาณเกือบ ๒ ปี ท่านก็กลับ กลับแล้วก็ไปเฝ้า
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าชาวเมืองทวาราวดีนี่มีภาษาพูดที่เพราะมาก
เป็นภาษาโดด คือพูดเป็นคำๆ อย่างคำว่าไปก็ไป กินก็กิน
อย่างเวลานั้นภาษาแขกหรือชาวมคธ คำว่า “ไป” เขาก็พูดว่า “คันตวา” มันเป็นคู่

“กิน” เขาก็พูดว่า“ภุญชติ” ภุญชติล่อไป ๓ คำ กลั้วกัน คันตวาล่อไป ๓ คำ
ของเราไป ของเรากิน มันเป็นคำโดด
พอกราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าภาษาทวาราวดีเขาพูดเพราะ พูดช้าๆ ฟังสบายๆ

และก็เป็นภาษาโดด พระพุทธเจ้าจึงถามว่า ทวารวดีเขาพูดกันอย่างไร ลองพูดให้ฟังซิ

ท่านโกมารภัจจ์ก็พูดให้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี
คุยกับท่านโกมารภัจจ์อยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าสนุกสนานมาก ท่านโกมารภัจจ์ก็สนุก
ทว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะสนุกหรือไม่สนุกก็ไม่ทราบ
แต่เวลาคุยกับท่านโกมารภัจจ์ท่านคุยเป็นกันเอง คงจะสนุกเป็นพิเศษ

คุยกันไปคุยกันมา ท่านโกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดานี้

เป็นลูกชาวกรุงกบิลพัสด์ อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี่ได้เพราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณ
หรือความรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงปฏิสัมภิทาญาณนี่เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท
จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า

ที่พระองค์ตรัสภาษาทวาราวดีนี่ รู้มาเองหรือว่ารู้ด้วยอำนาจปฏิสัมภิทาญาณ
หรือว่ารู้ด้วยการพูดได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ตรัสว่า โกมารภัจจ์ ภาษาทวาราวดีนี่
เป็นภาษาเดียวกับชาวกรุงกบิลพัสด์ใช้เป็นภาษาพื้นเมือง
ฉะนั้นท่านโกมารภัจจ์ก็ทูลถามว่า ถ้าเช่นนั้น ชาวกรุงกบิลพัสด์
ก็เป็นเชื้อสายเดียวกับทวาราวดีใช่ใหม
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ตรัสว่าใช่ คือชาวกรุงกบิลพัสด์ก็ดี
ชาวกรุงทวาราวดีก็ดี เป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน
นี่ขอบรรดาท่านทั้งหลายได้โปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านความจริงเป็นคนไทย เขาเรียกว่าไทยอาหม

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ถูกหวย 9 ล้านบาท เขาทำบุญอย่างไร? โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง

ถูกหวย 9 ล้านบาท เขาทำบุญอย่างไร?
โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง

ผู้ถาม : พอดีพูดถึงเรื่องถูกหวยไป เมื่อเดือนที่แล้วมีคนถูกถึง 9 ล้านบาท ลูกหลานถามมาว่า ทำบุญอะไรนะ ถูกตั้ง 9 ล้านบาท ทำบุญกับหลวงพ่อเยอะแยะไม่ถูกสักล้าน
หลวงพ่อ : ก็ทำไม่ถึง 9 ล้านนี่
ผู้ถาม : โอ้โฮ ! ยังงั้นต้องเริ่มตั้งต้นใหม่แล้ว
หลวงพ่อ : นั่นหมายถึงชาติก่อนของเขา การถูกหวยรวยโป อ้อ รวยโปไม่เกี่ยวนะ การพนันทุกอย่างไม่เป็น ยอมรับว่าโง่ การพนันกับน้ำเมา 2 อย่างนี่โง่แน่ โง่ 100 เปอร์เซ็นต์
ผู้ถาม : แล้วก็เรื่องผู้หญิงก็โง่หรือเปล่าครับ ?
หลวงพ่อ : เรื่องผู้หญิงก็โง่ เวลานี้ไม่รู้เรื่องเลย
ผู้ถาม : แหม…….หลวงพ่อเข้าใจเลี่ยง
หลวงพ่อ : ไม่ใช่เลี่ยง อย่าลืมนะ ฉันเป็นพระ ต้องพูดตรงไปตรงมานะ ” เวลานี้ ” นะ ไปทำอะไรเขาได้ละเป็นอันว่าคนที่พูดเมื่อกี้นี้เมื่อชาติก่อนเขาทำบุญโดยไม่ตั้งใจ ทำบุญไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน จึงถูกหวย เรียกว่า ” ลาภลอย ” คือว่าเรื่องนี้ก็เคยคิดเมื่อตอนหนุ่มๆว่าการร่ำรวยอย่างอื่นพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ แต่ว่าการถูกหวยทำไมไม่ตรัสไว้ ก็พอดีวันหนึ่งนั่งกรรมฐาน ไปพบท่าน
ท่านถามว่า ” สงสัยเรื่องนั้นหรือ ”
ก็บอกท่านว่า ” สงสัยครับ ”
ท่านบอกว่า ” พวกนี้ทำบุญไม่มีการเตรียมการ เจอะปุ๊บปั้บก็ทำเลย ”
ทำแล้วถูกมากแบบนี้เขาอาจจะไม่ทำมากก็ได้ อย่างสมมุติว่าไปเจอะเขาถวายสังฆทาน เรามีสลึงเดียวก็ร่วมถวายกับเขา อย่างพระสิวลี ผึ้งรวงเดียว เกิดมาชาติหลังลาภมหาศาล ต้องดูเขตของบุญ การลงทุนมากแต่ได้อานิสงส์น้อยก็มีอยู่ ให้ทานหรือทำทานแจกคนที่ไร้ศีลไร้ธรรม หรือบกพร่องในศึลในธรรม อย่างนี้ลงทุนมากแต่แต่ได้อานิสงส์น้อย ถ้าลงทุนน้อยแต่ได้อานิสงส์มาก เช่น ให้ทานกับคนที่มีศีลบริสุทธิ์บ้าง ทรงฌานบ้าง เป็นพระอริยเจ้าบ้าง เป็นพระพุทธเจ้าบ้าง โดยเฉพาะสังฆทานยอดอย่างยิ่ง สูงมาก ฉะนั้นเวลาไปเจอะเขาถวายสังฆทานที่ไหนควักเลย บาทครึ่งบาท ทำเลย อย่างนี้ก็รอชาติหน้า แต่ถ้าทำบ่อยๆ ชาตินี้ก็ได้นะ แต่ไม่ต้องทำมาก อย่าให้เดือดร้อนนะ แค่นิดหน่อยพอที่เราไม่เดือดร้อน ถ้าเจอะเมื่อไรทำเมื่อนั้น ถ้าทำบ่อยๆ ได้ผลชาตินี้
ผู้ถาม : แหม…ถ้างวดหน้าก็ดีแน่เลย
หลวงพ่อ : ขอยืนยันว่างวดหน้าดีแน่ แต่ใครจะถูกหวยหรือไม่ถูกหวย ฉันไม่ทราบ

พระเยซูเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

พระเยซูเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

“..ประมาณเกือบ ๒๐ ปีมาแล้วสมัยที่อาตมาไปวัดคริสต์
ที่บางนกแขวก มีบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ และ
ก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้นอาตมาเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์
ที่เรียนคริสต์ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียนแต่คุยกัน ตอนนั้นพวก
กุฎีจีนเขามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ความจริงนักศาสนาจริงๆ
เขาไม่ทะเลาะกัน เมื่อไปเยี่ยมเขาคุยไปคุยมา
เขาถามว่า “ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน”
อาตมาตอบว่า “รู้” เขาถามว่า “เคยคุยไหม” ก็บอกว่า
“ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน” จึงถามเขาว่า
“แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน” เขาตอบว่า “ไม่รู้” ถามว่า
“เคยเห็นไหม” เขาตอบว่า “ไม่เคยเห็น” เขาเลยถามว่า
“ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ” ตอบว่า “ไม่เคยสนใจ”
แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป
ต่อมากลับมาที่พัก ธรรมดาของพระก่อนจะนอนต้องทำจิตใจ
ให้สะอาดสบาย ไม่อย่างนั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับ
อารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่าง
พระจุฬามุณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น พอเดิน
ไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลย
ถามว่า “พระเยซูใช่ไหม” ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะ
บอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์
จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า “ใช่ครับ”
อาตมาถามว่า “ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขา
แต่งตัวแบบนี้เหรอ” ท่านบอกว่า “ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่า
ท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย” บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร” ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็น
ภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ
ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า “อยู่ที่ไหน”
ตอบว่า “อยู่ชั้นดุสิต”
พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ
คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า “คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อ
หนึ่งนะ” ท่านถามว่า “ผิดอย่างไรครับ” บอกว่า “ล้างบาปนั่นนะ
คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ”
ท่านตอบว่า “ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น
ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาป
คือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป” คำสอนของ
ท่านเป็นแบบนี้ มา ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย ก็เลยบาปทั้งสองคน คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลัง
บาปเพราะโกหก
ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต
พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต
ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้น
ดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ
๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า
๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว
๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้
สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น
ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้ มาดูอารมณ์ตอนหนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะ
เป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า
“ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ” นั่นเขา
เจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่อง
ใหญ่มาก ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อยอย่าง พระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่
ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน..”
อ้างอิง หนังสือ ตายแล้วไปใหน