เล่าเรื่อง หมอชีวกโกมารภัจจ์ โดยหลวงพ่อฤาษี
จาก หนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 17
โดย.....หลวงพ่อพระราชพรหมย าน วัดท่าซุง
ประวัติของท่าน---ความ มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิ ญาณแล้ว ในตอนนั้นก็มีท่านผู้หนึ่งท ี่เราได้ยินกันอยู่เสมอ คือ ท่านหมอ ชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นหมอสำคัญขององค์สมเ ด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ คอยรักษาโรคและก็เป็นหมอที่ มีความรู้พิเศษจริง ๆ การไปศึกษาของท่านนั้น ปรากฎว่าการไปศึกษาวิชาเวชศ าสตร์มีความฉลาด สามารถยิ่งกว่าลูกศิษย์ใด ๆ จากสำนัก ตักสิลา---เป็นอันว่าท่านชี วกโกมารภัจจ์นี้ มีประวัติอยู่ว่า เป็นลูกพิเศษของเจ้าใน กรุงราชคฤห์ คำว่าเป็นลูกพิเศษนี้ก็หมาย ความว่า อาจจะเป็นเมียพิเศษ ที่เจ้าย่องไปเจ้าชู้นอกเขต พระราชฐาน ผู้หญิงคนนั้นก็เลยมีลูกขึ้ นมา 2 คน คือคนแรกชื่อว่า โกมารภัจจ์ เป็นลูกคนหัวปี คนที่สองมีนามว่า สิริมา เป็นคนสวยที่สุดในสมัยนั้น- --ต่อมาเมื่อโตขึ้น แต่ความจริงเกิดขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ไม่ได้รับว่าเป็นบุตร โดยตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ โดยความในด้านจิตใจก็คือสงเ คราะห์ตลอดเวลา แต่เป็นการสงเคราะห์แบบลับ ๆ ฉะนั้นชื่อของท่านโกมารภัจจ ์ก็ดี ของสิริมาก็ดี ไม่ได้ชื่อเป็นเจ้า แต่ว่าฐานะก็ดีเข้าขั้นในฐา นะดีมาก และก็เป็นคนใกล้ชิดกับพระรา ชฐานตลอดเวลา เพราะเจ้ารู้ว่าเป็นลูกแต่ก ็ยอมรับไม่ได้ ประกาศเปิดเผยไม่ได้ แลก็เลี้ยงอย่างลูก สงเคราะห์อย่างลูกเหมือนกัน เมื่ออายุได้ 16 ปี ก็ส่งไปอยู่เมืองตักสิลา ท่านตั้งหน้าตั้งใจศึกษาวิช าเวชศาสตร์เอาอย่างเดียว--- ครั้นเมื่อ เวลาเรียนจบก็ลาอาจารยืกลับ บ้าน อาจารย์ก็อยากทดลองความสามา รถ จึงได้บอกให้ท่านโกมารภัจจ์ จัด
กระจาดเข้า 2 ลูก ทำด้วยหวายใส่สาแหรกหาบไป และมีมีด 1 เล่ม มีเสียม 1 เล่ม
มีฆ้อน 1 อัน---แล้วว่าเจ้าจงเดิน ไปด้าน 4 ทิศ ทิศละ 1 โยชน์ ดูหญ้าก็ดี
ดูผักหญ้าต้นไม้ พืชพันธ์ธัญญาหาร ดินทราย หรือว่าแม้แต่แร่เหล็กต่าง ๆ
แร่ต่าง ๆ ว่าดูว่า ถ้าสิ่งไหนมันไม่เป็นยาแล้ว ก็ตัดเอามาให้อาจารย์ดู หรือขุดมาให้อาจารย์ดู---ท่ าน โกมารภัจจ์ใช้เวลาแบบนี้ประ มาณเดือนเศษ พอเดินไป 1 โยชน์ กว่าจะถึง 1 โยชน์ก็ต้องเดินดูไปตลอดทุก อย่างตามทิศที่อาจารย์บอก เมื่อไปครบทุกทิศทุกด้านทาง 1 โยชน์ ก็ปรากฎว่ากลับมาหาบเปล่า หาอะไรที่เป็นยาไม่ได้เลย ครั้นมาถึงก็มารายงานอาจารย ์
บอกว่ามันไม่มี ไม่มีสิ่งที่มันไม่เป็นยา จะเป็นดิน จะเป็นทราย เป็นหิน
เป็นกรวด เป็นต้นไม้ เป็นต้นหญ้า ไม่ว่าอะไรทั้งหมดมันเป็นยา ทั้งหมด---ปราก ฎว่าอาจารย์ก็ชมเชย บอกดีแล้ว อย่างนั้นกลับบ้านได้ ถ้ายังหาพวกทุกสิ่งทุกอย่าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งไม่เป ็นยาในโลกนี้ ก็กลับบ้านไม่ได้ ถือว่าเรียนไม่จบ แล้วท่านก็ลากลับ กลับก็เดินมาในระหว่าทางไม่ ทันจะถึงกรุงราคฤห์มหานครรั กษาภรรยาท่านเศรษฐี---เวลา ตอนเย็นวันหนึ่งมันใกล้ค่ำ ท่านก็พักอยู่ในโคนต้นไม้ใก ล้บ้านมหาเศรษฐี พอดีท่านมหาเศรษฐีเดินลงไปพ บเข้า ถามว่า ไปไหนมา ม่านก็บอกว่า ไปเรียนวิชาเวชศาสตร์ ท่านมหาเศรษฐีก็บังเอิญภรรย าของท่านเป็นโรคปวดศรีษะมา 3 ปี ทำงานไม่ได้ ใช้สมองไม่ได้ ถามว่าจะรักษาหายไหม เห็นว่าเป็นหมอ ท่านก็บอกว่าต้องดูอาการก่อ น เมื่อเข้าไปดูอาการท่านก็บอ กว่าจะทดลองดู เพราะว่าเรียนหมอมาใหม่ ๆ ยังไม่มั่นใจว่าจะรักษาหายห รือไม่หาย แต่ว่ายาไม่มีติดมือเลย---ท ่านเศรษฐีก็ถามว่าต้องการอะ ไร
บ้าง ก็บอกว่ามี แกก็ถามท่านมหาเศรษฐีว่า ไอ้หญ้าประเภทนี้มีไหม
อาตมาก็ลืมชื่อหญ้า ท่านบอกว่ามี ถ้าบอกชื่อก็หาไม่ได้
เพราะเราไม่รู้จักกัน ถ้าเอาของ 2 อย่างเอาหญ้ามาโขลกเข้ากัน
แล้วเลยใส่เข้าไปละลายคั้นเ อาน้ำออกมากรองให้ดี แล้วก็หยอดไปในจมูกของภรรยา ท่านมหาเศรษบี--- พอหยอดลงไปเท่านี้ ก็ปรากฎว่าภรรยาท่านมหาเศรษ ฐี มีทั้งน้ำมูก มีทั้งสเลดออกจมูก ออกทั้งปาก ออกมาอย่างมาก ในที่สุดขนะเดียวกันก็ปรากฎ ว่าหายปวดทันที ท่านมหาเศรษฐีก็จัดรางวัลเป ็นการใหญ่ แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์ท่านก็ รับ เวลาจะกลับท่านก็มอบคืน เขาไม่บอกว่าคืน มอบของทั้งหลายเหล่านี้ไว้ส งเคราะห์คนจนต่อไป นี่ประวัติต้นแล้วก็เดินทาง กลับประกอบยาถวายพระพุทธเจ้ า---เมื่อ กลับมาก็ขอเทศน์ลัด พูดมากเวลามันไม่ค่อยพอเทศน ์ เรื่องนี้มันต้องเทศน์กันเต ็มวันทั้ง 3 วัน เป็นอันว่าในต่อมา ก็ได้เป็นหมอประจำองค์สมเด็ จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประชวรด้วยเรื่อ งอะไรก็ตามท่านโกมารภัจจ์ปร ะกอบยาแค่เม็ดเดียวก็ หายทันที นี่จะได้มองเห็นว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระชินศรีบ รมศาสดาเป็นพระอรหันต์ และเป็นยอดอรหันต์คือ จอมอรหันต์ก็ยังป่วยไข้ไม่ส บาย ก็ยังแก่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นท่านทั้งหลายก็ จะคิดว่าพระอรหันต์ไม่ป่วย- --เป็น อันว่าต่อมาในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเ จ้าถูกพระเทวทัตกลิ้งหินลงม า มีความปราถนาจะทับสมเด็จพระ ผู้มีพระภาคเจ้าให้ตายที่ยอ ดเขาคิชณกูฏ พระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่เชิง เขา พระเทวทัตขึ้นไปยอดเขาแล้วก ลิ้งหินให้ทับแต่ก็เป็นการบ ังเอิญที่มีหินก้อน ใหญ่มหึมาก้องหนึ่ง ปรากฎโผล่ขึ้นมากันหินที่พร ะเทวทัตกลิ้งมาแตกกระจาย เศษหินไปถูกพระบาทขององค์สม เด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่นิ ้วพระบาทห้อพระโล้หิต---เมื ่อ องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรอาก ารอย่างนั้น ท่านโกมารภัจจ์ก็ประกอบยาถว ายปิดลงไปที่ห้อพระโลหิต แล้วก็เอาผ้าผูกไว้ พอเสร็จแล้วก็ลาองค์สมเด็จพ ระจอมไตรไปภายนอกกำแพงวัง คุยกับเพื่อนเพลินไป โอกาศเวลานั้นประตูเมืองก็ป ิดหกโมงเย็น เข้าประตูเมืองไม่ได้ ก็ร้อนใจคิดว่า โอ้หนอ...ยาที่ถวายองค์สมเด ็จพระจอมไตรเป็นยาแรง เวลานี้แผลก็คงจะหายแล้ว อีกประการหนึ่ง เมื่อแผลหาย ยาที่ยังพันอยู่ที่นิ้วพระบ าทขององค์สมเด็จพระจอมไตรจะ ทำให้พระองค์ทรงมี ความลำบาก เพราะยามีความร้อน---ตอนนั้ นเอง องค์สมเด็จพระชินวร ทรงทราบวาระจิตของท่านโกมาร ภัจจ์ว่ามีความลำบาก คิดว่ายาจะเป็นโทษกับเรา จึงได้เรียก พระอานนท์ มาบอก อานันทะดูก่อนอานนท์ เธอจงแก้ผ้ามัดนิ้วตถาคตออก ไป แล้วจงเอายาออก พอเอาออกแล้วพระอานนท์ก็เอา น้ำที่สะอาดมาล้างให้ ตอนรุ่งขึ้นท่านโกมารภัจจ์เ ข้าเมืองได้ก็รีบมาเฝ้าองค์ สมเด็จพระจอมไตร---ถาม ว่า ยามีอันตรายแก่พระองค์ไหม พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าไม่มี เวลานี้ตถาคตให้พระอานนท์แก ้ออกหมดแล้ว ถามว่าเวลาไหน ท่านถามว่าเวลาไหน พระพุทธเจ้าก็ตอบแก้เวลาที่ เธอลำบากใจ คิดว่าจะมีอันตรายสำหรับฉัน นี่เป็นตอนหนึ่ง ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระภัค วันต์บรมศาสดาป่วยเป็นโรคอะ ไร ท่านโกมารภัจจ์ก็รักษาหายทั นทีทันใดมาเที่ยวเมืองทวารา วดี---ตอน นี้จะขอพูดเรื่องของท่านเหม ือนกัน เป็นการแยกออกไปสักนิดหนึ่ง จากการรักษา ในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระศาสดาประ ทับสำราญอิริยาบถ ท่านโกมารภัจจ์ได้ยินข่าวว่ า ชาวเมืองไอ้เมืองนี้ ทวาราวดีเป็นเมืองที่มีความ เจริญรุ่งเรือง มีขนบธรรมเนียมประเพณีดี มีภาษาพูดเพราะ ก็อยากจะมาเที่ยวเมืองทวารา วดี---คือเขตไทยทาง ด้านของ นครปฐม แต่ทวาราวดีเวลานั้นกินเขตแ ดนของทั้งหมดของเมืองไทยนี่ เอง เวลานั้นเขาไม่เรียกเมืองไท ย เขาเรียกตามชื่อเมืองว่าเมื องทวาราวดี ทูลลาองค์สมเด็จพระชินศรีจะ มาเที่ยวเมืองทวาราวดีเกือบ 2 ปี แต่ความจริงอรรถกถาจารย์เขี ยนไว้ถึง 22 ปี อันนี้เห็นว่าท่าจะไม่ถูก ต้อง 2 ปี เพราะท่านโกมารภัจจ์ไม่สามา รถจะทิ้งพระพุทธเจ้าได้ ในตอนนั้นท่านเป็นพระโสดาบั นแล้ว ถือว่าการเป็นพระโสดาบันนี่ เป็นไม่ยากคือ1.นึกถึงควมตา ยเป็นอารมณ์2.เคารพในพระพุท ธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์3.มีศีล 5 บริสุทธิ์4.จิตใจต้องการพระ นิพพานเป็นอารมณ์พระโสดาบัน เขาเป็นแค่นี้นะ ทุกคนก็เป็นได้เมื่อ มาถึงทวาราวดี อยู่ครบประมาณ 2 ปี ท่านก็กลับ กลับแล้วท่านก็ไปเฝ้าองค์สม เด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าชาวเมืองทวาราวดีนี้มีภา ษาพูดที่เพราะมาก เป็นภาษาโดด คือพูดเป็นคำ ๆ คำว่าไปก็ไป คำว่ากินก็กินอย่างเวลานั้น
ภาษาแขกหรือชาว มคธคำว่า "ไป" เขาก็พูดว่า "คันตวา" มันเป็นคำคู่ "กิน" ก็
"ภุญชติ"ภุญชติล่อเข้าไป 3 คำ กลั้วกัน คันตวาล่อเข้าไป 3 คำ ของเราไป
ของเรากินมันเป็นคำโดด---พอ กราบ ทูลองค์สมเด็จพระพุผู้มีพระ ภาคเจ้าว่าภาษาของชาวทวาราว ดี
เขาพูดเพราะ พูดช้าๆ ฟังสบายๆ และก็เป็นภาษาโดด พระพุทธองค์จึงถามว่า
ทวาราวดีเขาพูดกันอย่างไร ลองพูดให้ฟังซิ ท่านโกมารภัจจ์ก็พูดให้ฟัง
เมื่อพูดให้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พูดภาษ าทวาราวดี คุยกับท่านโกมาภัจจ์อยู่พัก หนึ่งรู้สึกว่าสนุกสนานมาก ท่านโกมารภัจจ์ก็สนุก ทว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพ ุทธเจ้าท่านจะสนุกหรือไม่สน ุกก็ไม่ทราบ แต่เวลาคุยกับท่านโกมารภัจจ ์ท่านคุยเป็นกันเอง คงจะสนุกเป็นพิเศษพระพุทธเจ ้าเป็นคนไทยอาหม---คุย กันไปคุยกันมา นโกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรนี้เป็นลูกช าวกรุงกบิลพัสดุ์ อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี้ได้เพ ราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือค วามรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงนี่ปฏิสัมภิทาญ าณนี่เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรม โลกเชษฐ์ว่า ที่พระองค์ทรงตรัสภาษาทวารา วดีนี่รู้ได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน---องค์ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึง ตรัสว่า โกมารภัจจ์ ภาษาทวาราวดีนี่เป็นภาษาเดี ยวกับชาวกรุงกบิลพัสดุ์ใช้เ ป็นภาษาพื้นเมือง ฉะนั้นท่านโกมารภัจจ์ก็ถามว ่า ถ้าเช่นนั้น ชาวกรุงกบิลพัสด์ก็เป็นเชื้ อสายเดียวกับทวาราวดีใช่ไหม องค์สมเด็จพระจอม ไตรบรมศาสดาก็ทรงตรัสว่าใช่ คือ ชาวกบิลพัสด์ก็ดี ชาวทวาราวดีก็ดี เป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน นี่ขอบรรดาท่านทั้งหลายได้โ ปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านความจริงเป็ นคนไทย เขาเรียกว่าไทยอาหม ตอนนี้ก็รู้ไว้---ต่อมาก็เท ศน์เรื่องของ ท่านในเรื่องของหมอต่อไป ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระจอม ไตรบรมศาสดาประกาศพระศาสนาไ ด้ครบ 45 ปี มีอายุ 80 พอดี ตามอายุขัยของพระองค์ เวลานั้นพระองค์ประทับอยู่ท ี่ ปาวาลเจดีย์ ท่านโกมารภัจจ์ไม่ได้อยู่ด้ วย ไปธุระเสีย เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัม มาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร คือปลงอายุสังขาร กำหนดวันนับต้องแต่เวลานี้ไ ป 3 เดือน เราจะนิพพานที่ระหว่างนางรั งทั้งคู่แห่งเมือง กุสินารามหานคร---เมื่อ องค์สมเด็จพระชินวรปรงปลงอา ยุสังขาร ตัดสินพระทัยว่าจะนิพพานแน่ เวลานั้นเกิดเหตุอัศจรรย์แผ ่นดินไหว พระอานนท์เข้าไปเฝ้าองค์สมเ ด็จพระจอมไตรถามเหตุแผ่นดิน ไหม
ก็ตรัสว่า เพราะตถาคตปลงอายุสังขาร ตั้งใจไว้อีก 3 เดือนข้างหน้าจะนิพพาน
คือวันวิสาขบูชา ที่ระหว่านางรังทั้งคู่ แห่งเมืองกุสินารามหานคร
พระอานนท์ก็อาราธนาองค์สมเด ็จพระชินวรให้อยู่ต่อ ขอเทศน์ลัดเลยนะเวลาเหลือน้ อยพระพุทธเจ้าไม่ทรงรับยา-- -ท่าน ก็บอกไม่ได้ ต้องนิพพานแน่ ฉะนั้นก็ปรากฎว่าท่านโกมารภ ัจจ์กลับมาเห็นสมเด็จพระบรม ศาสดาเศร้าหมองลงไป มาก ซุบซีดผอม ฉันอาหารก็ไม่ได้ แสดงว่าโรคภัยไข้เจ็บรบกวนม าก พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทนพระว รกาย ผืนการเจ็บปวดทุกขเวทนาทั้ง หมด สอนวันนั้น เวลานั้นคนก็ดี สอนพระก็ดี สมเด็จพระชินศรีไม่ทรงเทศน์ เรื่องพระสูตรเลย เทศน์เฉพาะ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเป็นการตัดฉากใกล้นิพพ าน---ท่าน โกมารภัจจ์ก็ไปถามองค์สมเด็ จพระพิตมารถึงโรคท่านก็ไม่ต อบ ท่านโกมารภัจจ์ก็เสียใจว่าถ ้าเรารู้ชื่อโรคนิด อาการโรคนิดเดียวรักษาด้วยย าเม็ดเดียวให้หาย ต่อมาก็ได้ปรุงยาขึ้นเม็ดหน ึ่งเพื่อถวายพระผู้มีพระภาค เจ้า ถ้าพระองค์เสวยยาเม็ดนั้นท่ านจะรู้อาการโรคทันที เป็นยาพิสูจน์โรค พระพุทธเจาก็ไม่ทรงรับเสียอ ีก ถวาย 3 ครั้ง ท่านก็คว่ำมือถึง 3 ครั้ง---ท่าน โกมารภัจจ์ก็เสียใจ จึงเอายาไปใส่ในบ่อน้ำ คิดว่าจะให้ใครกินก็ไม่สมคว ร ยานี้เป็นยาถวายพระพุทธเจ้า ไปใส่ในบ่อน้ำ พระอรรถกถาจารย์ หรือพระฏีกาจารย์ แก้อธิบายว่าน้ำในบ่อนั้นมั นลึกอยู่แล้ว มันฟูขึ้นไปเลยบ่อเจ็ดชั่วล ำตาลอัศจรรย์มาก ต่อมาเมื่อได้พบท่านโกมารภั จจ์ถามท่าน ท่านบอกว่านานๆ เข้ามันก็ยาวเหมือนกัน เมื่อต้นไม้ปลูกนานๆ เข้ามันก็ยาว แต่ควมจริงมันฟูขึ้นมาถึงปา กบ่อ ไม่ได้เลยปากบ่อถึงเจ็ดชั่ว ลำตาล นี่เป็นอันว่าอรรถกถาจารย์ พระฏีกาจารย์เขาเขียนยาวมาก เกินไป พาให้คนไม่เชื่อหนีเข้าป่าเ จริญสมณธรรม---หลัง จากนั้นมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพ พานแล้ว เมื่อเขาเก็บพระบรมสารีริกธ าตุเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ก็ไปงานสมเด็ จองค์พระประทีปแก้วเหมือนกั น เวลานั้นท่านก็คิดว่า เราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุ ทธเจ้า จะถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ ง แต่เวลานี้พระพุทธเจ้ามานิพ พานเสียก่อน เราก็หมดที่พึ่ง เวลานี้เราเป็นคนไม่มีอะไรแ ล้ว---ลูก
ก็ดี เมียก็ดี ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ดี ข้าทาสหญิงชายก็ดี
เราไม่มีเพราะเราสิ้นหวัง เราหมดที่พึ่ง ไอ้ร่างกายของเรานี่มันก็ใช ้อะไรไม่ได้ ไม่ต้องการมันต่อไป ออกจากงานศพแทนที่จะเข้าบ้า น ก็เปิดเข้าป่าไปเลย ไปนอนอยู่ในถ้ำ ไปนั่งนอนคิดว่าเวลานี้สมเด ็จพระธรรมสามิสรที่เป็นที่พ ึ่งใหญ่ของเรานิพพาน เราก็ไม่เอาอะไรมันทั้งหมด นอนให้มันตายอย่างนี้ล่ะ ข้าวปลาอาหารก็ไม่กิน---แต่ ท่านก็เล่าต่อไปว่า ถึงมันจะหลบเข้าไปแบบนั้น คนก็เห็นแก่ตัวไปรบกวนท่าน ไปขอยาท่าน ท่านก็เลยเข้าป่าลึกเข้าถ้ำ ให้มันลึกเข้าไปอีก แล้วก็ไปนอน นอนเฉยๆ คิดว่าเราหมดที่พึ่ง เราเป็นคนไม่มีอะไร ร่างกายเราก็ไม่ต้องการมันใ ห้มันตายไปแบบนี่แหล่ะ มันอยากตายเมื่อไรก็ให้มันต ายถ้ามันไม่ตายก็ไม่ลุก จะอยู่มันที่นี้ตลอดไป พอตัดสินใจแบบนี้ก็มีเสียงเ หมือนฟ้าผ่าลงมา 3 ครั้ง ครั้งแรกก็เรียกว่า "โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพร ะสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม... ?"ท่าน ก็บอกว่าใช่ ท่านไม่เห็นตัว ฟ้าแลบเข้ามาก็มีเสียงเหมือ นฟ้าผ่าอีก ก็บอกอย่างนั้น ท่านก็ตรัสอย่างนั้น แล้วเสียงนั้นก็หายไป สายฟ้าก็หายไป ท่านก็เลยบอกว่า หลังจากนั้นแล้วผมก็เลยนอนห ลับ หลับแล้วผมก็หลับเลยไม่ตื่น รวมความว่าเวลานั้นท่านเป็น อรหันต์แล้วก็นิพพานทันทีอา รมณ์ถึงอรหันต์---เอา เรื่องนี้มาพูดให้เห็นว่า ความกตัญญูกตเวทีของท่านโกม ารภัจจ์เป็นของดี แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์นี้ไปน ิพพานคือเป็นอรหันต์ได้ เพราะมีความรู้สึกอะไร ฉะนั้นขอท่านพุทธบริษัททั้ง หลาย พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงจำไว้ว่า คำว่าถึงอรหันต์น่ะมันมีอยู ่คำ
เดียว หรืออย่างเดียว คือ เราไม่ติดอะไร ทั้งหมด จิตกำหนดว่าวัตถุธาตุต่างๆ
คนก็ดี ใครก็ตาม ไม่ได้เนื่องถึงเรา คือไม่ใช่เป็นของเรา
แต่เขาเนื่องถึงเราจริงเราส งเคราะห์หรือทำงานสงเคราะห์ ให้ตามหน้าที่ ทุกอย่างแต่เราไม่ผูกพัน คิดว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ าย แม้แต่ร่างกายเราก็ไม่ต้องก าร---ถ้าคิดอย่างนี้ก็ตรงกั บคำที่ องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสใ นตอนท้ายมหาสติปัฏฐานสูตรว่ า เธอจงอย่าสนใจกายภายใน คือกายตัวเอง อย่าติดในกายภานอก คือ กายคนอื่น และก็จงอย่าตืดในวุตถุธาตุใ ดๆ จงปลงกำลังใจว่า แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ขอ งเรา เพียงเท่านี้ทุกคนก็จะเป็นอ รหันต์---ฉะนั้น ท่านโกมารภัจจ์ท่านเป็นคนผิ ดหวังในองค์สมเด็จพระสัมมาส ัมพุทธเจ้า คิดว่าท่านจะตายก่อน แต่เมื่อองค์สมเด็นพระชินวร บรมศาสดานิพพานแล้ว ท่านก็ตัดสินใจว่าเราเป็นคน ไม่มีอะไรทั้งหมด ลูกไม่มี เมียไม่มี ทรัพย์สมบัติไม่มี ร่างกายไม่มีความหมาย---เมื ่อมันอยากจะตาย ช้าที่หลังพระพุทธเจ้า มันก็ปล่อยใหห้มันตายด้วยคว ามอดอยากก็ช่างมันปะไร เราไม่ต้องการมันต่อไป อันนี้เป็นอารมณ์ของอรหันต์ เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้วท่ านก็เป็นอรหันต์ทันที ฆราวาสถ้าเป็นอรหันต์วันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน แล้วท่านก็นิพพานจนกระทั่งบ ัดนี้
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=414822005316987&set=a.414821931983661.1073741992.100003675730745&type=1&theater
จาก หนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 17
โดย.....หลวงพ่อพระราชพรหมย
ประวัติของท่าน---ความ มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น