วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเล่าเรื่อง...พระยายมราชเป็นพยาน โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

หลวงพ่อเล่าเรื่อง...พระยายมราชเป็นพยาน
โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

กระผมสงสัยเรื่องการอุทิศส่วนกุศล แล้วให้เทวดาหรือพระยายมเป็นสักขีพยาน ขอให้หลวงพ่อขยายความเป็นมาด้วยเถิดครับ......?
เอาอย่างย่อหรืออย่างพิสดาร ค่าครูมันไม่เท่ากัน
คือเรื่องเป็นอย่างนี้นะ เมื่อ พ.ศ. 2508 ตอนนั้นเริ่มสอน มโนมยิทธิ ลุงพุฒิ (พระยายม ราช) ท่านก็มา ท่านบอกว่าคุณอย่าคิดว่าคนที่มาเจริญพระกรรมฐานจะได้ดีทุกคน เวลาตายอาจจะเผลอไปก็ได้ ถ้าเผลอไปสำนักของผมก็ต้องว่ากันตามเหตุตามผล ใครนึกถึงบุญได้ไปสวรรค์ ใครนึกไม่ได้ไปนรก มันสุดแล้วแต่การนึกนะ
ท่านก็บอกว่า อาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลูกหลานท่านก็คือลูกหลานผม ท่านเคยมาเป็นพี่มาหลายแสนชาติ
ทีนี้เวลาเจริญพระกรรมฐานอย่าคิดว่าเวลาตายอารมณ์ใจเสมอกัน เพราะถ้าเป็นฌานโลกีย์อารมณ์ไม่แน่นอน อาจเผลอได้ทีนี้ขอให้ทุกคนเวลาอุทิศส่วนกุศลอ้างผมเป็นพยานไว้ ถ้าเขาถามเรื่องบุญกุศลถ้าบังเอิญนึกไม่ออก ผมจะเป็นพยานอ้างเองว่าทำอย่างนั้นๆไว้ แล้วก็ไล่ไปสวรรค์เป็นอย่างต่ำ นี่จุดหนึ่งนะ
แล้วก็ก่อนหน้าจะมา 4-5 วันก็นอนๆ ภาวนาอยู่ ตามธรรมดาของฉันเป็นอย่างนี้เวลาอยู่คนเดียว ถ้าว่างงานอื่น ไม่ว่างงานอื่นจะพิจารณา นี่ไม่ใช่อวดนะ ถือเป็นปกติเลย
ภาวนาก็ดี พิจารณาก็ดี จิตเป็นสุข คิดเรื่องอื่นไม่เป็นสุข เราต้องการจิตเป็นสุข
ภาวนาไปสัก 2 นาที จะถึงไม่ถึงไม่ทราบ จิตก็เริ่มเป็นสุขมาก ก็เห็นคนสองคนเดินมา นุ่งโสร่ง ผ้าขาวม้าคาดพุง อ้วน ถามท่านว่า เรื่องของร่างกายฉันเป็นอย่างไร ยืนยันไหมว่าหายหรือไม่หายโรค ถ้าไม่หายเป็นก็ไม่เป็นไร บ้านฉันมีอยู่ (นิพพาน)
ท่านบอกว่า เกณฑ์การตายของท่านยังไม่มี สมเด็จฯไม่อนุญาต เวลานี้เลยกาลมาแล้ว
ท่านก็พลิกบัญชีดูบอก คุณ....ไม่กี่วันก็จะถึงเวลานี้เวลานี้ตัวหนังสือยังแดงอยู่ ตัวหนังสือเขาเป็น 3 จุด สีแดงจัด สีน้ำเงิน กับสีทอง ถ้าสีแดงอยู่ในเกณฑ์เคราะห์ร้าย อันตรายมาก ของฉันนี่สีแดงแจ๋ สบายใจมาก
ที่นี้ไอ้ตัวหนังสือมันหมดไป เหลือแต่เส้นขยุกขยิก ก็เลยบอกว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไอ้ขยุกขยิกของท่านจะหมดไป จะเป็นเส้นเรียบคล้ายๆ เส้นบรรทัด การป่วยจะน้อยลง ถ้าถึงเวลาตัวหนังสือเป็นสีน้ำเงินเมื่อไร แต่ว่าตอนนั้นจะต้องปรับเรื่องร่างกายอีกชั่วระยะหนึ่ง เพราะว่าโทรมมากไป ใช่ไหม
ต่อไปไม่นานนักพอถึงสีน้ำเงินก็จะเป็นสีทอง อีตอนนี้จะมีโชคมาก เกี่ยวกับลูกหลานจะมีตังค์มาให้ ถ้ามันไม่รวยมันให้ไม่ได้ ก็ยุลูกหลานให้รวยไว้
ต่อมาท่านก็บอกว่า คุณ......ไปเที่ยวบ้านผม ถามว่าไปทำไมล่ะ ไม่มีธุระจะไป เพราะตั้งแต่ป่วยา 6 ปี ไม่เคยไปไหนเลย ออกจากตัวปั๊บก็ไปที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปหาโยม ไปนิพพานเลยไปแค่ 2 ที่ ที่อื่นไม่แวะ ก็แน่วแน่ว่ามันจะพังเมื่อไรร่างกายใช่ไหมจะเกาะมันทำไม
ท่านบอกว่า ไปได้แล้ว เลยบอก ยืนยันก่อนว่าไข้จะหายท่านบอกรับรอง ก็พอดีท่านย่ากับแม่ศรีมา ท่านบอกว่าคุณ...ตามท่านไปเถิด ฉันไปด้วย ก็พอดีที่ท่านย่าพูดสมเด็จฯ มาท่านบอก คุณ..ไปเถิด ฉันไปด้วยเหมือนกัน ก็เลยคิดเรื่องนี้คงเป็นเรื่องสำคัญ ก็เลยตามท่านไป สองคนก็เดินนำไปพอถึงก็เลี้ยวเข้าสำนัก แต่สำนักของท่านนายบัญชีและพระพยายมนั่งรออยู่ด้วยเหมือนกัน
ถามลุง นั้นใคร ท่านบอก ผมครับ
ถามนายบัญชี ลุง...นั้นใคร ผมครับ
ถาม นี่ ใคร ผมครับ

ถามว่า มันเป็นไปได้ยังไงบุคคลเดียวกัน ท่านก็ย้อนถามว่า คุณเวลาเจริญพระกรรมฐานกับลูกศิษย์ เมื่อพบเทวดากับพรหมที่มีบุญหลายร้อยองค์ ให้ขยายตัวเท่านั้นเข้าไปกราบ ทำไม ทำได้ ในเมื่อผมเป็นเทวดาเป็นพรหมทำไมผมทำไม่ได้ เพราะความเป็นทิพย์ เราก็โง่ไป
ก็รวมความว่าท่านก็พาไปเจอะคน 11 หมู่ คน11 กลุ่ม หนึ่งประมาณ 10000 คน ยืนหน้าเซียว เสี่ยว เสี้ยว เซี้ยว เสียว ต่างคนหน้าเซียวถึงเสียว เพราะแน่ใจว่าจะไปนรกหรือสวรรค์ แต่ละกลุ่มมีผู้ชายตัวใหญ่ๆ ถืออาวุธ 1 อัน คนทุกคนที่ยืนหัวแค่เอวอีตานั้นแหละ นั้นคือ นายนริยบาล แล้วก็เดินผ่านไป ท่านบอกพวกนี้รอการสอบสวน
พอผ่าน 11 กลุ่มไปแล้ว ก็เลยไปทางทิศตะวันออก ไม่ไกลนัก ถ้านับกันก็สัก 2-3 โยชน์ นี่นะ แต่สวรรค์ไม่ไกล ตอนไปหลังสารมจีน1 วัน ก็เดินไปปั๊บเจอะฝูงเป็ดกับฝูงไก่
ถามว่า ไก่ เท่าไร หัวหน้าเขารายงากว่าแสนกว่าครับ ถามเป็ดเท่าไร แสนกว่าครับ วัว ควาย เป็ด ไก่ ที่ถูกไก่เชือดเมื่อสาทรจีน มันคอยตอนรับคนเชือด เขาเข้าไปเป็นพยาน กับพยายมจะกล่าวโทษบุคคลนั้นทันที
เลยถามท่าน บอก สัตว์ตายแล้วย่อมเกิดเป็นเทวดาบ้าง เป็นคนบ้าง ทำไมจึงเป็นรูปสัตว์ได้ ในเมื่อมาไม่ได้ ท่านบอกว่าท่านแสดงแทน
แล้วต่อไป เดินไปอีกกลุ่มหนึ่ง มีเป็ด มีไก่ มีสัตว์หลายประเภท เยอะเหมือนกัน ถามว่า พวกคุณนี่ก็รวมความว่า ถ้าเราอ้างลุงเป็นพยาน เวลาที่เราตายไปแล้ว เวลาเข้าถามเรื่องบุญนึกไม่ออก ท่านจะกล่าวเป็นพยานว่าบุญอย่างนี้ๆ เขาทำช่วยนี่ ที่พูดให้ฟังตามนี้นะว่าพยานมันคอยอยู่อย่านึกว่าทุกอย่างมันลืม ไม่มีหมดหรอก

บวชชีตอนปลาย

ทีนี้เลี้ยวเข้ามาเจอะชีคนหนึ่ง ไปเที่ยวสำนักพระยายมคน 4 คนพาไป นุ่งแดงนะ พระยายมท่านก็เรียกไปสอบสวน เจ้าหน้าที่ก่อน
เอ็งฆ่าไก่ใช่ไหม จะเชือดก็กลัวไก่เจ็บ เลยเอาหัวฟาดกับเสาใช่ไหม เห็นเลือดแล้วใจไม่ดี ฟาดกับเสาเสียเลย หัวเละ ตายเลย แกก็บอกว่าเป็นความจริง ที่ฆ่าสัตว์เพราะว่ามีความจนมาตั้งแต่เด็ก
ต่อมาเมื่ออายุ 12 ปี มีไก่มาเลี้ยงประจำบ้านอยู่ ตัวอ้วนดี ก็มีคนบอกว่าถ้าแกงไก่ตัวนี้ให้จะได้ราคามากหน่อยให้สตาค์มากหน่อย แกก็จนนี่ ก็ต้องทำ แล้วเจ้าหน้าที่ ฝ่ายโจทก์คนที่อยู่เก้าอี้ข้างขวาน่ะนะบอกว่า บาปจริงๆของเอ็งมีอย่างเดียว
แหม.....ยายนี่จนจริงๆ จนบาป พุทโธ่....ชีวิตทั้งชีวิตฆ่าไก่ตัวเดียว แหม...ระยำหมาจริงๆ ก็รวมความว่าแกทำบาปครั้งเดียว
หลังจากนั้นแกก็สลดใจ แกบอกว่าแกสลดใจ เลยมาเป็นลูกจ้างเขา ให้มีข้าวพอมีพอกินก็แล้วกัน ให้มากให้น้อยไม่เป็นไร ต่อมาเป็นชาวนา ต่อมาเป็นลูกจ้างร้านค้า พออายุ 40 ปีเศษแกก็บวชชี ตายเมื่ออายุ 53 ปี อยู่จังหวัดฉะเชิงเทรา
ก็อันนี้เขาถามเท่านี้นะ ทำบุญอะไรบ้าง แต่เขาถามไม่ให้ตอบ เจ้าทำอย่างนั้นใช่ไหม เจ้าเคยใส่บาตร เจ้าเคยบูชาพระ ไม่ใช่บอกให้ตอบ ตรงจุดตามเป้าหมายหมด ในขั้นสุดท้าย เคยเจริญภาวนา
คุณลุงเลยถาม (เห็นบุญมากกว่าบาป) เจ้าทำไมจึงต้องมาสำนักพยายม ซึ่งไม่จำเป็นเลยถ้าบุญขนาดนี้จะต้องไปสวรรค์หรือพรหมโลกทันที
แกเลยบอกว่า เรื่องมันอย่างนี้เจ้าค่ะ ตอนต้นเวลาป่วยก็ดีนึกถึงกุศล ภาวนาบ้าง จิตใจก็สงบ ตอนใกล้ตายมีเสียงตึงตังครึกโครมครามที่ข้างฝาบ้าน จิตใจก็หวั่นไหวแว้บเดียวก็เห็น 4 มารับ พ่อยอดขมองอิ่มมารับไปเลย
ท่านลุงบอกว่า เรื่องมานเป็นอย่างนี้ก็พอดีไก่โผล่ ไอ้ไก่ตัวนั้นน่ะ บอกว่า ฉันเองเจ้าค่ะ ต้องการให้มาที่นี่ บอก ยายนี่ฆ่าฉัน จับฉันเอาหัวฟาดกับเสา ฉันทนไม่ไหวถึงขั้นตาย
ทีนี้แกกล่าวไว้ตอนหนึ่ง บอก ตั้งแต่อายุ 19 ปีทำบุญอะไรก็ตาม จะบูชาพระ ก็อุทิศส่วนกุศลให้ไก่ ขออโหสิกรรม
ลุงท่านก็ถามว่าเขาทำอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้า ตั้งแต่ 19 ปีจนอายุ 53 ปีมันก็หลายปี เจ้าไม่ได้บอกรึ บอกได้รับ
ถามว่า ได้รับแล้วเอ็งยังจองเวรจองกรรมอยู่รึ บอกไม่ได้จองเวรจองกรรม เอ็งมาเป็นโจทย์ รู้สึกเสียงจะดุๆ หน่อยนะ ไก่ก็เลยบอกว่า ที่ต้องการให้มาเพื่อจะบอกว่าอโหสิกรรมให้แล้ว เจ้าค่ะ
โอ้โฮใจแป้ว มันจะไปขุมไหนกันหว่า นี่ขนาดนี้นะอย่าลืมว่าการทำบุญทำกุศล เจริญคำภาวนามันเป็นได้ตามนี้นะอย่าประมาทนะ
หลังจากนั้นลุงก็บอกเทวดาที่อยู่ที่ข้างหลัง มีเทวดา 5 องค์ องค์ คอยส่งคนท่านบอกว่า คนนี้บุญบารมีเขาเจริญพระกรรมฐานมีสมาธิทรงตัว บารมีของเขาต้องต้องอยู่ชั้นยามา เวลานี้วิมานอยู่ชั้นยามา ท่านก็บอก อีหนูเจ้าต้องอยู่ชั้นยามา
คิดว่าแกจะสลดใจ แกกลับยิ้มแฮะ ชั้นยามามันสบาย ฉันนึกว่าแย่ล่ะซิ ท่านบอกว่าวิมานอยู่ที่นั้น แต่ไม่ใช่ลุงสร้างให้นะ ทานของเขา ศีลของเขาบ้าง การเจริญภาวนา เลยไปอยู่ยามา ถ้าถึงอุปจารสมาธินะ ถ้าฝึกกสิณจริงๆก็พรหม
ก็รวมความว่าแกไปชั้นยามา ฉันก็เลยลามาหมดเรื่องขี้เกียจตามไป

รูปภาพ ท่านพระยายมราช วัดวีระโชติธรรมาราม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น