แม่ของพระสารีบุตรกลับใจ
เมื่อพระสารีบุตรลาพระพุทธเจ้าแล้ว ก็พาพระสาวกทั้งหมด ลูกศิษย์ท่าน ๕๐๐ องค์ไป พอไปถึงบ้านก็ถามแม่ว่า แม่ เมื่อฉันเกิดน่ะ เกิดห้องไหน คลอดห้องไหน แม่ก็บอก เอ้อ...อุปติสสะ ท่านไม่เรียกพระสารีบุตรหรอก นี่เอ็งเกิดห้องนี้ แม่ออกเอ็งห้องนี้ แก็ถือว่าเป็นแม่ แกไม่นับถือพระพุทธศาสนานี่ แต่ว่าวันนั้นก็รู้สึกว่าดีใจ ที่ลูกเป็นอรหันต์ ๗ คนไปบ้านหมด ดีอกดีใจว่าลูกไปพร้อมหน้าพร้อมตากัน แล้วก็มีพระอรหันต์ติดตามอีก ๕๐๐ องค์ พอถึงเวลากลางคืนมันจะค่ำ พระสารีบุตรก็เข้าไปในห้องนั้น ก็บอกกับแม่ บอกคืนนี้จะนอนห้องนี้ ท่านแม่ก็จัดให้
ทีนี้น้องชายท่านชื่อ ท่านจุน ก็นั่งหน้าประตู เป็นพระยาม เขาเป็นมหาเศรษฐีที่บ้านนั้นน่ะ บ้านใหญ่โตมาก พระ ๕๐๐ องค์น่ะพักสบาย
พอยามต้นนี่ เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็มาไหว้พระสารีบุตร เวลาลงจากฟ้าเห็นแสงสว่าง สวย ท่านเข้าไปในห้องแสงสว่างก็สว่างมาก ยิ่งกว่าตะเกียงมาก
ท่านแม่นั่งอยู่หน้าประตู ชะโงกเข้าไปดู เห็นท่านท้าวมหาราชกำลังไหว้พระสารีบุตร ก็ถามท่านจุน ห้องชายพระสารีบุตร
บอก "จุน ใครมาหาพี่เอ็งล่ะ...?"
ท่านจุนก็บอกว่า "ท่านท้าวจาตุมหาราช"
แกก็สงสัยถามว่า พี่เอ็งน่ะ โตกว่าท่านท้าวจาตุมหาราชอีกรึ ท่านมองไปน่ะ เห็นกำลังไหว้นี่ ท่านจุนก็บอก พี่โตกว่า และพระที่มาทุกองค์น่ะ โตกว่าจาตุมหาราชทั้งนั้นแหละ แกก็แปลกใจเพราะพระพวกที่ไปนี่เป็นอรหันต์หมด
พอใกล้ถึงยามที่สอง ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ก็กลับ ทีนี้ชั้นดาวดึงส์มา มีพระอินทร์นำขบวน ก็สว่างกว่า ใหญ่กว่า แล้วก็แสงสว่างก็สว่างมากกว่าจาตุมหาราช ไอ้แสงสว่างมันก็พุ่งออกมาหน้าประตู แกก็สงสัย ชะโงกเข้าไปดูอีก เห็นพระอินทร์กำลังไหว้พระสารีบุตร จึงถึงท่านจุนว่า
จุน "ใครมาหาพี่เอ็ง...?"
ท่านจุนก็บอกว่า "พระอินทร์"
แกก็เลยถามว่า ทำไมพี่เอ็งน่ะ โตกว่าพระอินทร์อีกรึ ฮึ...ชักสงสัยแล้วซิ พราหมณ์เขาถือว่าพระอิศวรนี่เก่งอยู่แล้วนะ ท่านจุนก็เลยบอกว่า โตกว่า
ทีนี้พอถึงยามสาม พรหมลงมา พราหมณ์เขาถือว่าพรหมน่ะสูงสุด ใช่ไหม พรหมลงมาแสงสว่างไสว ก็สว่างมากกว่าชั้นดาวดึงส์ แกก็ชะโงกหน้าไปดู เห็นพรหมเข้ามาไหว้ก็ถามท่านจุนว่า
"ใครมาหาพี่เอ็งล่ะ...?"
ท่านจุนบอก "พรหม"
แกก็ถามว่า เอ๊ะ...พี่เอ็งนี่โตกว่าพรหมรึ พรหมจึงมาไหว้ ท่านจุนบอก โตกว่า ท่านก็เลยบอก พระทุกองค์ในพระพุทธศาสนาที่เป็นอรหันต์แล้ว โตกว่าพรหมทั้งนั้นแหละ ที่มาทั้งหมดนี่น่ะ โตกว่าพรหม
แกก็แปลกใจ ก็พรหมณ์เขาถือว่าพรหมสูง
เทศน์จบเป็นพระโสดาบัน
พอพรหมกลับ พระสารีบุตรก็เรียกแม่เข้าไปในห้อง เทศน์โปรด ไอ้ความเลื่อมใสมันเกิดขึ้นแล้วนี่ เห็นว่าเอ๊ะ...ลูกนี่โตกว่าพรหม ก็พราหมณ์ถือว่าพรหมสูงสุด นี่ลูกสูงกว่าพรหมอีก ไอ้ศรัทธามันก็เกิด เห็นท่านจาตุมหาราชมาไหว้ พระอินทร์ก็มาไหว้ พรหมก็มาไหว้ เข้าไปก็เทศน์โปรดแม่ พอเทศน์จบ แม่ก็ได้พระโสดาบัน
เงินกตัญญูกตเวที
นี่เห็นไหม นั่นลูกเป็นอรหันต์ชั้นใหญ่ตั้ง ๗ องค์นะ แม่ยังด่าพระอยู่เลยนะ แล้วแม่เธอน่ะ จะไปเคี่ยวเข็ญนักไม่ได้นะ ใช้วิธีเอาทำบุญแบบย่อ
ก็หมายความว่าสตางค์แกมี เราก็ไปหยิบเอามา หยิบมาแต่ว่าอย่าให้เงินมันขาด เราเอาสตางค์ของเราวางไว้แทน ถือว่านั่นเงินน้ำพักน้ำแรงของแม่เราเอาไปทำบุญ แม่พลอยได้
แต่เงินที่เราใส่ไว้ให้แม่ นี่เป็นเงินกตัญญูกตเวที เราก็ได้ด้วย นี่มันได้สองชั้น แม่ได้บุญด้วย และแม่ก็ได้สตางค์จากเราไป แต่อย่าไปบอกแกนะ เดี๋ยวแกโมโห ถ้าโมโหแล้วมันบาป
แล้ววิธีช่วยน่ะมันมีเยอะแยะไป มันไม่จำเป็นต้องมานั่งเข็นกัน ไปนั่งเข็นกัน เกิดความขัดใจกัน ถ้าขัดใจกันก็ด่ากันซิคราวนี้ ลงนรกไปทั้งคู่ ฮึ...ว่าไงลุง
เราด่าหรือไม่ด่าก็ตาม เขาด่าเรา จิตเขามัวหมอง เขาจึงด่า เขาจะต้องตกนรกเพราะเรา ใช่ไหม นี่พูดถึงพ่อถึงแม่นะ ไอ้คนอื่นมันด่าเรา มันอยากลงนรกก็ปล่อยมัน ยุมันเลยก็ได้ ฉันชอบนะยุคน
คนมันลงตื้น ให้มันลงลึก ๆ จะได้ชื่นใจ ใครมันอยากเลว เลวก็ยุส่ง ไหน ๆ มันจะไปแล้วก็ช่วยมัน เดี๋ยววาสนามันน้อยมันลงตื้นเกินไป ใช่ไหม
ไม่เคี่ยวเข็ญใคร
ทีนี้ไอ้คนตกนรกนี่เคยไปดู เมื่อก่อนก็รู้สึกสลดใจสงสาร เดี๋ยวนี้ไม่สงสาร
ก็ความดีมีถมไป ทำไมจึงไม่ทำ ใช่ไหม แต่ก่อนที่เคี่ยวเข็ญ ทำบุญนั่นทำบุญนี่ เดี๋ยวนี้ไม่เคี่ยวเข็ญใคร ความดีเยอะแยะไป ก็รู้อยู่นี่ ทำไมถึงไม่ทำ
พอเห็นสัตว์นรกก็รู้สึกเฉย ๆ นอกจากสัตว์นรกนี่เราไม่มีโอกาสจะช่วยอยู่แล้วนะ สมมุติว่าเราเดินไปขอบนรกนี่น่ะ เขายกมือไหว้ก็ช่วยเขาไม่ได้ ไม่มีโอกาสจะช่วย อยู่ในขุมนรกนี่ไม่มีโอกาสช่วย ถ้าหากว่าเราจะช่วยได้ทั้งหมด ถ้าเขาช่วยกันได้ พระพุทธเจ้าก็คงเอาขึ้นมาจากขุมนรกหมด ใช่ไหม มันช่วยไม่ได้ กรรมหนักของเขา
ถ้าเราเห็นเขาตกนรก เราก็ต้องถือว่าเพราะเขาพอใจลงนรก เขาจึงลง เราเอาขึ้นมานี่ก็เท่ากับขัดใจเขานะ ไม่ดี ขัดใจก็ไม่เกิดประโยชน์ ใช่ไหม ก็คบมัน เกิดมามันรู้ดีรู้ชั่วด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่หัวหลักหัวตอ
แล้วทำไมจึงไม่สร้างความดี ทำไมจึงสร้างความชั่ว ไอ้นี่เราก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องความพอใจของเขา เมื่อเขาอยากจะลงนรกตามความพอใจของเขา เราจะไปขัดใจเขาทำไม
อักขาตาโร ตถาคตา
พระพุทธเจ้าบอกว่า
"ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก"
เราก็มีหน้าที่บอกตามที่พระพุทธเจ้าบอกเท่านั้น ใช่ไหม เมื่อเขายังอยากจะลงนรกอยู่เราก็ตามใจเขา เรื่องอะไร
ก็มีเมื่อก่อนนี้ก็เคยทดลองเขาดื้อแบบนั้น แล้วก็ชวนแล้วชวนเล่า หนัก ๆ เข้าเขาโมโห ด่าเอา ก็เลยไปช่วยให้เขาลงนรกลึกเข้าไปอีก มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ไอ้ที่มันลงไปแล้ว เราเดินไป ก็เฉย ๆ ถ้าเห็นไฟไหม้คึ่กคั่ก ๆ หอกสับหอกแทง มีดฟัน ภูเขาเหล็กกลิ้งทับ ไฟไหม้ ก็เฉย ๆ ที่เฉพาะเพราะอะไร เพราะว่าเราไม่มีโอกาสจะช่วยเขาได้
แล้วก็เราลงไปถาม สมัยเขามีพระไหม มันก็มีใช่ไหม แล้วทำไมเขาจึงไม่สร้างความดีหลีกเลี่ยงนรกล่ะ ทำไมเขาพอใจ นั่นมันเรื่องพอใจของเขาน่ะ ไอ้คนหนึ่งจะกินเหล้า เราไปชวนกินน้ำหวาน เดี๋ยวมันเตะเอาล่ะ ก็ปล่อยมันกินเหล้า ใช่ไหม บอกว่า ไอ้โง่อย่างมึง กินเหล้าอร่อยกว่า ใช่ไหม.
จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๑๓
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )
เมื่อพระสารีบุตรลาพระพุทธเจ้าแล้ว ก็พาพระสาวกทั้งหมด ลูกศิษย์ท่าน ๕๐๐ องค์ไป พอไปถึงบ้านก็ถามแม่ว่า แม่ เมื่อฉันเกิดน่ะ เกิดห้องไหน คลอดห้องไหน แม่ก็บอก เอ้อ...อุปติสสะ ท่านไม่เรียกพระสารีบุตรหรอก นี่เอ็งเกิดห้องนี้ แม่ออกเอ็งห้องนี้ แก็ถือว่าเป็นแม่ แกไม่นับถือพระพุทธศาสนานี่ แต่ว่าวันนั้นก็รู้สึกว่าดีใจ ที่ลูกเป็นอรหันต์ ๗ คนไปบ้านหมด ดีอกดีใจว่าลูกไปพร้อมหน้าพร้อมตากัน แล้วก็มีพระอรหันต์ติดตามอีก ๕๐๐ องค์ พอถึงเวลากลางคืนมันจะค่ำ พระสารีบุตรก็เข้าไปในห้องนั้น ก็บอกกับแม่ บอกคืนนี้จะนอนห้องนี้ ท่านแม่ก็จัดให้
ทีนี้น้องชายท่านชื่อ ท่านจุน ก็นั่งหน้าประตู เป็นพระยาม เขาเป็นมหาเศรษฐีที่บ้านนั้นน่ะ บ้านใหญ่โตมาก พระ ๕๐๐ องค์น่ะพักสบาย
พอยามต้นนี่ เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็มาไหว้พระสารีบุตร เวลาลงจากฟ้าเห็นแสงสว่าง สวย ท่านเข้าไปในห้องแสงสว่างก็สว่างมาก ยิ่งกว่าตะเกียงมาก
ท่านแม่นั่งอยู่หน้าประตู ชะโงกเข้าไปดู เห็นท่านท้าวมหาราชกำลังไหว้พระสารีบุตร ก็ถามท่านจุน ห้องชายพระสารีบุตร
บอก "จุน ใครมาหาพี่เอ็งล่ะ...?"
ท่านจุนก็บอกว่า "ท่านท้าวจาตุมหาราช"
แกก็สงสัยถามว่า พี่เอ็งน่ะ โตกว่าท่านท้าวจาตุมหาราชอีกรึ ท่านมองไปน่ะ เห็นกำลังไหว้นี่ ท่านจุนก็บอก พี่โตกว่า และพระที่มาทุกองค์น่ะ โตกว่าจาตุมหาราชทั้งนั้นแหละ แกก็แปลกใจเพราะพระพวกที่ไปนี่เป็นอรหันต์หมด
พอใกล้ถึงยามที่สอง ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ก็กลับ ทีนี้ชั้นดาวดึงส์มา มีพระอินทร์นำขบวน ก็สว่างกว่า ใหญ่กว่า แล้วก็แสงสว่างก็สว่างมากกว่าจาตุมหาราช ไอ้แสงสว่างมันก็พุ่งออกมาหน้าประตู แกก็สงสัย ชะโงกเข้าไปดูอีก เห็นพระอินทร์กำลังไหว้พระสารีบุตร จึงถึงท่านจุนว่า
จุน "ใครมาหาพี่เอ็ง...?"
ท่านจุนก็บอกว่า "พระอินทร์"
แกก็เลยถามว่า ทำไมพี่เอ็งน่ะ โตกว่าพระอินทร์อีกรึ ฮึ...ชักสงสัยแล้วซิ พราหมณ์เขาถือว่าพระอิศวรนี่เก่งอยู่แล้วนะ ท่านจุนก็เลยบอกว่า โตกว่า
ทีนี้พอถึงยามสาม พรหมลงมา พราหมณ์เขาถือว่าพรหมน่ะสูงสุด ใช่ไหม พรหมลงมาแสงสว่างไสว ก็สว่างมากกว่าชั้นดาวดึงส์ แกก็ชะโงกหน้าไปดู เห็นพรหมเข้ามาไหว้ก็ถามท่านจุนว่า
"ใครมาหาพี่เอ็งล่ะ...?"
ท่านจุนบอก "พรหม"
แกก็ถามว่า เอ๊ะ...พี่เอ็งนี่โตกว่าพรหมรึ พรหมจึงมาไหว้ ท่านจุนบอก โตกว่า ท่านก็เลยบอก พระทุกองค์ในพระพุทธศาสนาที่เป็นอรหันต์แล้ว โตกว่าพรหมทั้งนั้นแหละ ที่มาทั้งหมดนี่น่ะ โตกว่าพรหม
แกก็แปลกใจ ก็พรหมณ์เขาถือว่าพรหมสูง
เทศน์จบเป็นพระโสดาบัน
พอพรหมกลับ พระสารีบุตรก็เรียกแม่เข้าไปในห้อง เทศน์โปรด ไอ้ความเลื่อมใสมันเกิดขึ้นแล้วนี่ เห็นว่าเอ๊ะ...ลูกนี่โตกว่าพรหม ก็พราหมณ์ถือว่าพรหมสูงสุด นี่ลูกสูงกว่าพรหมอีก ไอ้ศรัทธามันก็เกิด เห็นท่านจาตุมหาราชมาไหว้ พระอินทร์ก็มาไหว้ พรหมก็มาไหว้ เข้าไปก็เทศน์โปรดแม่ พอเทศน์จบ แม่ก็ได้พระโสดาบัน
เงินกตัญญูกตเวที
นี่เห็นไหม นั่นลูกเป็นอรหันต์ชั้นใหญ่ตั้ง ๗ องค์นะ แม่ยังด่าพระอยู่เลยนะ แล้วแม่เธอน่ะ จะไปเคี่ยวเข็ญนักไม่ได้นะ ใช้วิธีเอาทำบุญแบบย่อ
ก็หมายความว่าสตางค์แกมี เราก็ไปหยิบเอามา หยิบมาแต่ว่าอย่าให้เงินมันขาด เราเอาสตางค์ของเราวางไว้แทน ถือว่านั่นเงินน้ำพักน้ำแรงของแม่เราเอาไปทำบุญ แม่พลอยได้
แต่เงินที่เราใส่ไว้ให้แม่ นี่เป็นเงินกตัญญูกตเวที เราก็ได้ด้วย นี่มันได้สองชั้น แม่ได้บุญด้วย และแม่ก็ได้สตางค์จากเราไป แต่อย่าไปบอกแกนะ เดี๋ยวแกโมโห ถ้าโมโหแล้วมันบาป
แล้ววิธีช่วยน่ะมันมีเยอะแยะไป มันไม่จำเป็นต้องมานั่งเข็นกัน ไปนั่งเข็นกัน เกิดความขัดใจกัน ถ้าขัดใจกันก็ด่ากันซิคราวนี้ ลงนรกไปทั้งคู่ ฮึ...ว่าไงลุง
เราด่าหรือไม่ด่าก็ตาม เขาด่าเรา จิตเขามัวหมอง เขาจึงด่า เขาจะต้องตกนรกเพราะเรา ใช่ไหม นี่พูดถึงพ่อถึงแม่นะ ไอ้คนอื่นมันด่าเรา มันอยากลงนรกก็ปล่อยมัน ยุมันเลยก็ได้ ฉันชอบนะยุคน
คนมันลงตื้น ให้มันลงลึก ๆ จะได้ชื่นใจ ใครมันอยากเลว เลวก็ยุส่ง ไหน ๆ มันจะไปแล้วก็ช่วยมัน เดี๋ยววาสนามันน้อยมันลงตื้นเกินไป ใช่ไหม
ไม่เคี่ยวเข็ญใคร
ทีนี้ไอ้คนตกนรกนี่เคยไปดู เมื่อก่อนก็รู้สึกสลดใจสงสาร เดี๋ยวนี้ไม่สงสาร
ก็ความดีมีถมไป ทำไมจึงไม่ทำ ใช่ไหม แต่ก่อนที่เคี่ยวเข็ญ ทำบุญนั่นทำบุญนี่ เดี๋ยวนี้ไม่เคี่ยวเข็ญใคร ความดีเยอะแยะไป ก็รู้อยู่นี่ ทำไมถึงไม่ทำ
พอเห็นสัตว์นรกก็รู้สึกเฉย ๆ นอกจากสัตว์นรกนี่เราไม่มีโอกาสจะช่วยอยู่แล้วนะ สมมุติว่าเราเดินไปขอบนรกนี่น่ะ เขายกมือไหว้ก็ช่วยเขาไม่ได้ ไม่มีโอกาสจะช่วย อยู่ในขุมนรกนี่ไม่มีโอกาสช่วย ถ้าหากว่าเราจะช่วยได้ทั้งหมด ถ้าเขาช่วยกันได้ พระพุทธเจ้าก็คงเอาขึ้นมาจากขุมนรกหมด ใช่ไหม มันช่วยไม่ได้ กรรมหนักของเขา
ถ้าเราเห็นเขาตกนรก เราก็ต้องถือว่าเพราะเขาพอใจลงนรก เขาจึงลง เราเอาขึ้นมานี่ก็เท่ากับขัดใจเขานะ ไม่ดี ขัดใจก็ไม่เกิดประโยชน์ ใช่ไหม ก็คบมัน เกิดมามันรู้ดีรู้ชั่วด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่หัวหลักหัวตอ
แล้วทำไมจึงไม่สร้างความดี ทำไมจึงสร้างความชั่ว ไอ้นี่เราก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องความพอใจของเขา เมื่อเขาอยากจะลงนรกตามความพอใจของเขา เราจะไปขัดใจเขาทำไม
อักขาตาโร ตถาคตา
พระพุทธเจ้าบอกว่า
"ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก"
เราก็มีหน้าที่บอกตามที่พระพุทธเจ้าบอกเท่านั้น ใช่ไหม เมื่อเขายังอยากจะลงนรกอยู่เราก็ตามใจเขา เรื่องอะไร
ก็มีเมื่อก่อนนี้ก็เคยทดลองเขาดื้อแบบนั้น แล้วก็ชวนแล้วชวนเล่า หนัก ๆ เข้าเขาโมโห ด่าเอา ก็เลยไปช่วยให้เขาลงนรกลึกเข้าไปอีก มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ไอ้ที่มันลงไปแล้ว เราเดินไป ก็เฉย ๆ ถ้าเห็นไฟไหม้คึ่กคั่ก ๆ หอกสับหอกแทง มีดฟัน ภูเขาเหล็กกลิ้งทับ ไฟไหม้ ก็เฉย ๆ ที่เฉพาะเพราะอะไร เพราะว่าเราไม่มีโอกาสจะช่วยเขาได้
แล้วก็เราลงไปถาม สมัยเขามีพระไหม มันก็มีใช่ไหม แล้วทำไมเขาจึงไม่สร้างความดีหลีกเลี่ยงนรกล่ะ ทำไมเขาพอใจ นั่นมันเรื่องพอใจของเขาน่ะ ไอ้คนหนึ่งจะกินเหล้า เราไปชวนกินน้ำหวาน เดี๋ยวมันเตะเอาล่ะ ก็ปล่อยมันกินเหล้า ใช่ไหม บอกว่า ไอ้โง่อย่างมึง กินเหล้าอร่อยกว่า ใช่ไหม.
จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๑๓
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น