วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


หนังสือ "ตายแล้วไปไหน" ภาคที่ ๔: ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดบนสวรรค์ เรื่องที่ ๔๒ หลวงพ่อปานวัดบางนมโคปรารถนาพระโพธิญาณมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต 
โดยพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน มหาเถระ วัดท่าซุง


“..พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน) วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นคนบางนมโค มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่ง สมัยนั้นเขามีทาสกัน ที่บ้านท่านก็มีทาส เมื่อท่านเป็นเด็กอายุประมาณ ๔-๕ ขวบ ท่านวิ่งเล่นใต้ถุนบ้านย่าของท่าน เวลานั้นคุณย่าของท่านกำลังป่วยหนักใกล้จะตาย ตอนบ่ายประมาณ ๒-๓ โมงเย็น ทุกคนมาเยี่ยมรวมทั้งโยมพ่อโยมแม่ของท่านก็ไป เมื่อทุกคนขึ้นไปแล้ว ท่านก็ได้ยินเสียงบอกดังๆ ว่า “แม่ แม่ อรหังนะ อรหัง ภาวนาไว้ พระอรหัง จะช่วยแม่” ท่านยืนฟังอยู่ใต้ถุนบ้าน สงสัยเขาว่าอรหังกันทำไม จึงย่องขึ้นไปที่หน้าบันไดชานเรือน ก็เห็นเขาเอาปากพูดกรอกไปที่ข้างหูคุณย่าท่านบอกว่า “แม่ แม่ อรหังนะ อรหัง” แต่พอผู้ใหญ่มองเห็นท่านเข้าก็ไล่ท่านลงไป พอถึงตอนเย็นเป็นเวลากินข้าว ท่านแม่ก็เรียกลูกกินข้าว เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว ท่านแม่ก็จัดกับข้าวมาวางตรงกลาง สำหรับหลวงพ่อป่านท่านเป็นเด็ก เขาเอาข้าวใส่จานกับแกงเผ็ดฉู่ฉี่แห้งที่ท่านชอบมาให้ แบบประเภทข้าวราดแกง ไม่ต้องไปตักกับข้าวตรงกลางวง เมื่อท่านกินข้าวกับข้าวอร่อยถูกใจก็เกิดความชุ่มชื่นใจ จิตนึกถึงคำว่า “อรหัง อรหัง” ขึ้นมาได้ ท่านก็ปลื้มใจเลยเปล่งวาจาออกมาดังๆ ว่า “อรหัง อรหัง” ท่านแม่มองตาแป๋วลุกพรวดจับชามข้าวที่ท่านถืออยู่วางไว้ แล้วจับตัวท่านวางปังออกไปนอกชาน ร้องตะโกนสุดเสียงว่า “เอ้า จะตายโหงตายห่า ก็ไปตายคนเดียว จะมาว่า “อรหัง” ที่นี่ได้รึ คำว่า“อรหัง หรือ พุทโธ” นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย”

ท่านแปลกใจคิดว่า เราว่าดีๆ แม่ดุเสียงเขียวปัด ในเมื่อถูกดุอย่างนั้นขืนว่าอีกก็เกรงไม้เรียวก็เลยไม่ว่าอีก ลุกไปหยิบจานข้าวไปกินทั้งน้ำตาคลอด้วยความเสียใจ ทีเวลาท่านให้คนอื่นพูดได้ แต่เราเป็นเด็กจะว่ามั่งก็ไม่ได้ ตอนหลังที่ท่านบวชแล้ว ท่านได้แนะนำให้ท่านแม่ทราบว่า คำว่า “อรหัง หรือ พุทโธ” นี้ถ้าใครภาวนาไว้ เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหมด เขาห้ามตกนรก ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนที่ภาวนา “พุธโธ หรือ อรหัง” จัดว่าเป็นคนปรารถนาความดีของพระพุทธเจ้า มีความดีเกินกว่าที่จะลงนรก ท่านให้ท่านแม่ภาวนาทุกวัน เวลาท่านแม่ตายท่านก็ยึด “พุทโธ และ อรหัง” เป็นอารมณ์ ก่อนที่ท่านทั้งสองจะตาย ท่านทรงฌานละเอียดและก็ได้วิปัสสนาญาณละเอียด ท่านจึงดีใจมากเวลาที่ท่านทั้งสองตาย แต่ท่านทั้งสองต้องกลับมาเกิดอีกวาระหนึ่ง เพราะหลวงพ่อปานต้องเกิดเป็นลูกท่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วต่อจากนั้นท่านทั้งสองไม่มีโอกาสจะเกิดอีกแล้ว

รูปร่างลักษณะของหลวงพ่อปานสมส่วนทุกอย่าง ผิวขาวนวล เสียงท่านเพราะมาก เมื่อท่านโตขึ้นมา ท่านช่วยพ่อแม่ทำนา ท่านเป็นคนขยัน เคยขอให้ท่านนั่งขัดสมาธิ แล้วกราบขออภัยท่าน ขอเอาเชือกวัดรอบศีรษะ วัดหน้าตัก วัดจากตักไปถึงบ่า ได้ส่วนทุกอย่างกับส่วนของพระพุทธรูปเป๊ะเลย เมื่ออายุท่านใกล้ถึงเกณฑ์บวช ท่านพ่อท่านแม่บอกจะขอลูกสาวคนรวยให้แต่งงานกับท่าน หลังจากบวชแล้ว ท่านบอกว่า “เรื่องแต่งงานเอาไว้ทีหลัง ขอให้บวชเสียก่อน เพราะบวชแล้วไม่แน่จะสึกหรือไม่สึก ถ้าสึกก็แต่ง ไม่สึกก็ไม่แต่ง”

สมัยที่ท่านเป็นหนุ่ม ที่บ้านท่านมีคนรับใช้เป็นทาสอยู่คนหนึ่งอายุแก่กว่าท่าน ท่านเรียกว่าพี่เขียว อายุประมาณ ๒๕ ปี ตอนกลางวันอยู่ด้วยกัน ๒ คน ท่านเกิดสงสัยเนื้อผู้หญิงขึ้นมา เพราะตั้งแต่เกิดมานอกจากเนื้อแม่กับเนื้อพี่แล้ว ท่านไม่เคยจับเนื้อใคร จึงคิดว่าเนื้อผู้หญิงมันดีอย่างไร ผู้ชายถึงอยากได้กันนัก บางทีถึงกับฆ่ากันเลย ท่านจะบวชแล้วถ้ามันดีจริงก็จะสึก ถ้าไม่ดีก็ไม่สึก ท่านจึงเข้าไปหาพี่เขียวซึ่งอยู่ในครัว ยกมือไหว้ขอขมาบอกว่าไม่ได้ดูถูกดูหมิ่น ขอจับเนื้อดูหน่อย อยากจะพิสูจน์ว่ามันดียังไง ผู้ชายเขาถึงชอบกันนัก พี่เขียวก็แสนดีอนุญาตให้จับได้ ท่านก็เลือกจับเนื้อที่หน้าอก แต่ไม่ได้จับมากหรอก และก็ไม่ได้ลวนลามไปถึงไหน จับๆ แล้วท่านก็มาจับเนื้อน่องของท่าน และบอกพี่เขียวว่า “เนื้อมีสภาพคล้ายกันนี่ เนื้อของเราก็มีแล้ว ไปต้องการเนื้อคนอื่นอีกทำไม” ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาท่านก็เลยคิดว่า บวชคราวนี้ไม่สึกละ

เข้าสู่ผ้ากาสาวพัตร์

พออายุท่านครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์ย่าง ๒๑ ปี ท่านพ่อก็พาท่านถือพานดอกไม้ธูปเทียนไปฝากหลวงปู่สุ่นเพื่อบวชที่วัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขณะที่เดินไปตามทางท่านพบปลาช่อนตัวใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ในหนองน้ำเกือบจะแห้ง ท่านก็จับไปปล่อยในแม่น้ำ ท่านบอกว่า ในชีวิตของท่านไม่เคยฆ่าสัตว์เลย ไม่ว่าสัตว์ตัวเล็กตัวใหญ่ก็ตาม ถ้าฆ่าโดยเจตนาแล้วท่านไม่เคยทำ แม้แต่ยุงก็ไม่เคยตบ เมื่อไปถึงวัด หลวงปู่สุ่นเห็นเข้าก็กวักมือเรียก หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบท่านก็เอามือลูบศีรษะบอกว่า “อยู่กับพ่อจะได้ดีนะ นับตั้งแต่นี้ไปเป็นลูกของพ่อ วิชาความรู้จะถ่ายทอดให้ทั้งหมด และจะไม่สึก” ทำให้ท่านพ่อและหลวงพ่อปานปลื้มใจมาก เพราะเวลานั้นหลวงปู่สุ่น ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นกรณีพิเศษ

ความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่

หลวงพ่อปานท่านมีความกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่มาก เวลาป่วยท่านไม่ยอมให้อยู่ที่บ้าน ท่านนำมารักษาที่วัดให้นอนในกุฏิท่าน ผ้านุ่งผ้าห่มของท่านท่านซักเอง เวลาท่านแม่ลุกไม่ถนัดท่านก็อุ้มลุกอุ้มนั่ง เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ มีหลายคนตำหนิท่านว่า ท่านเป็นพระ ทำอย่างนี้แม่ท่านจะบาป ท่านก็เลยบอกว่า “พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่บาป เป็นความดีที่แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ เวลานี้ท่านเป็นพระเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยทำตามพระพุทธเจ้า พระองค์เทศน์ไว้ในพระไตรปิฎกมีอยู่ ในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติมีนามว่า “สุวรรณสาม”สมัยนั้นพระองค์ก็ปรนนิบัติดูแลท่านพ่อท่านแม่ของท่านเป็นอย่างดี

ปัจฉิมโอวาทของหลวงพ่อปาน

ต่อมาเมื่อหลวงพ่อปานอายุล่วงเข้า ๖๑ ปี ท่านป่วยมากเป็นครั้งแรก คณะศิษย์ในกรุงเทพฯรับท่านไปรักษาประมาณ ๑ เดือนท่านก็กลับวัด หลังจากป่วยคราวนี้แล้วท่านแจ้งให้บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ทราบว่านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอีก ๓ ปีท่านจะตายในวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น ปรากฏว่ามีคณะศิษย์พากันมาหาท่านมาก เมื่อใครก็ตามเข้าไปหาท่าน ตอนนี้ท่านสงเคราะห์ทุกอย่าง ทั้งด้านการรักษาโรค คาถาอาคมที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นโทษท่านไม่ให้กับใคร นอกจากนั้นท่านก็สอนเฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสำคัญ ท่านพูดย่อๆ ให้ฟังง่ายและเห็นชัด ส่วนใหญ่ท่านสอนด้านวิปัสสนาญาณ ให้ทุกคนรู้ตัวว่าตัวเองจะต้องตายและทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน จงอย่าประมาทให้สร้างแต่ความดี ถึงแม้ว่าจะมีคาถาอาคมดีเพียงใดก็ตาม เราก็ต้องตาย ก่อนที่จะตายนั้นควรจะเลือกทางเดิน อย่างน้อยที่สุดเราควรไปสวรรค์ชั้นกามาวจรให้ได้ แล้วท่านก็อธิบายว่า การที่ท่านสร้างวัดวาอารามต่างๆ ถึง ๔๐ วัด ทำบุญสุนทานต่างๆ ทั้งหมดนี้ก็เพราะท่านห่วงบรรดาประชาชนทั้งหลายจะได้ร่วมกันทำบุญ มากบ้างน้อยบ้างด้วยทรัพย์สินบ้าง ด้วยกำลังกายบ้าง ทุกคนที่ได้ช่วยงานท่านอย่างนี้ อย่างน้อยทุกคนจะต้องไปเกิดบนสวรรค์ ท่านสอนว่า ก่อนจะหลับให้นึกถึงความดีที่ตนเคยทำไว้ หมั่นภาวนาระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระอริยสังฆคุณ เป็นต้น

ก่อนหน้าวันตายของท่าน ๓ วัน หลวงพ่อปานได้บอกให้อาตมาจัดเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ พอวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ ๓ โมงเช้าท่านก็เริ่มพิธีบวงสรวงแล้วบอกว่า “วันนี้ใครจะคุยอะไรกับท่านก็คุยนะ หลังเที่ยงไปแล้วท่านจะไม่คุย พรุ่งนี้ท่านถึงจะตาย” ท่านนอนคุยเพราะลุกไม่ค่อยจะไหว เนื่องจากแรงท่านไม่มี พอถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ ตอนเช้าท่านบอกว่า “นับตั้งแต่เที่ยงวันนี้เป็นต้นไป ท่านจะไม่พูดกับใครเลย” อาตมาได้ถามท่านว่า “ท่านจะสั่งอะไรบรรดาศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายบ้าง เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของท่านแล้ว ถือว่าเป็นปัจฉิมวาจา” หลวงพ่อปานว่า “ให้สั่งพระกับชาวบ้านทั้งหมด ขอให้ทุกคนตั้งใจทำความดี คนไหนที่ทำความดีอย่างอื่นมากนักไม่ได้ ก็ให้สร้างความดี ๒ อย่างคือ ๑ อย่าดื่มสุราเมรัย ๒ อย่าลักขโมย คืออย่าประพฤติตนเป็นโจร”

จากนั้นหลังจากเที่ยงไปแล้วท่านก็เงียบ พอเวลาใกล้จะ ๖ โมงเย็น เหลืออีกประมาณ ๑๐ นาที ท่านลืมตาขึ้นมองหน้าอาตมาบอกว่า “ถ้าพ่อตายละก็ ช่วยไปสร้างโบสถ์วัดเสาธง ตำบลสารี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ให้เสร็จด้วยนะ” อาตมาบอกหลวงพ่อว่า “เวลานี้พระมานั่งกันเต็มประมาณ ๒๐๐ รูป อาตมาต้องการให้พระสงเคราะห์อะไรบ้าง” ท่านเลยบอกว่า “ถ้าพระจะสงเคราะห์ ให้ท่านสวดอิติปิโส และจุดธูปหอมๆ ให้ได้กลิ่นด้วย” พอ พระสวดอิติปิโส ไปได้สักพักหนึ่ง เหลือเวลาอีกนิดเดียวจะ ๖ โมงเย็น ท่านลืมตาขึ้นบอกกับอาตมาว่า “ให้บอกพระกับชาวบ้านว่าพ่อลานะ แล้วขอให้ทุกคนมีความสุขนะ ทุกคนตายแล้วจงไปสวรรค์ จงไปพรหมโลก จงไปพระนิพพาน” เมื่อพูดจบท่านก็หลับตา ท่านลืมตาอีกครั้งแล้วก็หลับตาปั๊บอีกที นาฬิกาเป๋งแรก ๖ โมงเย็นพอดีปรากฏว่าชีพจรดับพร้อมกัน พระครูอุดมสมาจารย์ นั่งหลับตาอยู่ห่างๆ ได้ลืมตาขึ้นมาบอกว่า “หลวงพ่อไปแล้วไปอย่างสบาย ออกไปสวยเหลือเกิน รูปร่างท่านสวยมาก เทวดา พรหมห้อมล้อมไปส่งท่านถึงสวรรค์ชั้นดุสิต”

พอบรรดาพระทราบว่าหลวงพ่อไปแล้ว ปรากฏว่าพระแก่หลายองค์เลิกสวดอิติปิโส แต่มาสวดร้องไห้แทน เมื่อพระร้องไห้ชาวบ้านที่อยากจะร้องอยู่แล้วมีมาก ก็เลยช่วยกันร้องเป็นการใหญ่ หลวงพ่อมรณภาพในกุฏิท่าน คนจะมาเคารพศพก็ลำบาก เพราะที่คับแคบ ต้องเคลื่อนศพมาไว้ที่ศาลาโดยไม่ได้ใส่โลงศพ สมัยนั้นยาฉีดกันเน่ากันเหม็นยังไม่มี จากวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ จนถึง วันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๙ ร่างกายของท่านไม่ผิดปกติเลย มีอาการเหมือนคนนอนหลับ เนื้อหนังที่จะผิดปกติอย่างคนตายก็ไม่มี กลิ่นเหม็นสักนิดหนึ่งก็ไม่มี..”

ประชาสัมพันธ์งานวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ และวิธีใช้น้ำมันชินบัญชร

ประชาสัมพันธ์งานวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ และวิธีใช้น้ำมันชินบัญชร


http://www.youtube.com/watch?v=-IYJ3dMa0eM&feature=youtu.be

ประชาสัมพันธ์น้ำมันชินบัญชร วัดวีระโชติธรรมาราม โดยพระครูปลัดกิตติวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดวีระโชติธรรมาราม ออกอากาศช่อง one rescue ทีวี 13 พฤศจิกายน 2556

อานิสงส์เกาะบุญชายผ้าเหลืองลูกชาย โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย บวชเพื่อ....เปลี่ยนชีวิต ตอบแทนคุณ

อานิสงส์เกาะบุญชายผ้าเหลืองลูกชาย โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


ตัวอย่างในพระสูตรที่มีมา ในเรื่องของเณรสุบิน ท่านกล่าวว่า เณรสุบินคนนี้ปรากฏว่าบิดามารดาเป็นพราน แต่ว่าลูกชายมีจิตใจเลื่อมใสในศาสนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคติไม่ตรงกัน พ่อชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม่ก็มีอารมณ์จิตเหมือนกับพ่อ แต่ว่าสำหรับลูกชายกลับเป็นคนที่มีจิตน้อมไปในกุศลในพระพุทธศาสนา หนีพ่อหนีแม่ไปบรรพชาเป็นสามเณร เป็นอันว่าพ่อแม่สามเณรไม่มีโอกาสจะพบกัน
ต่อมา เมื่อกาลเวลาเข้ามาถึง พ่อและแม่ก็ตายจากความเป็นคน ด้วยอำนาจกรรมที่เป็นอกุศล พระยายมก็สั่งคนมาเชิญไปเป็นแขกรับเชิญ คือเชิญไปในขุมนรก เชิญไปในสำนักพระยายม ก็สอบสวนตามความเป็นจริงว่า ทำกรรมที่เป็นอกุศลอะไรบ้าง แกก็รับทุกอย่างว่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ตั้งแต่สัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ อาศัยกฎของกรรมอันนี้ ก็ปรากฏว่าท่านทั้งสองจะต้องลงนรก เขาจึงนำไป เมื่อนำไปแล้ว ตามธรรมดาสัตว์นรกที่มีกรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมด เมื่อเข้าเขตของนรกแล้ว ก็ต้องลงขุมได้ทันที
แต่ว่าบิดามารดาของสามเณรนี้ลงไม่ได้ นายนิรยบาลจึงจับโยนลงไปเข้าขุมนรก ก็ปรากฏว่ามีหวายใหญ่มารองรับ เป็นหวายร่างแหรองรับเข้าไว้ ไม่ตกลงไปในนรก ทำอย่างนี้ถึง 3 วาระ คนทั้งสองลงนรกไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าในเมื่อพ่อและแม่เห็นแสงไฟ ก็คิดขึ้นมาในใจว่า แสงไฟนี้คล้ายจีวรของพ่อเณรน้อย เพราะว่าเณรไปบวช ทราบว่าบวชก็ไปทวงให้สึก เณรก็ไม่สึก เห็นภาพเณรเพียงนิดเดียวเท่านั้น จิตใจนึกขึ้นมาได้ว่า เณรลูกชายของเรามีสีจีวรคล้ายเปลวไฟ เพราะไปบางตอนมันมีสีเหลือง จิตคิดเป็นอย่างนี้ เป็นอันว่าบิดามารดาทั้งสองศรีลงนรกไม่ได้ นายนิรยบาลก็นำกลับมาสำนักพระยายม
พระยายมก็สอบถามว่า “กรรมใดที่เป็นกุศลนะ ท่านไม่เคยทำบ้างเลยหรือ”
สำหรับบิดามารดาของสามเณรก็กล่าวว่า “กรรมใด ๆ ที่เป็นกุศล ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตาย ไม่เคยทำ มีอย่างเดียวคือมีลูกชายอยู่คนหนึ่งชื่อสุบิน เธอไม่พอใจในการทำอกุศลกรรมความชั่ว สอนให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เธอก็ไม่ทำ ในที่สุดเธอก็หนีไปบวชเป็นสามเณรน้อยในพระพุทธศาสนา”
เป็นอันว่า พระยายมก็ทราบว่านี่บุญลูกชายบวชเณร ท่านจึงกล่าวว่า “ในเมื่อลูกชายบวชเณร เราสอบสวนในตอนก่อนทำไมเจ้าจึงไม่บอก”
บิดามารดาของสามเณรบอกว่า “นึกไม่ออก เพราะกรรมที่เป็นอกุศลบัง มันกดปากเข้าไว้ บังใจไม่ให้นึกถึง”
เป็นอันว่าในเมื่อพระยายมทราบอย่างนั้น จึงได้กล่าวว่า เพราะอำนาจกุศลที่ลูกชายของท่านบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา จึงเป็นเหตุบันดาลให้ลงในขุมนรกไม่ได้ ฉะนั้น ท่านจงได้รับผลของกรรม คือความดีต่อไป ก็หมายความว่าไปเกิดบนสวรรค
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับพระสูตรนี้ความจริงยาวมากกว่านี้ เวลามันมีจำกัด ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์แสดงให้เห็นว่า ท่านทั้งหลายที่มีบุตรชายบวชเป็นสามเณรก็ดี บวชเป็นพระก็ดี ในพระพุทธศาสนา แม้ว่าท่านจะไม่ยินดีหรือไม่ทราบ ท่านก็มีอานิสงส์มาก จะนั่งเทศน์ถึงอานิสงส์ถามกันไปตอบกันมาสิ้นเวลา 1 กัป ก็ไม่จบ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระนราสภจึงได้ทรงสรุปไว้ว่า “การอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนา ย่อมเป็นปัจจัยเข้าถึงพระนิพพาน”
บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ย่อมทราบดีว่าการอุปสมบทบรรพชานี้มีอานิสงส์มาก แล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าเป็นสามัญผล คือเป็นผลที่เสมอกัน คนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ ย่อมมีสิทธิเสมอกันในการทรงสิกขาบท และสามารถที่จะกำหนดจิตปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานได้เสมอกัน ฉะนั้น จึงจัดว่ามีอานิสงส์มาก
ในที่สุดนี้ อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนา ทั้งสามประการ ขอจงบันดาลให้บรรดาพุทธบริษัททุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง 4 ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านปรารถนาสิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นจงสมความปรารถนาทุกประการ
*****************

ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย บวชเพื่อ....เปลี่ยนชีวิต ตอบแทนคุณ

ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย บวชเพื่อ....เปลี่ยนชีวิต ตอบแทนคุณ

โครงการอุปสมบทหมู่ ถวายเป็นพระราชกุศล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
เนื่องในวโรกาสมีพระชนมายุ ๘๖ พรรษา
ณ วัดวีระโชติธรรมาราม 
อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
ระหว่าง วันที่ ๑ – ๑๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๖
สอบถามได้ที่ พระครูปลัดกิตติวัฒน์ เจ้าอาวาส 
โทร. ๐๘๔-๙๗๗-๓๓๓๙
ตั้งแต่วันนี้ - ๑ ธันวาคม ๒๕๕๖

บวชฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่าย ใดๆ ทั้งสิ้น

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพงานบวชถวายในหลวง ดังต่อไปนี้

วิธีที่ ๑ เข้าบัญชี

ชื่อบัญชี : วัดวีระโชติธรรมาราม
เลขที่บัญชี : 386-8-01280-2
ธนาคาร กรุงเทพ สาขา สุวินทวงศ์
โดยส่ง Email. สลิปทำบุญพร้อม ชื่อ+ที่อยู่+เบอร์โทรศัพท์ 
มาที่ Email :cqukhiran@gmail.com
หรือแจ้ง sms มาที่ 087 922 4888
: ร่วมสนับสนุนตั้งแต่กองทุนละ 5,000 บาท ขึ้นไปทางวัดมีวัตถุมงคลมอบให้เป็นที่ระลึก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 084 977 3339,087 922 4888

วิธีที่ ๒ ส่งธนาณัติ 

ระบุผู้รับ: เจ้าอาวาสวัดวีระโชติธรรมาราม
ส่งถึง: โครงการบวชถวายในหลวง
วัดวีระโชติธรรมาราม ๓๒ หมู่ ๔ ต.คลองหลวงแพ่ง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ๒๔๐๐๐




วิธีรักษาโรคเอดส์ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

รอยยิ้มในความเมตตา หาประมาณมิได้ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ วันนี้ วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ขอนำเสนอ

วิธีรักษาโรคเอดส์
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


ตอนนี้ก็มีบทเรียน เมื่อคืนนี้ ขึ้นไปจากสอนกรรมฐานแล้วนะ พอขึ้นไปแล้วหมอจรูญก็มาแล้ว กำลังจะฉีดยา ฉันก็พักสักนิด เห็นพระก็ถามว่า โรคเอดส์ มาจากกรรมอะไรครับ ท่านบอกว่า เรื่องของกรรมอย่าถามเลยไม่มีความหมาย มันก็มาจาก ปาณาติบาต จะเกิดอย่างนั้น อย่างนี้ ก็ปาณาติบาต ท่านบอกไม่ควรจะสนใจ มันเฟ้อไป ก็เลยถามว่า เอดส์มันเป็นอย่างไรครับ ท่านบอก เป็นไวรัสเป็นไวรัสชนิดหนึ่งซึ่งมันมีตัวสีขาวขนมันขาวท่านทำภาพให้ดูภาพมันเล็กๆนะ ท่านถามว่าเหมือนตัวอะไร ฉันเลยตอบ เหมือนตัวหมู ท่านบอกไม่ใช่ มันเหมือแรดตัวมันเล็ก และก็มีขนรอบตัว ท่านบอก ขนนี่ มันร่วงง่าย และก็มีพิษมาก เวลาเข้าไปในเลือดแล้ว ขนมันจะหลุด ขนหลุดไป ตามกระแสเลือด มันก็เป็นพิษตลอดตัว

แล้วก็ถามท่านว่า มีอะไรไหมครับที่จะป้องกัน ท่านบอกว่า มียาขนานหนึ่ง ซึ่งมันเป็นศัตรูร้าย กับเอดส์นะ สลายตัวหมด ถามท่านว่ามีอะไร ท่านบอก ยาเหนือ รู้จักยาเหนือไหม? ยาเหนือ คือ ยาตั้ง ใบยาที่เขาหั่นๆมายังไม่ได้มวนไม่ได้ผสม อะไรนะ มันเป็นนิมิตนะญาติโยม อย่าไปยืนยันกับใครเขานะใช้ได้ หรือไม่ได้ ก็เป็นเรื่องของพระท่านบอก

กรรมวิธีมันมีสองอย่าง ถามท่านว่า ทำอย่างไร ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ซิ รมควัน ทำเป็นควันรมใช่ไหม ควันคลุ้ง ๆ แต่ว่า มีอย่างเรามีอะไรใส่ทำให้มันเป็นควันได้ เอายาใส่ข้างบนนะแต่อย่าใส่เส้นสองเส้นไม่ได้นะ ก็เลยถามท่านว่าสมมติว่าตาม โรงพยาบาลห้องเล็กๆ ถ้าควันมากๆ ท่านบอกว่า ไม่ยาก เอาใส่จานเข้ากะลาครอบ ปล่อยออกตามรูกะลา ควันใช้ได้ ก็เลย ถามท่านว่า ถ้าคนที่มีเชื้ออยู่แล้วจะทำลายเชื้อเอดส์ในอากาศได้ไหมนะ ถ้าคนที่มีเชื้ออยู่แล้วเป็นอย่างไรท่านบอก การรมบ้านนี่ กลิ่นมันไม่หมดง่าย เราไล่ควันไปหมดแล้ว กลิ่นยังอยู่ ถ้าคนเข้าไปกระทบกลิ่นนั้นเข้า สูดกลิ่นเข้าไปไอ้กลิ่นนี่มันจะเข้าไปกระทบกับเลือด ติดเลือดไปเลือดจะวิ่งไปทั่วกาย ถ้าเชื้อเอดส์อยู่ที่ไหนมันจะตายทันที และ ก็ตอนที่หมอฉีดยา ให้ก็ถามหมอบอกว่า เออ ไอ้เอดส์นี่มันเป็นไวรัสใช่ไหม บอกว่าเป็นไวรัสก็ถามว่า ยาแก้เด็ดขาดนี่มีไหม บอกมี แต่ประทัง อาการตอนนั้นหมอบอกแบบนั้น หมอกำลังจะฉีดยาอยู่ฉันก็เลยถามพระท่านบอกว่า

ถ้ายาเหนือนี่ สกัดเป็นน้ำเป็นแบบยาฉีด ให้ใช้ 2 ซีซี ฉีดเข็มแรกจะมีอาการดีขึ้นทันที เข็มที่สอง จะมีสภาพหาย แต่เข็มที่สาม จะกวาดล้าง

แล้วใครจะสกัดได้ล่ะ เป็นอันว่า โรคเอดส์ก็จบเพียงเท่านี้

คัดมาจากหนังสือสมบัติพ่อให้ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี

ภาพ : หลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร )
วัดสามพระยา กับ
พระเดชพระคุณพรหมราชพรหมยาน วัดท่าซุง
ณ พระอุโบสถ วัดสามพระยา กรุงเทพฯ

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เรียนเชิญเป็นเจ้าภาพผ้าป่าตลอดปี 2556 ตั้งธนาคารบุญกองทุน ค่าน้ำ-ค่าไฟวัดวีระโชติ วันละ 1 บาท


เรียนเชิญเป็นเจ้าภาพผ้าป่าตลอดปี 2556 ตั้งธนาคารบุญกองทุน ค่าน้ำ-ค่าไฟวัดวีระโชติ วันละ 1 บาท 
ร่วมด้วยช่วยกันนะครับ หรือตั้งเป็นธนาคารบุญในนามตระกูลหรือนามสกุล ของเราเอง เริ่มต้นที่กองทุนละ 1,000 บาท
โดยทางวัดจะจัดทำบัญชีธนาคารกองทุนให้
  ด้วยเหตุที่ค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าไฟฟ้าที่วัดมีจำนวนสูงมาก เดือนละ 60,000 กว่าบาท ทุกเดือน ในกรรมเก่าบางกรรมที่ส่งผลให้กับชีวิตและการทำงานของเรานั้น มาจากการเหนี่ยวรั้งของกรรมไม่ดี มาปิดทางไม่ให้กรรมดีส่งผล เจ้ากรรมนายเวรเขาจะบังคับหรือชักนำให้เราหลงทางที่จะพบความเจริญ มีความคิดที่ผิด ที่ชอบที่ควร เกิดทิฐินึกว่าสิ่งที่ทำหรืออาชีพที่ทำนั้นดีอยู่แล้ว แต่ทว่าไม่มีทางสำเร็จลงได้ หมั่นถวายเงินหรือปัจจัยนี้เมื่อมีโอกาส
   การเป็นเจ้าภาพค่ากระแสไฟเปรียบเหมือนการชำระหนี้สงฆ์ควรทำ เพราะเชื่อว่าที่ผ่านมาหลายร้อยชาติที่เกิดมา ต้องมีการพลั้งพลาดในการติดหนี้สงฆ์แน่นอน แค่ไปวัดมีเศษดินเศษไม้ ติดรองเท้ามาก็ถือว่าเป็นหนี้แล้ว หรือไปใช้ไฟใช้น้ำที่ต้องต่างๆเล็กน้อย ไม่รวมกับการไปรับปากว่าจะทำอะไรหรือตั้งใจจะทำอะไรให้กับพระพุทธศาสนาแล้วไม่ได้ทำไม่ว่าด้วยเหตุอันใดก็ตาม
   อย่าไปคิดเงินที่เราหยอดผ่านตามตู้ที่เราหยอดนั้น เขาจะไปเอาทำอะไร ถ้าเรามัวแต่ไปเสียดาย สงสัย บุญนั้นจะส่งผลไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคกรรมขวางทางอยู
สำหรับผู้สนใจจองเป็นเจ้าภาพในแต่ละเดือนนั้นไม่จำกัดจำนวนเจ้าภาพ แต่หากเป็นเจ้าภาพตั้งแต่ 5,000 บาท ทางวัดจะจัดทำสมุดธนาคารในชื่อเจ้าภาพให้หรือทำตามกำลังศรัทธาก็ได้ สามารถโทรติดต่อเพื่อจองเป็นเจ้าภาพ โดยให้ชื่อ-สกุล ในหน้าเพจนี้ก็ได้
  
 หรือทำบุญผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาสุวินทวงศ์ ฉะเชิงเทรา 
ชื่อพระครูวินัยธรองอาจ อาภากโร(กองทุนค่าไฟฟ้าวัด) 
เลขที่ 409-2-41136-8 
โอนแล้วช่วยแจ้ง sms ที่เบอร์ 087 922 4888
อานิสงส์แห่งการถวายไฟฟ้าเป็นพุทธบูชา 
๑.ย่อมเป็นผู้รู้คุณของพระรัตนตรัยทำให้มีศรัทธามั่นคง ๒.เป็นผู้มีความเคารพมีสัมมาคารวะ
๓.เป็นผู้มีดวงตาสดใสสวยงามมองได้ไกลดวงตาบริสุทธิ์บริบูรณ์ ๔.ทำให้เป็นผู้มีทิพยจักษุ(ตาทิพย์)
๕.มีผิวพรรณผ่องใสมีจิตใจสดชื่นเบิกบาน ๖.มีรัศมีกายสว่างไสวมีสติสัมปชัญญะไม่ประมาทในชีวิต
๗.ทำให้มีปัญญาเฉลียวฉลาดมีปฎิภาณว่องไวแตกฉานในสรรพวิชชาทั้งทางโลกและทางธรรม ๘.ย่อมไม่ไปเกิดในทุคติ
๙.ย่อมได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย

สอบถามร่วมเป็นเจ้าภาพได้ที่ https://www.facebook.com/events/139367482913500/?ref=22
หรือโทรมาก็ได้ที่ 0879224888

ผลบุญดลให้ความร่มเย็น - เป็นสุขในชีวิต เป็นเจ้าภาพซ่อมหลังคาศาลา 65 ปีพระพรหมเวทีอนุสรณ์(ศาลาขาว)

ผลบุญดลให้ความร่มเย็น - เป็นสุขในชีวิต เป็นเจ้าภาพซ่อมหลังคาศาลา 65 ปีพระพรหมเวทีอนุสรณ์(ศาลาขาว) งบประมาณ 500,000 บาท 
ผู้ใดให้ที่พักอาศัย ผู้นั้นเชื่อว่าให้สิ่งทั้งปวง (สังยุตตนิกาย สคาถวรรค)


เจ้าภาพสร้างความร่มเย็นและเป็นสุขให้กับชีวิต 1 ตารางเมตร ๆ ละ 499 บาท

เนื่องด้วยศาลาฯ ดังกล่าวได้ก่อสร้างมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2551 ซึ่งเป็นศาลาหลังแรกของวัดวีระโชติธรรมาราม ที่หลวงพ่อองอาจมาจำพรรษาเป็นปีแรก เป็นศาลาฯ ที่ประดิษฐาน หลวงพ่อโชดดี พระโมคัลลานะ พระสารีบุตร และเกจิครูบาอาจารย์ เป็นจำนวนมาก ห้องจำหน่ายวัตถุมงคล และใช้เป็นสำนักงานกลางของวัดอีกด้วย

บัดนี้ เวลาล่วงเลยมา 5 ปีเศษ ศาลาฯ นี้เกิดทรุดตัวด้านล่าง ด้วยเหตุที่พื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ลุ่ม ที่ท้องนา มาก่อน ทำให้หลังคาศาลาเกิดรอยแยกเป็นจำนวนมาก เมื่อปีที่แล้วช่างได้ขึ้นไปซ่อมแซมแล้ว แต่ด้วยการทรุดตัวของพื้นดินต่อเนื่อง ทำให้หลังคาศาลาฯ ยังเกิดรอยแยกอีกทำให้เวลาฝนตก น้ำเกิดรั่วซึมลงมายังในศาลาฯ และเกิดขึ้นหลายจุด

ดังนั้นมาให้ปีนี้ ทางหลวงพ่อองอาจจึงดำริให้ซ่อมแซมหลังคา โดยการลดความสูงของหลังคา(เปลี่ยนทรงหลังคาใหม่) จากเดิมเป็นหลังคาทรงไทย เปลี่ยนมาเป็นทรงปั้นหย้า 2 ชั้น แทน เพื่อที่จะช่วยการรั่วซึมของหลังคาได้ ดังนั้นทางวัด จึงเปิดโอกาสให้ญาติโยมสาธุผู้ใจบุญทั้งหลาย เป็นเจ้าภาพดังต่อไปนี้

รับเจ้าภาพเป็นกอง
กองละ 99 บาท จำนวน 999 กอง
กองละ 199 บาท จำนวน 499 กอง
กองละ 399 บาท จำนวน 299 กอง
กองละ 499 บาท จำนวน 99 กอง

อานิสงส์การถวายหลังคา 
1.ย่อมบังเกิดในปฏิรูปเทส ได้อยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนาไปทุกภพทุกชาติ 
2.ย่อมเข้าถึงสถานะของมหาเศรษฐี ผู้ใจบุญ สมบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ 
3.ย่อมมีพวกพ้องบริวารเป็นสัมมาทิฏฐิ มีกัลยาณมิตรคอยชี้แนะไปสู่หนทางอันประเสริฐ 
4.ย่อมเข้าถึงฐานะอันสูงส่งเป็นที่รัก ที่เกรงใจของมหาชนทั้งหลาย 
5.ย่อมมีปัญญาเฉลียวฉลาดในการดำเนินชีวีต 
6.ย่อมเข้าถึงธรรมอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โดยง่าย


คำถวายหลังคา
ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ปะฏิชานาตุ มะยัง เอตานิ ติปุปัฏฏะฉะทะนานิ สะปะริวารานิ พุทธะสาสะเน ถาวะระนะวะกัมมัตถายะ สังฆัสสะ นิยยาเทมะ สาธุ โน ภันเต อะยัง พุทธะสาสะเน ถาวะระนะวะกัมมัตถายะ ติปุปัฏฏะฉะทะนานัง ทานัสสะ อานิสังโส อัมหากัญเจวะ มาตาปิตุอาทีนัญจะ ปิยะชะนานัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ สังวัตตะตุ ฯ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงรับทราบ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอมอบถวายหลังคา พร้อมกับของบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แก่สงฆ์ เพื่อประโยชน์แก่การก่อสร้างถาวรวัตถุ ในพระพุทธศาสนา ขออานิสงส์แห่งการถวายสังกะสีมุงหลังคา เพื่อประโยชน์แก่การก่อสร้างถาวรวัตถุ ในพระพุทธศาสนานี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย จงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย แก่ปิยชนทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้นด้วย ตลอดกาลนาน เทอญ ฯ


ติดต่อสอบถาม โทร 087 922 4888
ทำบุญได้ที่วัดได้ตลอดเวลา
หรือทำบุญผ่านบัญชีธนาคาร 
1.ธนาคาร กสิกรไทย สุวินทวงศ์ ฉะเชิงเทรา 
ชื่อกองทุนบูรณะวัด (พระครูวินัยธรองอาจ อาภากโร)
เลขที่ 409-2-41134-1
2.ธนาคารกรุงเทพ สาขาสุวินทวงศ์ ฉะเชิงเทรา
ชื่อ วัดวีระโชติธรรมาราม
เลขที่ 386-8-00323-1
โอนแล้วแจ้ง sms ที่เบอร์ติดต่อ

โทร. 0879224888 0849773339