วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

ฝันกลางวันที่เยอรมัน( ผีอิตเลอร์พาไปดูอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดของโลกในเยอรมัน) โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จากหนังสือบันทึกของชาโดว์ รวมเล่ม 3-4 หน้า 5-7


ฝันกลางวันที่เยอรมัน( ผีอิตเลอร์พาไปดูอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดของโลกในเยอรมัน)
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือบันทึกของชาโดว์ รวมเล่ม 3-4 หน้า 5-7

ฝันกลางวันที่เยอรมันตะวันตก
เสาร์ 25 มิถุนายน 2531 หลังจากเช้าแล้วออกเดินทางจากลูเซิร์น โดยผ่านน้ำตกไรน์
ข้าพเจ้านั่งง่วงนอนมากแบบฝืนตัวเองไม่อยู่เหมือนถูกบังคับ
คุณทนงพูดอะไรไม่รู้เรื่องจับใจความไม่ได้รู้แต่ว่ารถแล่นเข้าถ้ำบ่อย
เขาสร้างทางลัดไม่ต้องอ้อมเขา นั่งครึ่งหลับครึ่งตื่นกำลังงีบอยู่ ตกใจใครนะตัวใหญ่ยืนข้างหน้า
ลืมตาดูเห็นว่ารถกำลังแล่นในอยู่ในอุโมงค์ที่ไหนไม่รู้ ผีคงมีเรื่องอยากให้ทราบล่ะมั้ง จึงหลับตาทำสมาธิมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลัง คือแค่อุปจารสมาธิ เห็นผีกราบหลวงพ่อท่านซึ่งนั่งเก้าอี้ข้างหน้าของข้าพเจ้า มีคุณโชติวุฒิกับผู้การสถาพรนั่งคั่นที่นั่งเดียว ถามท่านว่าเป็นใคร ท่านบอกว่าเป็นฮิตเลอร์
ท่านบอกว่าเวลานี้เยอรมัน มีอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงและทันสมัยที่สุดในโลก ไม่ใช่รัสเซียหรืออเมริกา นึกแผ่ส่วนบุญที่ทำมาแล้วในอดีตชาติปัจจุบันและจะทำอีกจนกว่าจะถึงพระนิพพานให้ท่านโมทนา คุยกับท่านแบบเอาใจ(อทิสสมานกาย)ถามเองตอบเอง แต่ท่านยังอยู่ข้างหน้า ท่านพาไปดูอาวุธ
ทีนี้ก็เหมือนฝันกลางวันยังรู้ตัวว่าในรถเราทำอะไรกันบ้าง แต่ไม่สนใจเท่านั้นเอง โดยอาวุธอยู่ใต้ดินใกล้ภูเขาแบบซอกเขา เพราะมันไม่ใช่เขาลูกเดียว ฝาปิดเปิดแบบอะไรดีเรียกไม่ถูก ลองเอามือ สองข้าง กางนิ้วออกแล้วเอานิ้วสอดเข้าชนกันสลับนิ้วหนีบนิ้วสองมือก็จะติดแน่น เวลาที่จะเปิดก็เลื่อนนิ้วออกจากกันแนวตรงนะ ไม่ใช่กระดกขึ้น อาวุธที่อยู่ในนั้นลอยขึ้นมา แต่ละอย่างไม่ใหญ่อย่างที่เราเคยเห็น
ตอนนั้นรู้ว่ามีอะไรจำนวนเท่าไรด้วย แต่ตอนนี้ลืมหมดแล้วเพราะเป็นความลับของเขาและคิดว่าเราไม่รู้จริงจึงไม่จดไว้ ข้าพเจ้ายังถามฮิตเลอร์ว่า หนุ่มเยอรมันที่ขับเครื่องบินเล็กไปจอดที่จัตุรัสแดง ในกรุงมอสโคว์โดยเรดาร์จับไม่ได้ ไปเอาแร่ที่ดาว......นั่นใช่ไม๊ ท่านตอบว่าใช่ หลวงพ่อท่านเคยเขียนในหนังสือ จุไรท่องเที่ยวดวงดาวต่างๆ ท่านเขียนบอกว่า สงสัย คือไม่พูดตรงๆเกรงคนจะบาป ข้าพเจ้าเชื่อว่าจริงแต่ไม่แน่ใจ วันนั้นฮิตเลอร์ว่าจริง ท่านจึงพาไปดูอาวุธลับ 2-3 อย่างเท่านั้น ไม่เห็นมีกระบอกปืน มีแต่ปุ่มๆกดเอา มีคนนั่งได้อย่างมาก 2 คนเช่นจานบิน บางอย่างไม่มีที่นั่งยังกับของเด็กเล่น แต่สะอาดมันเป็นวับเลย
ถามท่านว่าทำไมไม่มีกระบอกปืน แบบที่เราเคยเห็นทั่วไป ท่านบอกว่าเขาใช้แสงเอา ตอนที่ลงทานอาหารกลางวัน หลวงพ่อท่านคุยกับผู้การสถาพร กับคุณโชติวุฒิ ว่าท่านก็ง่วงนอนมาก ระหว่างที่นั่งรถ ฮิตเลอร์กับสตาร์ลินก็มาคุยกับท่านด้วยว่าอะไรบ้างข้าพเจ้าไม่ได้ฟังเพราะพอลงจากรถได้ก็รีบๆ เดินหาซื้อมีดตราตุ๊กตาคู่ รู้มาตั้งแต่เด็กว่ามีดของเยอรมัน คมดีมาก เข้าร้านนั้นออกร้านนี้พี่ชอด้วย มีขายไม่กี่อันตั้งใจจะซื้อ หลายๆอันฝากแม่บ้าน ทั้งหลาย ไม่ได้ ขนาดเข้าไปนั่งโต๊ะอาหาร ยังรีบๆกินแล้วออกไปหาใหม่
ร้านอาหารเมืองนอกถ้าไม่นั่งโต๊ะเขาไม่เสิร์ฟซะด้วย ดีที่ว่าร้านติดๆ ที่กินข้าว มีมีดขายรีบบอกกล่าวกัน ต้องแลกเงินเยอรมันอีกวุ่นวายน่าดูเหมือนกัน ผู้หญิงดูท่าจะซื้อกันทุกคน มีดที่วางไว้ในตู้หมดเลย เศรษฐีไทยเหมาเกลี้ยง มีด กรรไกร เป็นของกุลสตรีไทยมิใช่หรือ จะได้ช๊อปปีงที่เยอรมันก็ตรงระหว่างทางนั้น แห่งเดียว ร้านมีอยู่ 5-6 ร้าน เท่านั้น จ้ำเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ ข้าพเจ้าได้รถเบนซ์ สองคัน เป็นแบบนั่งธรรมดากับแบบสปอร์ตของวัยรุ่นเอาไว้คุยเล่นโก้ๆ ว่าไปเยอรมันทีเดียวซื้อเบนซ์ สองคันเลย ( เราก็อย่าบอกเขาว่ารถใส่ตู้โชว์) วันนั้นนั่งรถระยะยาวอาหารเย็นระหว่างทาง ถึงแฟรงค์เฟิร์ตค่ำแล้ว เข้าที่พักอยู่นั่นคืนเดียว กว่าจะนอนได้ก็ดึกแล้ว รื้อกระเป๋า จัดกระเป๋า ทุกวันชำนาญแน่ทัวร์ครั้งนี้
พวก ยุโรป เขาพิถีพิถันกันในเรื่องแต่งกาย ไม่เหมือนไปอเมริกา เราจึงต้องหล่อไว้บ้างไม่ให้ขายหน้าชาติไทย
คืนนั้น ก่อนนอนสวดมนต์ แบบย่อๆ หน่อย เอาบทไหนดี กันหลอกผี สงสัยผีมีเยอะโรงแรมเก่า ๆแบบนี้ เยอรมันนี่ตอนสงครามโลกตายกันมาก ผู้มีบุญคงไม่ค่อยมานอนต้องกันไว้ก่อนดีๆ หนักเข้าพุทโธ ดีกว่าง่ายดี ทำสมาธิขั้นถึงที่สุดแล้วแผ่ส่วนบุญให้หมดเลยมีมากจริงๆ อย่ามากวนให้นอนไม่หลับนะท่าน ไม่งั้นเอาคืนด้วย ขอให้เจ้าที่ช่วยหลับให้สนิทๆ ด้วย แถมด้วยคาถา ภะสัมสัมวิสะเทภะ ขับไล่ด้วย ต่อด้วยบทเมตตาอีกเผื่อเราไม่แข็งจริง
คาถาที่หลวงปู่ปานใช้เป็นประจำคือ พระอะระหังสุคโต ภะคะวา นะเมตตาจิต หลวงพ่อท่านบอก คืนนั้น หลับสนิทไม่ฝันด้วย ตื่นตามเวลาคือตีห้ากว่า ๆ พอดีกันที่ตั้งใจไว้ก่อนหลับ เข้าห้องน้ำล้างหน้าแต่งตัวจัดกระเป๋า แล้วเข็นออกไปไว้หน้าห้อง ลงไปทานอาหารเช้าตามเวลานัด หลวงพ่อท่านและพระติดตามไปฉัน ที่ห้องอาหาร ของโรงแรมทุกเช้าเหมือนกัน ที่นั่งเป็นชุดๆจำกัด ผู้หญิงจึงไม่เหมาะจะเข้าไปใกล้ จึงไม่ค่อยได้ยินว่าหลวงพ่อท่านคุยอะไรบ้างเรื่องในอดีตชาติ
ท่านเคยพูดก่อนเดินทางว่า ท่านไปยุโรปจะฝื้นอดีต ข้าพเจ้ากับพี่ชอคิดกันว่า ท่านคงหมายถึงไปโปรด พวกบริวารเก่าที่เคยเกิดร่วมกันในอดีตชาติที่ยังตกค้างอยู่ เพราะชาตินี้ท่านลาพุทธภูมิแล้ว ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูกนะ
เช้านั้นท่านฉันสร็จไปนั่งที่เก้าอี้หมู่ คอยเวลารถไปรับที่ห้องรับแขก ของโรงแรม ข้าพเจ้าเดินย่อตัวผ่านท่านจะไปดูของขายเผื่อจะมีถูกใจบ้าง ท่านเรียกเข้าไปหาถามว่าเมื่อคืนฝันว่าไงบ้าง ฝันของท่านหมายความถึงเห็นผี เห็นเทวดา ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนท่านว่า เมื่อคืนไม่ฝันเจ้าค่ะ หลับสนิท ฝันตอนกลางวันเมื่อวานนี้

ท่านให้เล่าให้ฟัง จึงเรียนท่านว่า ฮิตเลอร์พาไปดูอาวุธลับ มีอะไรบ้าง พูดหมด ถามท่านด้วยความสงสัยว่า รถถังของเขาคันไม่ใหญ่แล่นบนดิน ปีนเขาได้ ลอยได้ด้วย ท่านว่าใช่ แล้ว ลอบยด้สูง ร้อยเมตร ท่านว่าเห็นถูกต้อง สงสัยที่ข้าพเจ้าไปกับฮิตเลอร์ ท่านก็คงไปด้วยเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นท่าน ท่านเห็นเรา สรุปเห็นตรงกันแสดงว่า ฝันกลางวันเป็นความจริง แต่ไม่ควรพูดเปิดเผยเป็นความลับของเขา จากที่สงสัยว่าปืนเขาไม่เป็นกระบอก ไม่มีกระสุนนั้นอีกเกือบปี ข้าพเจ้าดูทีวีเห็นข่าวอเมริกาทดลองยิงเครื่องบิน เร็วกว่าเสียงด้วยแสง อะไรไม่รู้ลืม เห็นกดปุ่มเป็นควันแล่นออกไปเร็วมาก เป็นสายบนท้องฟ้า อ้อ แบบนี้เองเยอรมันเขามีเก็บซ่อนไว้ตั้งนานแล้ว ฮิตเลอร์ว่าเยอรมันมีอาวุธเก่งที่สุดในโลกเป็นจริงอีก

วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

คนกับมนุษย์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

คนกับมนุษย์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ความจริงคนกับมนุษย์นี่ไม่เหมือนกัน
รูปร่างอย่างเดียวกัน แต่ว่าความรู้สึกของจิตใจไม่เท่ากัน

"คน" นี่แปลว่า "ยุ่ง" คือ ไม่ยอมรับนับถือใครจริงๆ
ไม่ยอมปฏิบัติในด้านของความดีจริงจัง
อย่างที่จะรักษาศีล ก็รักษาไม่จริง
ทำเป็นศีลหัวเต่าผลุบเข้าผลุบออก รักษาบ้าง ไม่รักษาบ้าง
สิกขาบทแค่ ๕ ประการ ก็ถือว่าอย่างนั้นจำเป็น
อย่างนี้จำเป็นแก่สังคม ถ้าปฏิบัติตามศีลก็ขาดสังคม
คนในสังคมนั้นไม่คบหาสมาคม อย่างนี้ เข้าเรียกว่า "คน"

สำหรับ "มนุษย์" แปลว่า "ใจสูง"
คนนี่แปลว่ายุ่ง ถ้าปฏิบัติในศีลในธรรมไม่ได้ ก็มีแต่ยุ่ง
สำหรับมนุษย์ แปลว่าใจสูง
คนที่มีใจสูงคือมีกรรมบท ๑๐ ประการครบถ้วน
คือ "มีทั้งศีลทั้งธรรมครบถ้วน ทางกายไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์
ไม่ประพฤติผิดในกาม ทางวาจาไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด
และไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดจาเหลวไหลไร้ประโยชน์
ทางใจไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของคนอื่นใด
ไม่คิดจองล้างจองผลาญใคร มีความเห็นตรงตามความจริง
ยอมรับนับถือความจริง
ที่เป็นเหตุบันดาลให้มีความสุขอารมณ์อย่างนี้ท่านเรียกว่ามนุษย์"
ขอประทานอภัยเถอะบรรดาท่านพุทธบริษัท
ที่ท่านทั้งหลายกำลังฟังอยู่นี่
ท่านลองวัดกำลังใจของท่านดูซิว่า
เวลานี้นะท่านเป็นมนุษย์หรือว่าท่านเป็นคน
หากว่าท่านเป็นคน ก็รู้สึกว่าความสุขของท่านยังน้อยเกินไป
เมื่อกำลังใจของท่านเป็นมนุษย์
ความสุขของท่านจะมีมากมายเหลือเกิน
เกือบจะหาอารมณ์ของความทุกข์ไม่ได้

คัดลอกจาก.....หนังสือแนะวิธีหนีนรกแบบง่ายๆ

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร


ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร
พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือที่ประชาชนชาวไทยรู้จักดี ในนาม “หลวงพ่อทองคำ”  นั้น มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจคือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘  ได้มีการเชิญพระระพุทธรูปปูนปั้นองค์หนึ่งจาก วัดพระยาไกรมาประดิษฐานอยู่ ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม  จนกระทั่งอีก ๒๐ ปีต่อมา ในปีพ.ศ. ๒๔๙๘  เมื่อทางวัดเคลื่อนย้ายองค์พระจากศาลาหลังคาจากชั่วคราวขึ้นไปประดิษฐานในอาคารหลังเล็กข้างพระอุโบสถปูนที่หุ้มองค์ พระไว้กะเทาะหลุดออกจึงปรากฏว่า แท้จริงแล้วองค์พระพุทธรูปปูนปั้นเป็นศิลปะสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย หล่อด้วยทองคำเนื้อเจ็ดน้ำสองขา น้ำหนักประมาณ ๕.๕ ตัน  ประชาชนชาวไทยและชาวจีนในขณะนั้นถือเป็นเหตุมหัศจรรย์ พ้องกับการเริ่มต้นรัชสมัยภายหลังพระราชพิธี บรมราชาภิเษกไม่นานนัก
ในปีพ.ศ. ๒๔๙๙  สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมีพระราชศรัทธาเสด็จพระราชดำเนิน  พร้อม ด้วย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อทรงนมัสการและทรง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ยอดพระเกตุมาลา  ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานนามว่า พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.  ๒๕๓๕ ซึงรัฐบาลและ ประชาชนถือว่าเป็นพระพุทธรูปสำคัญของชาติคู่บ้านคู่เมืองอีกองค์หนึ่ง โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีนถือเป็น นิมิตหมายพ้องกับการที่วัดไตรมิตรวิทยาราม ตั้งอยู่ที่หัวถนนเยาวราช ซึ่งเป็นแหล่งค้าทองคำที่ใหญ่ที่สุดใน ประเทศ และต่อมาหนังสือกินเนส บุค เวิร์ล ออฟ เรคคอร์ด ฉบับค.ศ. ๑๙๙๑ หน้า ๒๒  ยังได้บันทึกไว้ด้วยว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ที่สุดในโลก
โอกาสเดียวกันนี้ วัดได้ดำเนินการจัดสร้างระฆังจำนวน ๒ ใบ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว  และถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนแรกเริ่มในการจัดสร้าง  อีกทั้งยังทรงเจิมแผ่นทอง นาค เงิน เพื่อร่วมในพิธีเททองหล่อจัดสร้างระฆังนี้ด้วย ระฆังที่จัดสร้างขึ้นนี้เป็นระฆังตามแบบ ศิลปะสมัยอยุธยา ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นยุคสมัยที่สร้างระฆังได้สวยงามที่สุดยุคหนึ่ง ประดิษฐานไว้ที่บริเวณชั้นที่ ๔ ในศาลารายด้านหน้าของพระมหามณฑป 
และในโอกาสมหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ รัฐบาลได้ร่วมกับวัดไตรมิตรวิทยาราม สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตลอดจน ผู้มีจิตศรัทธาดำเนินโครงการจัดสร้างพระมหามณฑปประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรใหม่ให้สง่างาม แทนอาคารประดิษฐานเดิม  โดยมีพลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ สาขาสถาปัตยกรรมไทย และอดีตอธิบดีกรมศิลปาก เป็นผู้ออกแบบพระมหามณฑป ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยควบคู่กับพุทธสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดยแบ่งเป็น 4 ชั้น ได้แก่ ชั้น 1 เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ชั้นที่ 2 จัดนิทรรศการศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช ชั้นที่ 3 จัดนิทรรศการพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร และ ชั้นที่ 4 คือที่ประดิษฐานองค์พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  ซึ่งปัจจุบันการก่อสร้างได้ดำเนินการแล้วเสร็จสวยงาม
เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๑  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสุหร่าย ทรงเจิม และทรงปิดทอง ยอดฉัตรของพระมหามณฑป ณ วังไกลกังวล  หลังจากนั้นได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ยอดพระมหามณฑปแห่ง   นี้  และเมื่อการก่อสร้างพระมหามณฑปแล้วเสร็จ ซึ่งใช้ระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น ๒๒ เดือน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พร้อมด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ไปทรงสวมพระเกตุมาลาพระพุทธมหา สุวรรณปฏิมากร ในพิธีสมโภชพระมหามณฑป เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม  ๒๕๕๒

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงยกฉัตรขึ้นประดิษฐานถวายพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร วัดไตรมิตรวิทยาราม

วันนี้ (๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕) เวลา ๑๗.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระราชทานฉัตรเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์  พระบรมราชินีนาถ  เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ เพื่อทรงยกฉัตรขึ้นประดิษฐานถวายพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร โดยมีคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อการบริหารจัดการพระมหามณฑปประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  คณะกรรมการบริหารกองทุน คณะกรรมการจัดงาน และพสกนิกรทุกหมู่เหล่าเฝ้ารับเสด็จ
ร้อยตำรวจตรี เกรียงศักดิ์ โลหะชาละ ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อการบริหารจัดการพระมหามณฑปประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร เปิดเผยว่า  เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ  ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔  และในโอกาสมหามงคลที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ นี้  วัดไตรมิตรวิทยารามได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานฉัตรเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร (หลวงพ่อทองคำ) พร้อมกับขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างเหรียญที่ระลึก เนื่องในโอกาสพิธียกฉัตรในครั้งนี้ด้วย
สำหรับฉัตรพระราชทานองค์นี้ เป็นฉัตร ๕ ชั้น มีความสูงจากกำพูถึงยอดฉัตร ๓ เมตร ๓๑ เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางระบายฉัตร ๒ เมตร ถือเป็นฉัตรเหนือพระพุทธปฏิมาที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ  เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสทวิมหามงคล และเพื่อความเป็นสิริมงคล  เจริญรุ่งเรืองในหมู่ประชาชนชาวไทย
ภายหลังสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงประกอบพิธียกฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  ทรงพระราชทานพระราชานุญาตให้คณะกรรมการและผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินในการทำนุบำรุงพระมหามณฑปเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทรับพระราชทานของที่ระลึก  ต่อจากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ  เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร และศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช ในชั้นที่ ๓  และชั้นที่ ๒ ต่อไป
——————————————————
ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร

พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือที่ประชาชนชาวไทยรู้จักดี ในนาม “หลวงพ่อทองคำ”  นั้น มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจคือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘  ได้มีการเชิญพระระพุทธรูปปูนปั้นองค์หนึ่งจาก วัดพระยาไกรมาประดิษฐานอยู่ ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม  จนกระทั่งอีก ๒๐ ปีต่อมา ในปีพ.ศ. ๒๔๙๘  เมื่อทางวัดเคลื่อนย้ายองค์พระจากศาลาหลังคาจากชั่วคราวขึ้นไปประดิษฐานในอาคารหลังเล็กข้างพระอุโบสถปูนที่หุ้มองค์ พระไว้กะเทาะหลุดออกจึงปรากฏว่า แท้จริงแล้วองค์พระพุทธรูปปูนปั้นเป็นศิลปะสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย หล่อด้วยทองคำเนื้อเจ็ดน้ำสองขา น้ำหนักประมาณ ๕.๕ ตัน  ประชาชนชาวไทยและชาวจีนในขณะนั้นถือเป็นเหตุมหัศจรรย์ พ้องกับการเริ่มต้นรัชสมัยภายหลังพระราชพิธี บรมราชาภิเษกไม่นานนัก
ในปีพ.ศ. ๒๔๙๙  สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมีพระราชศรัทธาเสด็จพระราชดำเนิน  พร้อม ด้วย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อทรงนมัสการและทรง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ยอดพระเกตุมาลา  ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานนามว่า พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.  ๒๕๓๕ ซึงรัฐบาลและ ประชาชนถือว่าเป็นพระพุทธรูปสำคัญของชาติคู่บ้านคู่เมืองอีกองค์หนึ่ง โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีนถือเป็น นิมิตหมายพ้องกับการที่วัดไตรมิตรวิทยาราม ตั้งอยู่ที่หัวถนนเยาวราช ซึ่งเป็นแหล่งค้าทองคำที่ใหญ่ที่สุดใน ประเทศ และต่อมาหนังสือกินเนส บุค เวิร์ล ออฟ เรคคอร์ด ฉบับค.ศ. ๑๙๙๑ หน้า ๒๒  ยังได้บันทึกไว้ด้วยว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ที่สุดในโลก
โอกาสเดียวกันนี้ วัดได้ดำเนินการจัดสร้างระฆังจำนวน ๒ ใบ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว  และถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนแรกเริ่มในการจัดสร้าง  อีกทั้งยังทรงเจิมแผ่นทอง นาค เงิน เพื่อร่วมในพิธีเททองหล่อจัดสร้างระฆังนี้ด้วย ระฆังที่จัดสร้างขึ้นนี้เป็นระฆังตามแบบ ศิลปะสมัยอยุธยา ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นยุคสมัยที่สร้างระฆังได้สวยงามที่สุดยุคหนึ่ง ประดิษฐานไว้ที่บริเวณชั้นที่ ๔ ในศาลารายด้านหน้าของพระมหามณฑป 
และในโอกาสมหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ รัฐบาลได้ร่วมกับวัดไตรมิตรวิทยาราม สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตลอดจน ผู้มีจิตศรัทธาดำเนินโครงการจัดสร้างพระมหามณฑปประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรใหม่ให้สง่างาม แทนอาคารประดิษฐานเดิม  โดยมีพลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ สาขาสถาปัตยกรรมไทย และอดีตอธิบดีกรมศิลปาก เป็นผู้ออกแบบพระมหามณฑป ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยควบคู่กับพุทธสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดยแบ่งเป็น 4 ชั้น ได้แก่ ชั้น 1 เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ชั้นที่ 2 จัดนิทรรศการศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช ชั้นที่ 3 จัดนิทรรศการพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร และ ชั้นที่ 4 คือที่ประดิษฐานองค์พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  ซึ่งปัจจุบันการก่อสร้างได้ดำเนินการแล้วเสร็จสวยงาม
เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๑  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสุหร่าย ทรงเจิม และทรงปิดทอง ยอดฉัตรของพระมหามณฑป ณ วังไกลกังวล  หลังจากนั้นได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ยอดพระมหามณฑปแห่ง   นี้  และเมื่อการก่อสร้างพระมหามณฑปแล้วเสร็จ ซึ่งใช้ระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น ๒๒ เดือน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พร้อมด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ไปทรงสวมพระเกตุมาลาพระพุทธมหา สุวรรณปฏิมากร ในพิธีสมโภชพระมหามณฑป เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม  ๒๕๕๒

พระนาม "ภูมิพล" มีใครรู้หรือไม่ว่าในหลวงร. 7 ทรงประธานตั้งพระนามให้ แปลว่า "พลังแผ่นดิน"

พระนาม "ภูมิพล" มีใครรู้หรือไม่ว่าในหลวงร. 7 ทรงประธานตั้งพระนามให้ แปลว่า "พลังแผ่นดิน"
...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมานต์เออเบิร์น (Mount Auburn) ซึ่งขณะนั้นใช้ชื่อว่า โรงพยาบาลเคมบริดจ์ (Cambridge Hospital) ตั้งอยู่ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อเวลา ๐๘.๔๕ น. ของวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ ตรงกับปีเถาะ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงเล่าถึง การตั้งพระนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ในหนังสือ "เจ้านายเล็ก ๆ ยุวกษัตริย์" ว่า "หลังจากที่พระโอรสประสูติได้ไม่ถึง ๓ ชั่วโมง ทูลหม่อมฯ"
ทรงรีบส่งโทรเลขถวายสมเด็จพระพันวัสสาฯ ว่า "ลูกชายเกิดเช้าวันนี้ สบายดีทั้งสอง ขอพระราชทานนามทางโทรเลขด้วย"
สมเด็จพระศรีสวรินทรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จฯ ไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามว่า "ภูมิพลอดุลเดช" (โปรดสังเกตว่า สะกดแบบไม่มี "ย")
หลังจากนั้นสมเด็จพระพันวัสสาฯ จึงมีลายพระหัตถ์ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ถึงหม่อมเจ้าดำรัสดำรงค์ อดีตอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน ซึ่งทรงย้่ายกลับมากรุงเทพฯ แล้ว เพื่อทรงแจ้งเรื่องพระนามที่พระราชทาน โดยทรงแนบลายพระราชหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปให้ด้วย และทรงขอให้ส่งโทรเลขตอบกลับไป
"โทรเลขภาษาอังกฤษที่หม่อมเจ้าดำรัศฯ ทรงส่งไปคือ "Your son's name is Bhumibala Aduladeja" แม่บอกว่า เมื่อได้รับโทรเลขฉบับนี้แล้ว ไม่ทราบว่า ลูกชื่ออะไรกันแน่ในภาษาไทย คิดว่าชื่อ "ภูมิบาล"
ด้วยเหตุนี้เองจึงทรงสะกดพระนามของพระโอรสในสูติบัตรว่า Bhumibal Aduldej Songkla หรืออ่านเป็นภาษาไทยตามที่ทรงเข้าใจในขณะนั้นได้ว่า "ภูมิบาลอดุลเดช สงขลา" ส่วนพระอิสริยยศเมื่อเสด็จพระราชสมภพ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
สำหรับคำว่า "อดุลเดช" นั้นเป็นการสะกดเหมือนกับพระนามของพระบิดาซึ่งสะกดแบบไม่มี "ย" มาแต่ต้น คือ มหิดลอดุลเดชฯ แต่ต่อมามีการเขียนแบบ "อดุลยเดช" ด้วย ในที่สุดจึงนิยมใช้แบบ "อดุลยเดช" ทั้งสองพระองค์
นอกจากนี้จะสังเกตได้ว่า พระนามของสมเด็จพระเชษฐภคินี สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับการตั้งให้มีความคล้องจองกัน คือ กัลยาณิวัฒนา อานันทมหิดล ภูมิพลอดุลเดช จะต่างกันตรงที่ ผู้พระราชทานพระนามสมเด็จพระเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เคยมีรับสั่งกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงความหมายของพระนาม "ภูมิพล" ไว้ว่า "อันที่จริงเธอก็ชื่อภูมิพล ที่แปลว่า กำลังของแผ่นดิน แม่อยากเธออยู่กับดิน"
ต่อมาภายหลัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชปรารภถึงสิ่งที่สมเด็จพระบรมราชชนนนีเคยรับสั่งว่า "เมื่อฟังคำพูดนี้แล้วก็กลับมาคิด ซึ่งแม่ก็คงจะสอนเรา และมีจุดมุ่งหมายว่า อยากให้เราติดดินและอยากให้ทำงานให้ทำงานแก่ประชาชน"
CR : นิตยสาร "สารคดี" ปีที่ ๒๓ ฉบับที่ ๒๗๔ เดือนธันวาคม ๒๕๕๐ หน้า ๘๐

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

เจ้ากรรมนายเวร ตัดตอนจากหนังสือตายแล้ว...ไปไหน โดยพระราชพรหมยาน เรื่องที่ 175 หน้า 359-360

..เจ้ากรรมนายเวร หมายถึงบาปที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไว้กับคนและสัตว์ในอดีตชาติก็ดี ในชาติปัจจุบันก็ดี อย่างบางคนที่เราฆ่าเขาบ้าง เราทำร้ายเขาบ้าง เขาอาจจะไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมแล้ว ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่สนใจแล้ว แต่ไอ้ตัวบาปที่เราทำไว้ อย่างคนที่ไปขโมยของเขา เจ้าของเขาไม่ติดใจแต่ตำรวจมีหน้าที่ตามไม่ใช่อยากตาม แต่กฎหมายให้ตาม ฉะนั้น กรรมหรือเวรตัวนี้คือกฎหมาย ถ้าหากปฏิบัติในขั้นสุกขวิปัสสโก ก็จะบอกว่าไม่มีตัวตนเพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่เตวิชโช ขึ้นไปเขาเห็น 

...เราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผลให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่างๆที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไปแล้ว เราไปยับยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเราทำกรรมให้ดีให้มีกำลังเหนือบาป บาปต่างๆก็จะตามเราไม่ทันเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นการทำบุญหนีบาป ไม่ใช่ทำบุญล้างบาป ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี ดังนั้นถ้าเราจะชดใช้บาปก็คงจะชดใช้กันไม่ไหว มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาปด้วยการปฏิบัติดังนี้

1.การคิดถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระอริยสงฆคุณ

2.ทรงศีล 5 ให้บริสุทธิ์
3.มีพรหมวิหาร 4 ให้ครบถ้วน
4.มีอิทธิบาท 4 ทรงตัว
5.มีการภาวนาให้จิตทรงตัว
6.พยายามรวบรวมบารมี 10 ประการให้มีในจิตให้ครบถ้วน
7.พยายามตัดสังโยชน์ 10 ประการให้หมด
8.จรณะ15 ปฏิบัติให้ครบถ้วน

เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้ได้ทั้งหมด ก็เป็นอันว่าไม่ต้องการเกิดกันอีกต่อไป นั่นคือตายเมื่อใดก็ตามก็ไปพระนิพพานอันเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด..


ตัดตอนจากหนังสือตายแล้ว...ไปไหน
โดยพระราชพรหมยาน เรื่องที่ 175 หน้า 359-360

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558

เรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม ๑ ตอนที่ ๔๘. พระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพต โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

เรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม ๑ 
ตอนที่ ๔๘. พระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพต
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

อันนี้ เรามาเลี้ยวเข้าจังหวัดพระนครเสียหน่อย มากรุงเทพฯ นะ ก็ดีเข้ากรุงเทพฯ กันเสียที อ้อ เรื่องของกรุงเทพฯ ยังมีพระอีกองค์หนึ่งนะ พระกรุงเทพฯ น่ะ หลวงพ่อนาค พระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพต คณะ 11 วัดสระเกศ
พระองค์นี้หลวงพ่อปานเคารพมาก แล้วก็สรรเสริญมากว่าเป็นพระดี ท่านเคยสั่งว่าเวลาฉันตายแล้วนะ เวลามีอะไรขัดข้องก็มีหลวงพ่อพระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพตนี่แหละพอที่จะเป็นที่พึ่งได้ ท่านสั่งไว้หลายองค์ แต่ละองค์ก็มีอายุมากๆ เกรงว่าจะตายไป องค์โน้นตายเสียแล้วจะได้อาศัยองค์นี้ ท่านว่ายังงั้น
ทีนี้ตอนที่หลวงพ่อปานตายแล้ว อาตมาก็ไปสมัสการท่าน องค์นี้เรื่องไม่มาก หูท่านหนัก เวลาพูดก็ต้องพูดดังๆ ไอ้เราเป็นคนเคารพคนแก่อยู่แล้ว จะพูดดังก็เกรงใจ เกรงจะหาว่าเป็นการเหยียดหยามคนแก่ แต่ท่านก็เกณฑ์ให้พูดดังๆ ถ้าพูดไม่ดังท่านก็ไม่ได้ยิน เวลาไปหาท่าน ปรากฏว่าอายุ 93 ปีแล้ว
ครั้งแรกท่านถามก่อนว่ามาจากไหน ก็กราบเรียนท่านว่ามาจากวัดบางนมโคขอรับ ความจริงตอนนั้นเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว เกล้ากระผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ท่านก็ยกมือขึ้นป้อง ร้องว่า อ๋อ ไอ้ลูกศิษย์ท่านปานเรอะ ไอ้ลิงดำใช่ไหม เอาเข้าแล้ว ไม่รู้ว่ารู้จักยังไง เลยกราบเรียนถามท่านว่ารู้จักยังไงขอรับ ตอบว่าข้ารู้ อาจารย์แกเขาเคยบอกให้ฟัง เรื่องนี้เล่าไว้ตอนต้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะที่พูดนี่ไม่ได้เขียนก็ไม่ทราบว่าพูดแล้วหรือยัง ตอนนี้ก็เลยขอย่อเรื่องเอาสั้นๆ เป็นอันว่าไปคราวนั้นก็เอาชื่อของอาจารย์ทั้งหลายที่เก่งในทางไสยศาสตร์ ลงเลขลงยันต์ คงกระพันชาตรี เหนียวแบบนั้นเหนียวแบบนี้ มีลูกศิษย์ลูกหามากไปถวายท่าน บอกว่าพระทั้งหมดนี้ 10 องค์กว่าๆ เวลานี้ตายแล้วขอรับ เกล้ากระผมอยากทราบว่า พวกนี้ตายแล้ว ไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน หรือไปนรก
ท่านบอก เออดีเหมือนกันว่ะ ถามงี้ก็ดี ไม่ค่อยมีใครมันถามหรอกว่าไอ้นรกนี่ข้าไปเที่ยวเสมอ แต่อเวจีไม่ได้ลงสักที เห็นไฟมันพลุ่งๆ ขึ้นมา อยากจะไปดูให้เห็นพอจะไปก็พอดีสว่าง เขาไปตามบอกสว่างเสียแล้ว
นี่เป็นหน้าที่ของเทวดาอิน เทวดาอินแกอยู่ที่ทางสี่แพร่ง ทางไปนรก ไปพรหม ไปสวรรค์ แล้วก็มามนุษย์ แกมีหน้าที่คอยตามพระหรือฆราวาสที่ได้ฌานที่เพลินไป ไม่กลับตามเวลา ตามให้กลับว่าเวลาจะสว่าง
ท่านได้รับบัญชีไว้แล้ว ท่านก็บอกเอายังงี้นะ พรุ่งนี้มาใหม่ข้าจะบอกให้ฟังว่า เขาจะไปทางไหนกัน ก็เลยกลับ เมื่อกลับมาแล้ววันรุ่งขึ้นเช้าก็ไปใหม่ พอไปแล้ว ท่านก็รายงานให้ทราบ ท่านบอกว่า เออ อาจารย์พวกนี้ว่ะ เมื่อคืนนี้ข้าไปดูมาแล้ว ไม่เห็นมีนี่บนสวรรค์ น่ากลัวจะดันไปนรกหมดแล้ว ทั้งนี้เพราะอะไร ท่านก็เลยบอกว่า เพราะเจตนาเขาไม่เหมือนเรา เวลาเขาให้ของใครเขาก็บอกว่า นี่เหนียวยังงั้น ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก แทงไม่เข้า ตีไม่แตก ไปยุให้คนมันทำชั่ว ไปยุให้คนเป็นนักเลง เมื่อคนมันหนังเหนียวแล้วมันก็ไปข่มเหงชาวบ้านเขา ไปปล้นเขา ท่านอาจารย์ก็กลายเป็นต้นตอ ก็เป็นผู้อำนวยการกระทำความชั่ว แล้วเจตนาที่แจกของเหล่านั้นก็เป็นเตนาชั่ว คือตั้งราคาเป็นสำคัญ ของชิ้นนั้นราคาเท่านั้น ของชิ้นนี้ราคาเท่านี้ เพราะมันเหนียว มันคงกระพัน ลงทุนบาทหนึ่งก็เรียกราคาเป็นร้อยเป็นพัน แบบนี้ เจตนาก็ไม่ใช่เจตนาของพระ ไม่ได้ปฏิบัติตนอย่างพระ
ขณะที่บวชอยู่ก็จิตไม่เป็นพระ นี่มันเป็นทางลงนรกลงไปแล้ว พอจิตไม่เป็นพระเท่านั้นมันก็ลงนรกแล้ว แล้วต่อมาก็มาเป็นหัวหน้าโจรเขาอีก แจกของเหนียว พอเจ้าพวกนั้นเป็นนักเลงไปข่มเหงชาวบ้าน เพราะอาศัยหนังเหนียวจากอาจารย์ให้ของ ไปปล้นสะดมเขา ไปแย่งชิงวิ่งราว เพราะอาศัยมีความเชื่อมั่นของดีจากอาจารย์ เป็นอันว่าท่านอาจารย์ก็มีส่วนร่วมลงนรกเป็นวาระที่ 2 เรียกว่ามีสมบัติ 2 ชิ้น พอที่จะนำนรกไปแบบสบายๆ เป็นอันว่าเรื่องราวของท่านสุวรรณพิทักษ์บรรพตก็ขอย่อไว้แค่นี้นะ