หนังสือ "ตายแล้วไปไหน" ภาคที่ ๔: ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดบนสวรรค์ เรื่องที่ ๔๒ หลวงพ่อปานวัดบางนมโคปรารถนาพระโพธิญาณมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต
โดยพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน มหาเถระ วัดท่าซุง“..พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน) วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นคนบางนมโค มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่ง สมัยนั้นเขามีทาสกัน ที่บ้านท่านก็มีทาส เมื่อท่านเป็นเด็กอายุประมาณ ๔-๕ ขวบ ท่านวิ่งเล่นใต้ถุนบ้านย่าของท่าน เวลานั้นคุณย่าของท่านกำลังป่วยหนักใกล้จะตาย ตอนบ่ายประมาณ ๒-๓ โมงเย็น ทุกคนมาเยี่ยมรวมทั้งโยมพ่อโยมแม่ของท่านก็ไป เมื่อทุกคนขึ้นไปแล้ว ท่านก็ได้ยินเสียงบอกดังๆ ว่า “แม่ แม่ อรหังนะ อรหัง ภาวนาไว้ พระอรหัง จะช่วยแม่” ท่านยืนฟังอยู่ใต้ถุนบ้าน สงสัยเขาว่าอรหังกันทำไม จึงย่องขึ้นไปที่หน้าบันไดชานเรือน ก็เห็นเขาเอาปากพูดกรอกไปที่ข้างหูคุณย่าท่านบอกว่า “แม่ แม่ อรหังนะ อรหัง” แต่พอผู้ใหญ่มองเห็นท่านเข้าก็ไล่ท่านลงไป พอถึงตอนเย็นเป็นเวลากินข้าว ท่านแม่ก็เรียกลูกกินข้าว เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว ท่านแม่ก็จัดกับข้าวมาวางตรงกลาง สำหรับหลวงพ่อป่านท่านเป็นเด็ก เขาเอาข้าวใส่จานกับแกงเผ็ดฉู่ฉี่แห้งที่ท่านชอบมาให้ แบบประเภทข้าวราดแกง ไม่ต้องไปตักกับข้าวตรงกลางวง เมื่อท่านกินข้าวกับข้าวอร่อยถูกใจก็เกิดความชุ่มชื่นใจ จิตนึกถึงคำว่า “อรหัง อรหัง” ขึ้นมาได้ ท่านก็ปลื้มใจเลยเปล่งวาจาออกมาดังๆ ว่า “อรหัง อรหัง” ท่านแม่มองตาแป๋วลุกพรวดจับชามข้าวที่ท่านถืออยู่วางไว้ แล้วจับตัวท่านวางปังออกไปนอกชาน ร้องตะโกนสุดเสียงว่า “เอ้า จะตายโหงตายห่า ก็ไปตายคนเดียว จะมาว่า “อรหัง” ที่นี่ได้รึ คำว่า“อรหัง หรือ พุทโธ” นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย”
ท่านแปลกใจคิดว่า เราว่าดีๆ แม่ดุเสียงเขียวปัด ในเมื่อถูกดุอย่างนั้นขืนว่าอีกก็เกรงไม้เรียวก็เลยไม่ว่าอีก ลุกไปหยิบจานข้าวไปกินทั้งน้ำตาคลอด้วยความเสียใจ ทีเวลาท่านให้คนอื่นพูดได้ แต่เราเป็นเด็กจะว่ามั่งก็ไม่ได้ ตอนหลังที่ท่านบวชแล้ว ท่านได้แนะนำให้ท่านแม่ทราบว่า คำว่า “อรหัง หรือ พุทโธ” นี้ถ้าใครภาวนาไว้ เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหมด เขาห้ามตกนรก ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนที่ภาวนา “พุธโธ หรือ อรหัง” จัดว่าเป็นคนปรารถนาความดีของพระพุทธเจ้า มีความดีเกินกว่าที่จะลงนรก ท่านให้ท่านแม่ภาวนาทุกวัน เวลาท่านแม่ตายท่านก็ยึด “พุทโธ และ อรหัง” เป็นอารมณ์ ก่อนที่ท่านทั้งสองจะตาย ท่านทรงฌานละเอียดและก็ได้วิปัสสนาญาณละเอียด ท่านจึงดีใจมากเวลาที่ท่านทั้งสองตาย แต่ท่านทั้งสองต้องกลับมาเกิดอีกวาระหนึ่ง เพราะหลวงพ่อปานต้องเกิดเป็นลูกท่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วต่อจากนั้นท่านทั้งสองไม่มีโอกาสจะเกิดอีกแล้ว
รูปร่างลักษณะของหลวงพ่อปานสมส่วนทุกอย่าง ผิวขาวนวล เสียงท่านเพราะมาก เมื่อท่านโตขึ้นมา ท่านช่วยพ่อแม่ทำนา ท่านเป็นคนขยัน เคยขอให้ท่านนั่งขัดสมาธิ แล้วกราบขออภัยท่าน ขอเอาเชือกวัดรอบศีรษะ วัดหน้าตัก วัดจากตักไปถึงบ่า ได้ส่วนทุกอย่างกับส่วนของพระพุทธรูปเป๊ะเลย เมื่ออายุท่านใกล้ถึงเกณฑ์บวช ท่านพ่อท่านแม่บอกจะขอลูกสาวคนรวยให้แต่งงานกับท่าน หลังจากบวชแล้ว ท่านบอกว่า “เรื่องแต่งงานเอาไว้ทีหลัง ขอให้บวชเสียก่อน เพราะบวชแล้วไม่แน่จะสึกหรือไม่สึก ถ้าสึกก็แต่ง ไม่สึกก็ไม่แต่ง”
สมัยที่ท่านเป็นหนุ่ม ที่บ้านท่านมีคนรับใช้เป็นทาสอยู่คนหนึ่งอายุแก่กว่าท่าน ท่านเรียกว่าพี่เขียว อายุประมาณ ๒๕ ปี ตอนกลางวันอยู่ด้วยกัน ๒ คน ท่านเกิดสงสัยเนื้อผู้หญิงขึ้นมา เพราะตั้งแต่เกิดมานอกจากเนื้อแม่กับเนื้อพี่แล้ว ท่านไม่เคยจับเนื้อใคร จึงคิดว่าเนื้อผู้หญิงมันดีอย่างไร ผู้ชายถึงอยากได้กันนัก บางทีถึงกับฆ่ากันเลย ท่านจะบวชแล้วถ้ามันดีจริงก็จะสึก ถ้าไม่ดีก็ไม่สึก ท่านจึงเข้าไปหาพี่เขียวซึ่งอยู่ในครัว ยกมือไหว้ขอขมาบอกว่าไม่ได้ดูถูกดูหมิ่น ขอจับเนื้อดูหน่อย อยากจะพิสูจน์ว่ามันดียังไง ผู้ชายเขาถึงชอบกันนัก พี่เขียวก็แสนดีอนุญาตให้จับได้ ท่านก็เลือกจับเนื้อที่หน้าอก แต่ไม่ได้จับมากหรอก และก็ไม่ได้ลวนลามไปถึงไหน จับๆ แล้วท่านก็มาจับเนื้อน่องของท่าน และบอกพี่เขียวว่า “เนื้อมีสภาพคล้ายกันนี่ เนื้อของเราก็มีแล้ว ไปต้องการเนื้อคนอื่นอีกทำไม” ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาท่านก็เลยคิดว่า บวชคราวนี้ไม่สึกละ
เข้าสู่ผ้ากาสาวพัตร์
พออายุท่านครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์ย่าง ๒๑ ปี ท่านพ่อก็พาท่านถือพานดอกไม้ธูปเทียนไปฝากหลวงปู่สุ่นเพื่อบวชที่วัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขณะที่เดินไปตามทางท่านพบปลาช่อนตัวใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ในหนองน้ำเกือบจะแห้ง ท่านก็จับไปปล่อยในแม่น้ำ ท่านบอกว่า ในชีวิตของท่านไม่เคยฆ่าสัตว์เลย ไม่ว่าสัตว์ตัวเล็กตัวใหญ่ก็ตาม ถ้าฆ่าโดยเจตนาแล้วท่านไม่เคยทำ แม้แต่ยุงก็ไม่เคยตบ เมื่อไปถึงวัด หลวงปู่สุ่นเห็นเข้าก็กวักมือเรียก หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบท่านก็เอามือลูบศีรษะบอกว่า “อยู่กับพ่อจะได้ดีนะ นับตั้งแต่นี้ไปเป็นลูกของพ่อ วิชาความรู้จะถ่ายทอดให้ทั้งหมด และจะไม่สึก” ทำให้ท่านพ่อและหลวงพ่อปานปลื้มใจมาก เพราะเวลานั้นหลวงปู่สุ่น ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นกรณีพิเศษ
ความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่
หลวงพ่อปานท่านมีความกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่มาก เวลาป่วยท่านไม่ยอมให้อยู่ที่บ้าน ท่านนำมารักษาที่วัดให้นอนในกุฏิท่าน ผ้านุ่งผ้าห่มของท่านท่านซักเอง เวลาท่านแม่ลุกไม่ถนัดท่านก็อุ้มลุกอุ้มนั่ง เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ มีหลายคนตำหนิท่านว่า ท่านเป็นพระ ทำอย่างนี้แม่ท่านจะบาป ท่านก็เลยบอกว่า “พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่บาป เป็นความดีที่แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ เวลานี้ท่านเป็นพระเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยทำตามพระพุทธเจ้า พระองค์เทศน์ไว้ในพระไตรปิฎกมีอยู่ ในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติมีนามว่า “สุวรรณสาม”สมัยนั้นพระองค์ก็ปรนนิบัติดูแลท่านพ่อท่านแม่ของท่านเป็นอย่างดี
ปัจฉิมโอวาทของหลวงพ่อปาน
ต่อมาเมื่อหลวงพ่อปานอายุล่วงเข้า ๖๑ ปี ท่านป่วยมากเป็นครั้งแรก คณะศิษย์ในกรุงเทพฯรับท่านไปรักษาประมาณ ๑ เดือนท่านก็กลับวัด หลังจากป่วยคราวนี้แล้วท่านแจ้งให้บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ทราบว่านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอีก ๓ ปีท่านจะตายในวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น ปรากฏว่ามีคณะศิษย์พากันมาหาท่านมาก เมื่อใครก็ตามเข้าไปหาท่าน ตอนนี้ท่านสงเคราะห์ทุกอย่าง ทั้งด้านการรักษาโรค คาถาอาคมที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นโทษท่านไม่ให้กับใคร นอกจากนั้นท่านก็สอนเฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสำคัญ ท่านพูดย่อๆ ให้ฟังง่ายและเห็นชัด ส่วนใหญ่ท่านสอนด้านวิปัสสนาญาณ ให้ทุกคนรู้ตัวว่าตัวเองจะต้องตายและทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน จงอย่าประมาทให้สร้างแต่ความดี ถึงแม้ว่าจะมีคาถาอาคมดีเพียงใดก็ตาม เราก็ต้องตาย ก่อนที่จะตายนั้นควรจะเลือกทางเดิน อย่างน้อยที่สุดเราควรไปสวรรค์ชั้นกามาวจรให้ได้ แล้วท่านก็อธิบายว่า การที่ท่านสร้างวัดวาอารามต่างๆ ถึง ๔๐ วัด ทำบุญสุนทานต่างๆ ทั้งหมดนี้ก็เพราะท่านห่วงบรรดาประชาชนทั้งหลายจะได้ร่วมกันทำบุญ มากบ้างน้อยบ้างด้วยทรัพย์สินบ้าง ด้วยกำลังกายบ้าง ทุกคนที่ได้ช่วยงานท่านอย่างนี้ อย่างน้อยทุกคนจะต้องไปเกิดบนสวรรค์ ท่านสอนว่า ก่อนจะหลับให้นึกถึงความดีที่ตนเคยทำไว้ หมั่นภาวนาระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระอริยสังฆคุณ เป็นต้น
ก่อนหน้าวันตายของท่าน ๓ วัน หลวงพ่อปานได้บอกให้อาตมาจัดเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ พอวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ ๓ โมงเช้าท่านก็เริ่มพิธีบวงสรวงแล้วบอกว่า “วันนี้ใครจะคุยอะไรกับท่านก็คุยนะ หลังเที่ยงไปแล้วท่านจะไม่คุย พรุ่งนี้ท่านถึงจะตาย” ท่านนอนคุยเพราะลุกไม่ค่อยจะไหว เนื่องจากแรงท่านไม่มี พอถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ ตอนเช้าท่านบอกว่า “นับตั้งแต่เที่ยงวันนี้เป็นต้นไป ท่านจะไม่พูดกับใครเลย” อาตมาได้ถามท่านว่า “ท่านจะสั่งอะไรบรรดาศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายบ้าง เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของท่านแล้ว ถือว่าเป็นปัจฉิมวาจา” หลวงพ่อปานว่า “ให้สั่งพระกับชาวบ้านทั้งหมด ขอให้ทุกคนตั้งใจทำความดี คนไหนที่ทำความดีอย่างอื่นมากนักไม่ได้ ก็ให้สร้างความดี ๒ อย่างคือ ๑ อย่าดื่มสุราเมรัย ๒ อย่าลักขโมย คืออย่าประพฤติตนเป็นโจร”
จากนั้นหลังจากเที่ยงไปแล้วท่านก็เงียบ พอเวลาใกล้จะ ๖ โมงเย็น เหลืออีกประมาณ ๑๐ นาที ท่านลืมตาขึ้นมองหน้าอาตมาบอกว่า “ถ้าพ่อตายละก็ ช่วยไปสร้างโบสถ์วัดเสาธง ตำบลสารี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ให้เสร็จด้วยนะ” อาตมาบอกหลวงพ่อว่า “เวลานี้พระมานั่งกันเต็มประมาณ ๒๐๐ รูป อาตมาต้องการให้พระสงเคราะห์อะไรบ้าง” ท่านเลยบอกว่า “ถ้าพระจะสงเคราะห์ ให้ท่านสวดอิติปิโส และจุดธูปหอมๆ ให้ได้กลิ่นด้วย” พอ พระสวดอิติปิโส ไปได้สักพักหนึ่ง เหลือเวลาอีกนิดเดียวจะ ๖ โมงเย็น ท่านลืมตาขึ้นบอกกับอาตมาว่า “ให้บอกพระกับชาวบ้านว่าพ่อลานะ แล้วขอให้ทุกคนมีความสุขนะ ทุกคนตายแล้วจงไปสวรรค์ จงไปพรหมโลก จงไปพระนิพพาน” เมื่อพูดจบท่านก็หลับตา ท่านลืมตาอีกครั้งแล้วก็หลับตาปั๊บอีกที นาฬิกาเป๋งแรก ๖ โมงเย็นพอดีปรากฏว่าชีพจรดับพร้อมกัน พระครูอุดมสมาจารย์ นั่งหลับตาอยู่ห่างๆ ได้ลืมตาขึ้นมาบอกว่า “หลวงพ่อไปแล้วไปอย่างสบาย ออกไปสวยเหลือเกิน รูปร่างท่านสวยมาก เทวดา พรหมห้อมล้อมไปส่งท่านถึงสวรรค์ชั้นดุสิต”
พอบรรดาพระทราบว่าหลวงพ่อไปแล้ว ปรากฏว่าพระแก่หลายองค์เลิกสวดอิติปิโส แต่มาสวดร้องไห้แทน เมื่อพระร้องไห้ชาวบ้านที่อยากจะร้องอยู่แล้วมีมาก ก็เลยช่วยกันร้องเป็นการใหญ่ หลวงพ่อมรณภาพในกุฏิท่าน คนจะมาเคารพศพก็ลำบาก เพราะที่คับแคบ ต้องเคลื่อนศพมาไว้ที่ศาลาโดยไม่ได้ใส่โลงศพ สมัยนั้นยาฉีดกันเน่ากันเหม็นยังไม่มี จากวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ จนถึง วันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๙ ร่างกายของท่านไม่ผิดปกติเลย มีอาการเหมือนคนนอนหลับ เนื้อหนังที่จะผิดปกติอย่างคนตายก็ไม่มี กลิ่นเหม็นสักนิดหนึ่งก็ไม่มี..”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น