วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

พระธรรมเทศนาเรื่อง ความกตัญญูกตเวที แสดงเมื่อวันพุธที่ 16 สิงหาคม 2532 นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( 3 จบ ) นิมิตตัง สาธุรูปนัง กตัญญูกตเวทิตา ตีติ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

พระธรรมเทศนาเรื่อง ความกตัญญูกตเวที

แสดงเมื่อวันพุธที่ 16 สิงหาคม 2532

นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( 3 จบ )

นิมิตตัง สาธุรูปนัง กตัญญูกตเวทิตา ตีติ

โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ณ โอกาสบัดนี้ อาตมภาพจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา ใน กตัญญูกถา เพื่อเป็นเครื่องโสรจองคศรัทธาบารมี ที่บรรดาท่านนริศราทานบดีทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลประจำปักษ์ ในวันนี้การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพากันมาบำเพ็ญกุศลวันนี้ ทั้งนี้ก็เพราะว่ามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ ตามที่องค์สมเด็จพระ

บรมโลกเชษฐ์ตรัสแนะนำว่า บุญทั้งหลายย่อมเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทก็คือ

1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน

2. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล

3. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา

การบำเพ็ญ บุญกิริยา ทั้ง 3 ประการนี้ เป็นปัจจัยให้บรรดาท่านพุทธบริษัทมีความสุขทั้งชาติปัจจุบันและสัมปรายภพ และในที่สุดก็จะถึงพระนิพพานเป็นที่สุดต่อไป แต่ว่าวันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทุกคนตั้งใจมาบำเพ็ญกุศลทั้ง 3 ประการครบถ้วนแล้ว คือ

1. ทานมีแล้ว

2. ศีลสมาทานแล้ว

3. เวลานี้กำลังสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา อันเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ

วันนี้จะเทศน์เรื่อง กตัญญูกตเวที คือความกตัญญูกตเวทีนี้ ถ้าจะกล่าวกันไม่มีกำลังมากการที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า คนที่มีความกตัญญูรู้คุณ รู้อุปการคุณที่ท่านทำแล้ว ?และตอบสนองคุณท่านตามพระบาลีว่า นิมิตตัง สาธุรูปปานัง กตัญญูกตเวทิตา ซึ่งแปลเป็น ?ใจความว่า บุคคลใดรู้อุปการคุณที่ท่านทำแล้ว และตอบสนองคุณท่าน เรากล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นคนดี

ความจริงตามพระบาลีที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นคนดีนี่หายากจริงๆ แล้วก็ลงที่มีความสำคัญ ในความกตัญญูรู้คุณ เพราะการกตัญญูรู้คุณนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าบุคคลใดมีความอกตัญญูไม่รู้คุณท่าน ท่านทำให้แล้วแต่ไม่ตอบสนองคุณท่านด้วยความดี เป็นคนอกตัญญูสนองความร้ายต่อท่าน คนประเภทนี้จะไปที่ไหนก็หาความสุขไม่ได้ เพราะว่าทุกคนถ้าทราบจริยาความเป็นมาแล้ว ก็จะคิดว่าคนที่มีคุณต่อเขา เขาสามารถทำลายได้ฉันใด เราเองถ้าจะสงเคราะห์เขาเมื่อไร เขาอาจจะสามารถทำลายได้เมื่อนั้นดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ พระเทวทัต ความจริงพระพุทธเจ้าก็ดี พระเทวทัต ก็ดี ทั้ง 2 ท่านนี้เป็นญาติสนิทกัน พระเทวทัต เป็นลูกของลุงพระพุทธเจ้าเป็นลูกของน้องชายของลุงและต่อมาพระพุทธเจ้าสมัยเป็น สิทธัตถะ ราชกุมาร ก็แต่งงานกับน้องสาว พระเทวทัต และในเมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระเทวทัต ก็เข้ามาบวชในศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ตอนนี้ถือว่าเป็นสาวกผู้รับฟัง เพราะรับฟังคำสน และศึกษาพระธรรมวินัย และการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาจนได้อภิญญาสมาบัติ แต่ว่าเป็นอภิญญาโลกีย์ นั่นหมายความว่า จะแสดงฤทธิ์แบบไหนก็ได้ เพราะได้อภิญญา 5ต่อมา พระเทวทัต เกิดความกำเริบ ต้องการจะปกครองสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความจริงเวลานั้นพระอรหันต์ยังมีจำนวนมาก นับเป็นแสนๆ องค์ แต่ว่า พระเทวทัต เป็นผู้ทรงฌานโลกีย์ มันเทียบกันไม่ได้ แต่ด้วยกำลังใจที่ พระเทวทัต จองเวรจองกรรมกับองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าขอเล่าความเป็นมาของ พระเทวทัต สักนิดหน่อย เกรงเวลาจะไม่พอ คือว่า พระเทวทัต ?นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทที่จองเวรพระพุทธเจ้ามาสมัยไหน ท่านกล่าวตามพระบาลีมีอยู่ว่าในสมัยหนึ่ง พระเทวทัต กับพระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเพื่อนกัน ต่างคนก็ต่างเป็นพ่อค้าซื้อของถูกขายของแพงตามราคาเช่นเดียวกัน วันหนึ่งปรากฏว่ามีตระกูลหนึ่ง ยากจน แต่ว่าตระกูลนั้นในอดีตเป็นมหาเศรษฐี ก็ตระกูลนี้ยังมีของเหลืออยู่ชิ้นเดียวคือ ถาดทองคำ วันนั้น พ่อค้าเทวทัตไปถึง คุณยายเจ้าของบ้านจึงนำถาดทองคำเพื่อจะมาขายในราคาของทองคำ พ่อค้า เทวทัต เห็นว่าเป็นคนจน เมื่อดูแล้วก็บอกว่าอันนี้ไม่ใช่ทองคำแท้ มันเป็นทองคำปลอม หรือเป็นทองกะไหล่ให้ราคาถูก คุณยายก็ทราบว่าของท่านเป็นทองคำแท้ ท่านก็ไม่ยอมขาย พระเทวทัต ก็มีความรู้สึกว่า ยายคนนี้แก่แล้วเป็นคนยากจน ในที่สุดก็ไม่รู้จะขายใคร ก็ต้องขายให้เราในวันหน้า จึงหลีกไปวันรุ่งขึ้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา คือพระพุทธเจ้าของเราเป็นพ่อค้าเหมือนกันไปที่บ้านนั้น คุณยายก็นำถาดทองคำมาขาย

พระพุทธเจ้าเห็นว่าถาดทองคำเป็นถาดทองคำบริสุทธิ์ ถาดทองคำแท้ จึงให้ราคาทองคำเป็นที่พอใจของเจ้าของ ก็เลยซื้อในราคาถาดทองคำเจ้าของก็พอใจ ?ต่อมาวันรุ่งขึ้น พระเทวทัต ไปใหม่ ถามคุณยายว่าถาดทองคำอยู่หรือเปล่าคุณยายบอกว่าขายไปแล้ว ก็ขายในราคาทองคำ ก็ถามว่าขายให้กับใคร ก็บอกชื่อพ่อค้า พระเทวทัต ก็ทราบว่าเป็นเพื่อนของตนเอง กลับมาตอนเญ็นมาพบกันเข้าก็ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าท่านได้ซื้อถาดทองคำลูกนั้นหรือพระพุทธเจ้าบอกว่าซื้อมา พระเทวทัต โกรธ หาว่าตัดหน้าทำลายผลประโยชน์จึงหยิบเม็ดทรายขึ้นมา 1 กำมือ ก็บอกว่าอธิษฐานว่า นับแต่บัดนี้ต่อไป เราขอจองเวรจองกรรมทำร้ายท่านทุกชาติจนกว่าจะเท่าทราย เมล็ดทรายเท่ากำมือ ก็หมายความว่า ทรายเม็ดหนึ่งก็เท่ากับ 1 ชาติ ?ตั้งแต่ชาตินั้นเป็นต้นมา ปรากฏว่า เทวทัต ก็ทำลายพระพุทธเจ้าตลอดมาพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยตอบสนอง แต่ว่าในที่สุดบรรดาท่านพุทธบริษัท พระเทวทัต ก็ลง อเวจีมหานรก ?พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงความดีมีความกตัญญูกตเวทีไปนิพพานต่างกัน ?

ทีนี้ต่อมาก็จะขอเล่าเรื่องความเป็นมาของความกตัญญูรู้คุณโดยตรงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องความกตัญญูรู้คุณนี่ ในเมือง พาราณสี ปรากฏว่ามีมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง มีลูกชายคนเดียว ต่อมาลูกชายได้ฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็มีความเลื่อมใส ต้องการจะบวชในพระพุทธศาสนาเมื่อลาพ่อมาลาแม่บอกว่าจะบวช พ่อแม่ก็บอกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายของเรามีมาก จงอย่าบวชเลยอยู่ปกครองทรัพย์เถอะ ลูกชายไม่พอใจใคร่จะบวช เมื่อในที่สุดพ่อแม่ไม่อนุญาตก็ไม่ยอมกินข้าวกินปลา นอนในห้องไม่ออกมาปรากฏว่าต่อมาในวันหน้า พ่อแม่ไปตามเพื่อนของบรรดาลูกชายมาให้ปลอบโยนลูกชายก็ไม่ยอม ไม่ยอมทำตาม จะบวชท่าเดียว ถ้าไม่ให้บวชก็ขอตายในห้อง ไม่ยอมกินข้าว ก็เป็นอันว่า

บรรดาเพื่อนทั้งหลายก็มีความเห็นว่า ปล่อยให้บวชเป็นการก่อน เพราะการบวชในพระพุทธศาสนาไม่เหมือนอยู่อย่างเป็นฆราวาส การเป็นลูกมหาเศรษฐีจะต้องการอะไรมันก็ได้ทุกอย่าง ต้องการร้อนได้ร้อน ต้องการเย็นได้เย็น นี่เป็นการสมมต ท่านก็ไปแนะนำกับบิดามารดาของท่านว่าก็ขอให้บวชไปก่อน ในเมื่อการบวชในพระพุทธศาสนานั้นมันมีความปรารถนาไม่สมหวัง เพราะต้องการร้อนก็ได้เย็น ต้องการเย็นก็ได้ร้อน ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากชาวบ้านได้ ถ้าชาวบ้านไม่ให้ก็อด ให้มาเป็นที่ไม่พอใจก็ต้องกินก็ต้องใช้ ไม่ช้าไม่นานเท่าไรในฐานะที่เป็นลูกมหาเศรษฐีทนไม่ไหวก็ต้องสึกมาเอง พ่อแม่ก็เห็นชอบอนุญาตให้ลูกชายบวชเมื่อลูกชายเข้าไปบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ต้นจนอรหันต์ แล้วก็ลงองค์สมเด็จพระภควันต์เข้าป่าลึกเจริญพระกรรมฐานจนเป็นอรหันต์พร้อมกันเพราะความดี

ต่อมาปรากฏว่าบรรดาพ่อและแม่อยู่ทางบ้านนี้เป็นคนแก่ก็ไม่ทันคนใช้ คนใช้ในบ้านขโมยของไปบ้าง คนที่กู้เงินทองก็โกงไม่ส่งดอกบ้าง ในที่สุดท่านมหาเศรษฐีทั้งสองก็กลายเป็นของทานหมดทรัพย์สิน มันโกงหมด มันขโมยกันหมดในเมื่อเหลือแต่บ้านเหลือแต่ที่ เมื่อไม่มีจะกินจริงๆ ก็ต้องขายที่ ในที่สุดก็ขายบ้านเมื่อหมดแล้วก็ต้องนั่งขอทานข้างฝาเรือนเขา

ต่อมาในกาลครั้งหนึ่งมีพระที่มาอยู่ตำบลเดียวกัน บวชในพระพุทธศาสนาเมื่อฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเรียนพระกรรมฐาน เสร็จก็เข้าป่าไปพบพระองค์นั้นเข้าพระองค์นั้นก็ถามว่าคุณบ้านเดิมอยู่ที่ไหน เมื่อทราบว่าเป็นคนตำบลเดียวกัน ก็ถามถึงมหาเศรษฐี ?แต่ก็ไม่บอกว่าเป็นพ่อเป็นแม่ถามแต่เพียงว่าท่านรู้จักท่านมหาเศรษฐีทั้งสองไหม พระองค์นั้นก็บอกว่า จะถามถึงท่านมหาเศรษฐีเพื่อประโยชน์อะไร เพราะว่าเวลานี้มหาเศรษฐีทั้งสองนั้นไม่ใช่มหาเศรษฐีแล้ว กลายเป็นคนขอทานไปแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะว่า มีลูกชายคนเดียวลูกชายบวชใน ?พระพุทธศาสนาไม่กลับไปหาพ่อไม่กลับไปหาแม่คนรับใช้มันก็โกงบ้างลักของ ขโมยของไปบ้าง คนกู้หนี้ยืมสินไปโกงมั่ง เวลานี้ทรัพย์สินหมดขายที่ขายบ้านกินหมด แล้วก็ต่างคนต่างเป็นคนขอทานเมื่อพระลูกชายทราบ แต่ความเป็นอรหันต์บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายย่อมเคารพกฎของกรรม คำว่าเสียใจไม่มีในพระอรหันต์แต่ความสลดใจมีอยู่ จึงได้กลับไปจากป่า เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมครู แต่มาถึงทาง 3 แพร่ง ก็มายืนนึกในระหว่างทาง 3 แพร่งว่า ระหว่างทางเมืองขวาไปหาพ่อกับแม่ ทางเบื้องซ้ายไปสู่พระมหาวิหาร เราจะไปที่ไหนดีก่อน ก็คิดว่าการเฝ้าองค์สมเด็จพระชินวรเป็นของสำคัญ แต่ทว่าพ่อแม่เราก็สำคัญมาก ทราบว่าท่านเป็นขอทานต้องไปเยี่ยมก่อน จึงตัดสินใจยังไม่เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินวร ไปหาพ่อและแม่ก็ไปเดินหาปรากฏว่าพบพ่อกับแม่ทั้ง 2 คน นั่งถือกระเบื้องแตกๆ อยู่ข้างฝาบ้านของชาวบ้าน นั่งขอทานอยู่ เวลานั้นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูก็สลดใจเข้าไปใกล้และถามว่า ถามคนแก่ทั้ง2 คนว่า จำท่านได้ไหม ก็พอดีทั้ง 2 คนแก่จำหน้าลูกไม่ได้เพราะบวชเป็นพระ แต่ว่าจำเสียงได้ ก็ถามชื่อลูกชาย ก็บอกว่าใช่ก็เลยเล่าความเป็นมาให้พระลูกชายทราบ ลูกชายก็บอกว่านั่นเป็นกฎของกรรมปล่อยไปเถอะ ในเมื่อพ่อแม่มีความลำบากผมก็ต้องการจะเลี้ยง จึงนำบิดามารดาทั้งสองจากคนขอทานเข้าไปชายป่า คือไกลบ้านหน่อย ปลูกกระท่อมน้อยๆ ให้อยู่และเวลาไปบิณฑบาตกลับมา ได้ข้าวได้ของมาก็ให้พ่อแม่กินก่อน เหลือเท่าไรฉันเท่านั้น ถ้ามีญาติโยมเขาถวายผ้าสบงจีวรใหม่ๆ เข้ามาก็ให้พ่อแม่ใช้ เอาผ้าเก่าๆมายอ้มกลับทำสีน้ำฝาดแล้วก็ใช้เสียเอง มีการเศร้าหมอง ต่อมาก็อาศัยอาหารที่เหลือบ้าง ไม่เหลือบ้าง เหลือมากบ้าง เหลือน้อยบ้าง ไม่พอจะกินก็ซูบผอมลงครั้นในกาลต่อมา บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายทราบความเป็นมาของพระองค์นั้นแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วกราบทูลว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า พระองค์นั้นประจบคฤหัสถ์ปฏิบัติผิดพระธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงสอนไว้องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัสเรียก ให้พระองค์นั้นเข้าไปเฝ้าในเมื่อพระตามพระองค์นั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ถามว่าเธอประจบคฤหัสถ์หรือพระองค์นั้นก็กราบทูลว่าไม่ได้ประจบคฤหัสถ์พระพุทธเจ้าข้าท่านก็ถามความเป็นมา?บอกว่ามีคนเขามาฟ้องแต่ความจริงพระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่างนะอย่าคิดว่าจริยาที่บรรดาพระทั้งหลายทำน่ะ ท่านไม่รู้ ท่านรู้ แต่ว่าท่านเห็นว่าไม่ผิดท่านจึงปล่อย แต่ในเมื่อมีคนไปฟ้อง ก็ต้องเรียกมาสอบสวนตามระเบียบ

ท่านก็บอกว่ามีคนเขามาฟ้องบอกว่า เธอบิณฑบาตมาแล้ว แทนที่จะกินก่อนกลับให้คนแก่2 คนกินก่อน และเมื่อเหลือเท่าไรกลับมากินทีหลับ นี่ประการหนึ่งและประการที่สอง ชาวบ้านถวายผ้าใหม่ๆ มาเธอก็ไม่ใช้ กลับไปย้อมสีใหม่ให้คนแก่ 2 คนนุ่ง แล้วเธอก็เอาผ้าของคนแก่ทั้ง 2 คนที่เก่าแล้วมาเย็บปะติดปะต่อกันทำเป็นผ้าไตรจีวร แล้วก็ย้อมน้ำฝาดแล้วก็เอามาห่มเอง เป็นการเศร้าหมองอย่างนี้จริงไหม พระองค์นั้นอย่าลืมว่าท่านเป็นพระอรหันต์

พระอรหันต์ย่อมไม่ปฏิเสธตามความเป็นจริง ก็ยอมรับว่า เป็นความจริงพระพุทธเจ้าข้าเมื่อพระองคน์ ั้นยอมรับเปน็ ความจริงแลว้ พระพุทธเจ้าก็ยังไม่ทรงตำหนิแต่ความจริงถ้าผิดน่ะ ถ้ารับอย่างนี้ทรงตำหนิทันที เป็นอันว่า องค์สมเด็จพระชินศรียังไม่ตำหนิยังไม่กล่าวโทษท่าน ถามต่อไปว่า คนแก่ 2 คนน่ะ สืบเนื่องเป็นอะไรกันมากับเธอพระองค์นั้นก็บอกว่าคนแก่ 2 คนนั้น เป็นบิดากับมารดา เดิมจริงๆ ท่านเป็นมหาเศรษฐี ความจริงพระพุทธเจ้ารู้แล้ว แต่ว่าท่านก็ต้องรายงาน เพราะว่าพระองค์อื่นไม่รู้ ข้าพระพุทธเจ้าเองเป็นลูกชาย และเป็นลูกชายคนเดียว ในเมื่อได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัณฑ์?แรกก็เกิดความเลื่อมใส ตั้งใจจะบวชในพระพุทธศาสนา แต่บิดาและมารดาก็ค้าน เพราะไม่มีใคร?ครองสมบัติในที่สุดข้าพระพุทธเจ้าก็อดข้าวอดน้ำ พ่อแม่เกรงว่าจะตายก็ให้บวช เมื่อบวชแล้วเรียนกรรมฐานจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็เข้าไปปฏิบัติในป่าเวลานี้เป็นพระขีณาสพพระพุทธเจ้าพอกล่าวเท่านี้ พระพุทธเจ้ายกมือว่า สาธุ ดีแล้ว ว่าดีแล้วดีล่ะๆ และต่อมาก็ปรากฏว่าทราบว่าบิดามารดาทั้งสองพ้นสภาพจากความเป็นเศรษฐี คนใช้ในเรือนขโมยของบ้าง คนกู้เงินไปโกงเสียบ้าง ทรัพย์สินถูกโกงบ้าง ถูกขโมยบ้าง ทรัพย์สินก็หมด ขายที่ขายทางบ้าง ต่อมาเงินขายที่ขายทางก็หมด ต่อมาก็ขายบ้าน กินเงินขายบ้านหมด ต้องเป็นขอทานองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบดังนั้นแล้วสมเด็จพระประทีปแก้วแทนที่จะตำหนิ ทรงยกมือกล่าวว่า สาธุ สาธุ สาธุ นั่นแปลว่าดีแล้ว ดีแล้ว ดีแล้ว เธอทำอย่างนี้ดี คือมีความกตัญญูกตเวที คนที่มีความกตัญญูกตเวที คือรู้อุปการะที่ท่านทำแล้วตอบสนองคุณท่านด้วยความดีเรากล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นคนดี เธอปฏิบัติคนเป็นคนดีมาก ปฏิบัติตนเช่นเดียวกันตถาคตสมัยเมื่อเป็น สุวรรณสาม ไง ตาหง่า ไม่ต้องเทศน์ เรื่อง สุวรรณสามนะ

วันนี้ไม่ต้องกลับบ้านกัน ?ขอต่ออีกเรื่อง ไม่ต้องกลับบ้านกันนะ ก็รวมความว่า พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้พระองค์นั้นปฏิบัติอย่างนั้นต่อไป แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ตรัสกับพระว่า ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความกตัญญูรู้อุปการคุณที่ท่านทำแล้ว และเราตอบสนองคุณท่าน นี่เป็นความดีอันหประเสริฐ เพราะการกตัญญูรู้คุณต่อบุคคลผู้มีคุณ ย่อมเป็นความดีที่ทำตนไม่ให้ตกอับ นั่นก็หมายความว่าถ้าเรารู้คุณท่าน และตอบสนองคุณท่าน เราจะไปในสถานที่ใดก็ตามที เมื่อใครเขาทราบข่าวว่า เรามีความกตัญญูรู้คุณ บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นเขาจะสงเคราะห์ให้มีความสุข คนที่มีความกตัญญูรู้คุณ เมื่อมีชีวิตอยู่ก็มีความสุข ตายจากชาตินี้แล้วไปเกิดในชาติหน้าก็มีความสุข มีสวรรค์เป็นทีไปเป็นต้น ?หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ชี้ไปที่ พระสารีบุตร ว่าภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความกตัญญูรู้คุณในบุคคลทั้งหลายบุคคลผู้มีคุณนั้น ดูตัวอย่าง

สารีบุตร สารีบุตร เป็นสัตบุรุษ ผู้มีความกตัญญูกตเวทีรู้คุณของพราหมณ์ แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าในสมัยหนึ่ง ราธพราหมณ์ ราธพราหมณ์ นี่เป็นคนแก่ แล้วก็เป็นคนจน มาวันหนึ่ง พระสารีบุตร ได้บิณฑบาตข้างบ้านนั้น เดินเฉียดไป ท่านราธพราหมณ์ ได้เอาข้าวใส่บาตร 1 ทัพพี ความจริงท่านมีโอกาสใส่ เพียงครั้งเดียวในชีวิตของ ท่านราธพราหมณ์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเป็นคนจนมาก ต่อมาอาศัยที่เป็นคนแก่ด้วย แล้วก็เป็นคนจนด้วย ลูกหลานก็เลยไม่อยากจะเลี้ยง เขาก็ปล่อยให้มีความอดๆ อยากๆ ในที่สุด ท่านราธพราหมณ์ ก็ต้องมาอาศัยพระในวิหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น อาศัยพระกินอยู่ 3 ปี ก็ความจริง 3 ปีนี้ พระพุทธเจ้าจะไม่รู้นั้น ไม่มี รู้ แต่ว่ายังไม่ถึงวาระก็ปรากฏว่าเมื่อถึงปีที่ 3 ผ่านไป

วันหนึ่งองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรวจอุปนิสัย?ของสัตว์เวลาเช้ามืด ราธพราหมณ์ ตกในข่ายพระญาณของพระองค์ ในตอนเย็นจึงได้ทรงเดินไปที่ ราธพราหมณ์ อยู่ บรรดาพระสงฆ์เห็นองค์สมเด็จพระบรมครูเดินไปอย่างนั้น ต่างคนก็ต่างตามไป พอไปถึงที่ตรงนั้น ก็ปรากฏว่า ราธพราหมณ์ บริโภคอาหารเย็นเสร็จ นำน้ำที่ล้างภาชนะออกมาเทข้างนอก ก็พบพระพุทธเจ้าพอดี พระพุทธเจ้าก็ทรงหยุด ไม่เดินต่อไป ก็ถามพราหมณ์ มาอยู่ที่ไหนพราหมณ์ก็ตอบว่า มาอาศัยพระกินพระเจ้าข้า แต่ในบาลีเขาเรียกว่า วิฆาสาโท วิฆาสาทา แปลว่า ผู้กินเดนต้องมากินเดนพระพุทธเจ้า พระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าก็ถามว่าทำไม ท่านก็บอกว่า เป็นคนยากจนเข็ญใจลูกหลานไปเลี้ยงพระพุทธเจ้าก็ถามว่า พราหมณ์ไม่อยากจะบวชรึทำไมจึงไม่บวชพราหมณ์ก็บอกว่า ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะบวช แต่ว่าไม่มีใครบวชให้พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าจึงได้หันไปถามพระว่า ใครรู้คุณของพราหมณ์นี้บ้าง พราหมณ์คนนี้เคยมีคุณกับใครบ้าง พระสงฆ์ทั้งหลายยืนเงียบก็มีพระสารีบุตรองค์เดียวนั่งคุกเข่าพนมมือ ตามบาลีว่านั่งโขย่งของเราต้องนั่งคุกเข่า นั่งโขย่งพนมมือกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้ารู้คุณของพราหมณ์พระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าก็ถามว่า สารีปุตตะ ดูกร สารีบุตร พราหมณ์มีคุณกับเธอเมื่อไร ทำอะไรให้กับเธอ พระสารีบุตร ก็กล่าวว่าเมื่อปีก่อนโน้น ข้าพระพุทธเจ้าไปบิณฑบาตใกล้บ้านของพราหมณ์พราหมณ์ได้ใส่บาตรข้าพเจ้าทัพพีหนึ่งพระเจ้าข้าพระพุทธเจ้าจึงได้มีพระพุทธฏีกาตรัสว่า สารีปุตตะ ดูกร สารีบุตร สัตบุรุษผู้มีความกตัญญูกตเวที มีความดีเป็นประเสริฐ จงเป็นอุปชฌาย์บวชให้แก่ ราธพราหมณ์ ในที่สุดพระสารีบุตร ก็บวชให้แก่ ราธพราหมณ์ เมื่อบวชแล้ว เวลาเข้าพรรษาก็ลาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไปจำพรรษาที่อื่นกับ พระสารีบุตรความจริง พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ นี่ไม่ได้อยู่ประจำกับพระพุทธเจ้าอยู่เป็นเขตกัน เพื่อรับสนองความดีความต้องการของคนผู้มีศรัทธา ในเมื่อตาย พระสารีบุตร ไปไม่ช้า ไม่นานไม่กี่วันนัก ท่านราธพราหมณ์ ก็ได้สำเร็จอรหัตผลนี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน วันนี้เป็นวันสารทจีนใช่ไหม วันสารทจีนนี่ เจ๊กเขามีแสดงความกตัญญูรู้คุณ วันวานนี้ถามเจ๊ก เผอิญเจ๊กมีไม่ใช่เจ๊กมานะ ไม่ใช่ เจ๊กหง่า นะ ฮะฮะ เจ๊กหง่า นี่เจ๊กกิน ไม่ใช่เจ๊กไหว้ ถามว่าสารทจีนเขาทำอะไรกัน แกบอกว่าไหว้ปู่ย่าตายาย ก็สรุปแล้วว่าไหว้บรรพบุรุษผู้มีคุณอันนี้มีความกตัญญูรู้คุณของเขานะ

ประเพณีของจีนนี่ความจริงเขาดีมากไม่ใช่ไม่ดีหนึ่งเวลาตรุษก็ดี เวลาสารทก็ดี เขาตั้งเป็นระเบียบไว้เลยว่าต้องไหว้บรรพบุรุษคือบุคคลที่มีคุณในกาลก่อน อันนี้เป็นความกตัญญูรู้คุณของเขา การเคารพบุคคลผู้มีคุณก็ดูเจ๊ก เจ๊กน่ะจนไม่นานนะ ตาหง่า นะ ใช่ไหม นานไหม แต่ก่อนนั้นพวกจีนนี่เวลาที่เขามาจากเมืองจีน มาประเทศไทยสมัยก่อนเขาไม่มีอะไรมา ไม่มีทุนมา เขาบอกว่าเสื่อผื่นหมอนใบ ในที่สุดก็เป็นมหาเศรษฐีอย่างคนที่เป็นเจ้าของธนาคารใหญ่ ก็มีสภาพอย่างนั้นเช่นเดียวกัน ก็รวมความว่า ความกตัญญูเขาทำอย่างไร นี่เหลือเวลา 2 นาที กตัญญูแปลว่า รู้คุณ รู้คุณท่านที่กระทำแล้วอย่างบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมาบำเพ็ญกุศลในวันนี้ ก็ถือว่าเป็นผู้รู้คุณในความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการสนองคุณท่านพระพุทธเจ้าบอกว่าใครจะสนองคุณตถาคต ก็ให้ตั้งอยู่ในธรรมธรรมที่ให้ตั้งอยู่ก็คือ

1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน ทานเป็นปัจจัยให้ตัด โลภะความโลภ เพื่อพระนิพพาน ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ทานจะเป็นปัจจัยให้เกิดมาเป็นคนร่ำรวยในชาติต่อไปเป็นมหาเศรษฐี

ประการที่ 2 สีลมัย ศีล เป็นปัจจัยให้ตัด โทสะ ความโกรธ ถ้ายังไม่ถึงนิพพานเพียงใด ศีลจะเป็นปัจจัยให้มีความสุข ทั้งเกิดเป็นคนก็มีความสุข เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมก็มีความสุข และ

3. ภาวนามัย ภาวนาเป็นการให้เกิดปัญญา คนที่มีปัญญานี่มีความสุข (มีเสียงคนร้อง) อ้าวแล้วกัน ใครจะไปนิพพานจะไปนิพพาน ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรไม่สบายในที่สุดนี้ก็ปรากฏว่า ถ้าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา พระทุกองค์โปรดทราบว่า การบวชนี่เป็นสีลาเป็นความดีของท่าน ที่เป็นความกตัญญูรู้คุณต่อพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าเราก็ไม่มีผ้าเหลืองจะห่ม ถ้าไม่มีบารมีของพระพุทธเจ้า เราก็ไม่มีข้าวจะกิน ผ้าก็ไม่มีห่ม ข้าวก็ไม่มีกิน วัดก็ไม่มีอยู่ ที่เราบวชได้อย่างนี้เป็นเพราอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระบรมครู การสนองคุณท่านก็ตั้งใจปฏิบัติความดีอยู่ในพระธรรมวินัยด้วย ปฏิบัติความดีด้วย ชว่ยกันปฏิบัติให้เข้าถึงผลแห่งความดี จะเป็นที่สร้างความสุขแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทพระที่ปฏิบัติความดีเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข เพราะอะไรเพราะว่าถ้าตอนเช้า พระทุกองค์เข้าฌานสมาบัติตามกำลังที่จะพึงได้ ถ้าสมาธิมาก็ตามน้อยก็ตาม พยายามอันดับแรกกำจัดนิวรณ์ 5 ประการก่อน จะทำวัตรได้แค่ที่ 2 ทีก็ตามใจ ไม่เป็นไร ไม่ต้องมาก ต่อจากนั้นไปก็ตั้งอารมณ์วิปัสสนาญาณ ให้รู้จักการเกิดแก่เจ็บตายว่ามันเป็นทุกข์ เวลานั้นอารมณ์จะปลอดจากิเลส ก็ตั้งสมาธิภาวนานิดหน่อยก็ใช้ได้ อย่างนี้ทำอย่างนี้ชื่อว่าพระเข้าสมาบัติ ตอนเช้าทุกวันตอนเช้ามืด หลังจากนั้นก็ไปบิณฑบาต ญาติโยมพุทธบริษัทใส่บาตรก็ถือว่าใส่บาตรกับพระออกจากสมาบัติ อย่างนี้มีอานิสงส์สูงกว่าพระปกติธรรมดาหลายแสนเท่าเอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย พูดมาพูดไป มันก็เหนื่อยทนไม่ไหว ตาหง่า?ต้องเลิกนะ เวลาหมดพอดี ก็ขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้ อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ?และสังฆรัตนะ ทั้ง 3 ประการ ขอจงดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ปรารถนาสิ่งใดก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการอาตมภาพรับประทานวิสัชนามาในกตัญญูคาถา ก็ขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

#หลวงพ่อองอาจ #ปฐมเจ้าอาวาส #วัดวีระโชติธรรมาราม #แปดริ้ว #ฉะเชิงเทรา #ชมรมลูกพระราชพรหมยานหลวงพ่อฤาษีลิงดำ #กองทุนเพื่อพระนิพพานชมรมคณะลูกหลานศิษย์หลวงพ่อวัดวีระโชติฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น