วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

ถวายข้าวพระพุทธรูป ถวายข้าวต่อหน้ารูปพระสงฆ์ อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ถวายข้าวพระพุทธรูป ถวายข้าวต่อหน้ารูปพระสงฆ์ อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
ที่มา : หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม (การปฏิบัติธรรม)

"ถวายข้าวพระพุทธรูป ถวายข้าวต่อหน้ารูปพระสงฆ์ อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง ไม่งั้นก็เป็นพรหมเลย

ถ้าบังเอิญคนที่ถวายประเภทนั้นเขาเกิดไม่นิยมร่างกาย

เมื่อใกล้จะตาย พอป่วยแล้วเจ็บโน่น ปวดนี่รำคาญ ขึ้นมา

เอ๊ะ..นี่ร่างกายเลวๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก

ไปนิพพานทันทีเหมือนกัน นิพพานนี่ไปไม่ยาก

ถ้าฉลาดนี่ไปไม่ยาก"

หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม

ผู้ ถาม : โดยปกติหนูต้องถวายอาหารรูปเหมือนหลวงพ่อเป็นประจำ บางครั้งต้องไปค้างที่อื่น จึงบอกกับรูปเหมือนหลวงพ่อว่า พรุ่งนี้ไม่อยู่นิมนต์หลวงพ่อไปฉันที่บ้านอื่นก่อนนะ ขอถามว่าที่หนูพูดอย่างนี้ จะผิดหรือเปล่าเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : มิน่าเล่าบางวันท้องกิ่วหิว ไม่ผิดล่ะ ถูก ก็มีอะไรผิดบ้าง ก็พูดตัวเอง ได้ยินฟังรู้เรื่องก็ถูก

ผู้ถาม : หลวงพ่อได้ยินหรือเปล่าไม่รู้?

หลวง พ่อ : อ้าว...ไอ้นั่นไม่ใช่ทานนะ มันเป็นการบูชา คำว่าบูชาเป็นการยอมรับนับถือ ถวายข้าวกับพระพุทธรูปนี่ไม่ใช่ถวายทาน เป็นการบูชาพระพุทธรูปใช่ไหม ถวายข้าวต่อหน้ารูปพระสงฆ์ ก็เป็นการบูชาพระสงฆ์ บูชา นี่แปลว่า การยอมรับนับถือ เป็นความดีของเขาเป็นอนุสสติ ถ้าประเภทนี้ตายแล้วลงนรกยาก โอกาสลงนรกนี่ยากจริงๆ เพราะว่าจิตไปจับทุกวันจิตเกาะอยู่ จิตต้องเกาะอยู่ ที่นี่เขาถือว่าเป็นฌาน

ถวาย ข้าวพระพุทธรูปพอถึงเวลา เราจะให้อะไรนะ หาอะไรไปถวายใช่ไหม ถวายข้าวพระพุทธรูป พระสงฆ์ถึงเวลาเราจะถวาย จิตมันคิดเสมอ นึกถึงพระสงฆ์ที่เราจะถวาย เป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธรูป เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน และนึกไว้เป็นประจำวันนี่ก็เป็นฌานด้วย นี่อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง ไม่งั้นก็เป็นพรหมเลย ถ้าบังเอิญคนที่ถวายประเภทนั้นเขาเกิดไม่นิยมร่างกาย เมื่อใกล้จะตาย พอป่วยแล้วเจ็บโน่น ปวดนี่รำคาญ ขึ้นมา เอ๊ะ..นี่ร่างกายเลวๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก ไปนิพพานทันทีเหมือนกัน นิพพานนี่ไปไม่ยาก ถ้าฉลาดนี่ไปไม่ยาก

ผู้ถาม : แค่เบื่อร่างกายตัวเดียวหรือครับ?

หลวงพ่อ : ก็เขาตัดตัวเดียวคือ สักกายทิฏฐิไง

ผู้ถาม : อ๋อ...ไม่ต้องไปไล่ตัวอื่นหรือครับ?

หลวง พ่อ : โอ้ย...ไปไล่นะซวย มันเหนื่อย การบรรลุมรรคผลน่ะเขาไม่ได้ไล่ตามลำดับหรอก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระอริยเจ้านะมี ๔ อันดับ พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ส่วนใหญ่จริงๆ ฟังเทศน์ พระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นอรหันต์ทันทีเยอะแยะ เห็นไหมล่ะ ตามพระสูตรที่เรียนมานะ บางท่านก็ติด แหงแก๋แค่พระโสดาบัน อย่างพระอานนท์นี่ ล่อพระโสดาบันซะเกือบ ๔๐ ปี ปี้ดป๊าดทีเดียวไปเป็นปฏิสัมภิทาญาณเลย และเก่งมากด้วย ใช่ไหม ก็มีหลายท่านอยู่ปุ๊บปั๊บเป็นอรหันต์ กันเป็นแถวๆ อย่างลูกศิษย์ของพระสารีบุตร เป็นอรหันต์หมดใช่ไหม ก็เยอะแยะไป ไม่จำเป็นต้องบรรลุตามลำดับ ชื่อของพระอริยะ ขั้นของพระอริยะมี ๔ ขั้นจริง แต่ไม่จำเป็นต้องบรรลุตามขั้น นี่การปฏิบัติพระกรรมฐานขอทุกคน ถ้าหวังตามขั้นก็โง่เต็มที นี่การปฏิบัติจริงเขาไม่หวังตาม ขั้นหรอก อันดับแรกสุด ถ้ากำลังเราไม่มั่นใจแน่นอนต้องยึดอารมณ์พระโสดาบันก่อน ถ้าได้ไอ้นี่แล้วก็จับพระอรหันต์ทันที
ผู้ถาม : อ๋อ...ตีข้ามกระโดดไปเลย
หลวง พ่อ : ไม่กระโดด นั่งเฉยๆ ตามแบบจริงๆ ท่านก็แนะนำแบบนั้น อย่างท่านพุทธโฆษาจารย์ ที่รจนาวิสุทธิมรรค ท่านก็บอกไว้ตรงว่า “บุคคลใดถ้าถึงพระโสดาบันในที่นั่งใด ให้ทำจิตเข้าถึงอรหันต์ใน ที่นั่งนั้นทันที” คือว่าไม่ยากอรหันต์นี่ แค่ไม่ต้องการร่างกายเท่านั้นล่ะ ถ้าไม่ต้องการจริงๆ ก็เป็นอรหันต์ ตัดตัวเดียวคือการตัดกิเลสจริง เขาตัดสักกายทิฏฐิ ที่พระไปถามพระสารีบุตรว่า "ผมเป็นปุถุชน จะเป็นพระโสดาบันเป็น อย่างไร" ก็พิจารณาร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ใช่ไหม เป็นสกิทาคามีล่ะ ก็ไอ้ตัวนี้ถ้าละเอียด ก็เป็นสกิทาคามี ถ้าผมจะเป็นอนาคามี ก็ปฏิบัติไอ้ตัวนี้จิตละเอียดลงไปอีก เบื่อหน่ายร่างกายก็เป็นอนาคามี ต้องการเป็นอรหันต์ก็ไอ้ตัวนี้ ถ้าจิตวางเฉยได้ก็เป็นอรหันต์ พระองค์นั้นก็แน่เหมือนกัน ถามอีกว่าเป็นอรหันต์แล้วไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม พระขี้เกียจนี่ พระสารีบุตรบอก ไม่ใช่ คือพระอรหันต์ทำเป็นปกติเพื่อความเป็นอยู่เป็นสุข..

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

รักพระนิพพาน หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม

รักพระนิพพาน
หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม

ผู้ถาม :- กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกรักพระนิพพานมาก ก่อนนอนชอบภาวนาว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง แต่ทำสมาธิไม่ดีเลย อย่างนี้ลูกจะไปนิพพานได้ไหมคะ ?

หลวงพ่อ :- คำว่า สมาธิ นี่มันจำเป็น แต่คนถามไม่รู้จักตัวสมาธิ ไอ้ตัวสมาธิเขาแปลว่าตามนึกถึง ถ้านึกถึงนิพพาน เขาเรียกว่าอุปสมานุสสติกรรมฐาน ทีนี้ถ้านึกถึงพระนิพพานอย่างเดียว เรารักพระนิพพาน ภาวนาว่า นิพานัง ปรมัง สุขัง บ้าง นิพพานสุขัง บ้าง นิพพานัง สุขัง บ้าง แต่ว่าก็ต้องดูอารมณ์ใจ ฝึกไว้อีกส่วนหนึ่ง คนที่จะไปนิพพานได้ต้องไม่ห่วงร่างกาย อันนี้ต้องฝึกไว้ด้วยนะ ต้องฝึกไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายมันเป็นสภาพของความทุกข์ ที่เรามีความทุกข์เกิดขึ้นทุกอย่าง

๑. ความหิว ถ้าเราไม่มีร่างกายมันก็ไม่หิว มันหิวเพราะมีร่างกาย
๒. หนาวเกินไป ร้อนเกินไป ก็เพราะร่างกาย
๓. ป่วยไข้ไม่สบาย ก็เพราะร่างกาย
๔. ต้องมีงานหนัก ก็เพราะร่างกาย
๕. การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ก็เพราะมีร่างกาย
๖. ความตายมาถึงก็เพราะร่างกาย

ก็ใช้ปัญญาทบทวนไปว่า คนระดับชั้นไหนบ้างที่มีร่างกายไม่ทุกข์ ถ้าเราจะเกิดอีกกี่ชาติ ถ้าเรามีร่างกายอย่างนี้มันก็ทุกข์อย่างนี้ แล้วขึ้นชื่อว่ามีร่างกาย มีขันธ์ ๕ แบบนี้เราจะไม่มีกับมันอีก เราต้องการจุดเดียว คือนิพพาน ทำใจแน่นอนแล้ว ภาวนาว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง ก็ได้ นิพพานัง สุขัง ก็ได้ ต้องคิดอย่างนี้ก่อนแล้วภาวนา คิดแล้วก็ภาวนาต่อไป อย่างนี้ใช้ได้

ถ้าเป็นอย่างนี้เวลาใกล้จะตายจริง ๆ อารมณ์จิตที่เราพิจารณามันจะมารวมตัว มันจะมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในร่างกาย และวางเฉยในร่างกาย จะมีความรู้สึกว่า การตายมีความสุขกว่า อย่างนี้ก็ไปนิพพาน

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558

ชายเจ้าชู้ถูกฆ่าตายไปสำนักพระยายมราชแล้วไปเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 82 หน้า 192 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

ชายเจ้าชู้ถูกฆ่าตายไปสำนักพระยายมราชแล้วไปเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์
คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 82 หน้า 192 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

     "..วัน ที่ 16 กันยายน 2531 เวลา 6.00 น. วันนี้ท่านลุงพุฒิ นุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนเป็นผ้าไหมสวยมาก ท่านมาตามอาตมาให้ไปที่สำนักงานของท่านเพราะมีเรื่องด่วน อาตมาจึงตามท่านลุงไป พอไปถึงท่านพระยายมราชก็เข้าประจำที่ ท่านเรียกชายคนหนึ่งเข้ามา ขอสมมติว่าชื่อนายจันทร์ การสอบสวนคนนี้แปลกเพราะไม่ผ่านเจ้าหน้าที่สอบสวน ท่านลุงเรียกมาหาท่านโดยตรงคงจะเป็นเพราะเวลามีน้อย ชายคนนี้ผอมหน้าตาซีดเซียว ท่าทางอิดโรยมาก ตอนหลังการสอบสวนแล้วชายผู้นี้ทำภาพเมื่อเป็นมนุษย์ให้ดู เป็นชายล่ำสัน ผิวเนื้อสองสีค่อนข้างขาว มีขี้แมลงวันขนาดเล็กมากอยู่ระหว่างคิ้วทั้งสอง แต่ใกล้คิ้วขวามาก เรื่องไฝหรือขี้แมลงวันใกล้คิ้วขวานี้เป็นสัญลักษณ์บอกว่า เป็นคนที่ได้รับความเมตตาจากผู้หญิงมาก ตามีเสน่ห์หรือมองหญิงแล้วหญิงงงทุกราย ชายคนนี้ก็มีกรรมอย่างนี้เหมือนกัน เธอตายเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2531 บ้านอยู่อีสานแต่มาทำงานกรุงเทพฯ ตายเพราะอุบัติเหตุคือ ถูกตียัดกระสอบตาย เพราะความมีเสน่ห์ของเธอ ปกติสาวชอบมาหา เธอก็เมตตาทุกราย

     และ ที่เหตุร้ายเกิดขึ้นถึงตายก็เพราะไปยุ่งกับสาวคือ เมียของนายเข้าถึงต้องตายและศพก็ถูกยัดใส่กระสอบฝังดินกลางทุ่งนา ไกลตาคนไปพบเห็น เสน่ห์มากก็มีภัยอย่างนี้ อาตมาถามเธอว่า "ทำไมทำรุ่มร่ามอย่างนี้" เธอตอบว่า "เห็นใจหญิงเธอมีความต้องการ ถ้าไม่ได้ตามความประสงค์เธอก็กลุ้ม" ถามว่า "เข้ามากรุงเทพฯ ทำงานอะไร" เธอตอบว่า "ทำทุกประเภท ก่อนตายทำงานรับจ้างเป็นงานก่อสร้าง นายเธอไม่ใช่ผู้รับเหมาแต่รับช่วงของงานมา เห็นจะเป็นหัวหน้าหน่วยงาน นายเอาเธอไปใช้ที่บ้าน เห็นทำงานคล่องและสุภาพเรียบร้อย ความสุภาพและงานดีทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ หญิงในบ้านทุกคนเมตตามีความสุข ในที่สุดเมียนายก็เมตตาด้วย เป็นเหตุให้ได้เงินใช้มากขึ้นเพราะเมียนายเมตตานี่เอง ในที่สุดก็กลายเป็นผี"

     เมื่อ ท่านลุงเรียกเข้าไป รูปร่างหน้าตาของเธอเลอะเทอะเหมือนถูกทูบตีแบบยับเยิน ท่านลุงถามว่า "เอ็งชอบไปยุ่งกับลูกเขาเมียเขาใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่" ท่านลุงถามว่า "ทำไมถึงทำเช่นนั้น" เธอตอบว่า "เห็นใจหญิง เมื่อเธอมาหาแล้วก็ไม่อยากให้เธอผิดหวัง" ท่านลุงบอกว่า "เอ็งมีบาปแต่เวลาเอ็งไปฝึกกรรมฐาน เอ็งบอกให้ข้าเป็นพยานทุกคราว ต่อไปถ้าขอให้ข้าเป็นพยานละก็ จงอย่าทำบาปนะ มันผิดระเบียบของเขา แต่เมื่อให้เป็นพยานก็จะเป็นพยานให้" ท่านพูดต่อไปว่า

ลูกศิษย์ที่ใจบุญแต่เจ้าชู้


     1) เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ ต้นเดือน เอ็งไปรับศีลแปดและปฏิบัติศีลแปดตลอด 3 วันใช่ไหม เธอตอบว่า "ใช่"

     2) เธอถวายสังฆทานถังเล็กถังละ 100 บาท รวม 17 ถังใช่ไหม เธอตอบว่า "ใช่" จากนั้นภาพสังฆทานถังเล็กก็ปรากฎตั้งเป็นแถว

     ท่าน ลุงบอกว่า "เท่านี้พอแล้วเอ็งดีมาก แต่เอ็งทำบาปวันอื่นนอกจากนั้นเล่นกาเมนอกบ้านทุกวัน เอ็งมีบาปมาก เอ็งเคยฆ่าปลา กบ เขียด งู ไก่ โกหกก็เก่ง พบสาวโสดหรือสาวมีผัวรูปร่างต้องใจเมื่อไรเป็นโกหกทุกที กลับมาบ้านยังโกหกเมียอีก ลักขโมยเธอไม่เป็น สุราเมรัยดื่มนิดหน่อยแต่มันก็เป็นบาปเขาต้องเอาลงนรก"

     พอ ท่านลุงพูดจบ เธอทำท่าจะล้ม ท่านลุงเตือนให้ยืนตรง ๆ แล้วบอกว่า "ข้ายังพูดไม่จบเลย ทำท่าจะตายแล้ว ให้พูดจบก่อนซิ" แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า "เมื่อเอ็งให้ข้าเป็นพยานบุญ ข้าก็ต้องเป็นและเบิกความให้ ข้าเป็นพยานให้แล้ว ถวายสังฆทานและรักษาศีลแปดเดือนละ 3 วัน ศีลขาดเดือนละ 27 วัน เจริญกรรมฐานเดือนละ 3 วัน ทำกาเมเดือนละ 27 วัน ไม่เลือกกลางวันหรือกลางคืน ในเมื่อมีอารมณ์เศร้าหมองสลับกับอารมณ์แจ่มใส บุญอย่างนี้ปกติไปอยู่ชั้นนิมมานรดี แต่เพราะศีลขาดมากกว่าศีลดี จิตผ่องใสน้อยกว่าจิตเจ้าชู้ วิมานเอ็งอยู่แค่ดาวดึงส์ เอ็งไปรับผลของความดีก่อนตามกำลังบุญของเอ็งก็แล้วกัน" เมื่อเธอได้ฟังอย่างนั้น รู้สึกว่าร่างกายผ่องใสขึ้นทันที สวยขึ้น ๆ ในที่สุดก็แต่งกายเป็นเทวดาสวยงามมาก ท่านลุงจึงให้เทวทูตนำไปส่งที่วิมานของเธอ

     เมื่อ เสร็จภารกิจของท่านลุงแล้ว ท่านก็มาพูดว่า ที่ท่านไปตามอาตมามาในยามเช้าก็เพราะชายผู้นี้เนื่องกับอาตมาคือเป็นลูก ศิษย์ที่ใจบุญแต่เจ้าชู้.."

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

เรียนเชิญท่านสมาชิกในกลุ่ม ร่วมเป็นเจ้าภาพฉัตรทอง ประดิษฐานบนยอดอุโบสถแก้วกลางน้ำ จำนวน ๑ ฉัตร ในนามคณะชมรมลูกหลานศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดวีระโชติธรรมาราม

เรียนเชิญท่านสมาชิกในกลุ่ม ร่วมเป็นเจ้าภาพฉัตรทอง ประดิษฐานบนยอดอุโบสถแก้วกลางน้ำ จำนวน ๑ ฉัตร ในนามคณะชมรมลูกหลานศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดวีระโชติธรรมาราม
เนื่องด้วยเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ทางหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้แจ้งว่า ฉัตรนั้นมี ๙ ฉัตร ๆ ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ยังขาดเจ้าภาพอีก ๒ ฉัตร
* หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง กล่าวว่าการสร้างเจดีย์และยกฉัตรนั้นมีอานิสงส์สูงมากแม้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็จักสำเร็จได้ในอนาคต
ดังนั้นทางอาตมาภาพพร้อมคณะศิษย์พร้อมกับคณะชมรมลูกหลานศิษย์ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน" จึงขอร่วมเป็นเจ้าภาพ ๑ ฉัตร
จึงขอเชิญชวนทุกท่านในกลุ่มร่วมเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ตั้งแต่ ๑ บาท เป็นต้นไปหรือตามกำลังศรัทธานะ
รวมบุญได้ตั้งแต่วันนี้ รวบรวมถวายปัจจัยในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๘
วัดวีระโชติธรรมาราม
มากน้อยไม่สำคัญขอให้ได้ทำก็เป็นบุญแล้วโยม
ติดได้ที่ คุณเอ็ม https://www.facebook.com/mrangsiya.rangsiya?fref=ts

ใส่บาตรแทนนาย หลวงพ่อ(ฤาษี) ตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๙

ใส่บาตรแทนนาย
หลวงพ่อ(ฤาษี) ตอบปัญหาธรรม
ฉบับพิเศษ เล่ม ๙

ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ หนูเป็นลูกจ้างเจ้านายจะต้องให้
หุงหาอาหารใส่บาตรตอนเช้าเป็นประจำ ถ้าลูกจะอธิษฐาน
ก่อนใส่บาตรโดยสมมุติตัวเองว่าเป็นเจ้าของไม่ทราบว่าลูกควร
อธิษฐานหรือเปล่า คำถวายในใจว่าอย่างไร
หลวงพ่อ : ไม่ต้องอธิษฐานหรอก บุญมันได้เต็มที่อยู่แล้ว
ได้แล้วสมบูรณ์แบบ อธิษฐานอย่างนี้ซิ “ที่ข้าพเจ้าใส่บาตร
อานิสงส์ผลการใส่บาตรนี้น่ะ ขอคำว่าไม่มีจงอย่ามีกับข้าพเจ้า
จนกว่าจะเข้านิพพาน”
ผู้ถาม : ของ ๆ เจ้านายนะครับ ไม่ใช่เป็นเจ้าของเอง
หลวงพ่อ : ของใครก็ช่างเถอะ เราใส่บาตร ไวยาวัจกร
และปิติก็ไม่เสมอกันนายอยู่ในบ้าน เราเห็นพระเรามีธรรมปิติมากกว่า
ได้กำไรมากกว่า นึกว่าต่อไปคราวหน้าไม่ได้ใส่ เจ้านายใส่เอง
เราก็สาธุซะ ยินดีด้วย นี่ยังได้อีก

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง "พระเยซู" หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ สนทนาธรรมกับ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง "พระเยซู"

หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓
สนทนาธรรมกับ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

"ฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง พระเยซู ประมาณเมื่อ ๑๐ ปี เกือบ ๒๐ ปีแล้ว ได้ไปที่บางนกแขวกที่วัดคริสต์นั่นนะ คือว่าบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ แล้วก็ชอบๆกัน เพราะสมัยนั้นฉันเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ไอ้ที่เรียนคริสต์ ไม่ใช่ไปเรียนมี่โรงเรียน แต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุลีจีน เขามาคุยแลกเปลี่ยน แต่ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกันนะ ต่อไปก็ไปที่โน่นไปเยี่ยมเขา คุยไปคุยมาเขาถามว่า ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ไหน บอกว่า รู้
ถามว่า เคยคุยไหม ก็บอกฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน ก็ถามเขาว่า แล้วพระเจ้าของแกอยู่ที่ไหน เขาบอก ไม่รู้ ถามว่า เคยเห็นไหม บอก ไม่เคยเห็น เลยบอกว่า แหม?ไอ้คนโง่ๆ ประเภทนี้ก็มีด้วย ก็คุยสนุกๆก็บอก ไอ้นั่งอยู่ที่นี่ ๕-๖ คน มันโง่ทั้งนั้น นับถือส่งเดชไม่มีหลักฐาน เขาบอกมีคำสอน ใครสอนก็ไม่รู้ บอกต้องหาตัวคนสอนให้ได้ ก็คุยสนุกสนานไป เขาเลยถามว่าท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ บอกว่า ไม่เคยสนใจ แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป
แล้วต่อมาก็กลับมาที่พัก ธรรมดาของพระ พระก่อนจะนอนก็ทำงานของพระก่อน ทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่งั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดเลยพอโผล่พลุ้บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่องระหว่างพระจุฬามณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไปเดินป๋อที ่นั่น พอขึ้นไปเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางมา เดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า พระเยซูใช่ไหม?? ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์มันจะบอกชัด จะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็บอกใช่ครับ ถามว่า ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ละ บนสวรรค์เขาแต่งตัวอย่างนี้เรอะ ท่านบอกว่า เอ้า?ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้จะสงสัย
ถ้ายังงั้นสภาพความจริงของท่านเป็นยังไง ท่านก็ทำให้ดูภาพนั้นก็หายไป กลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวแพล้บเรียกว่าจับตาเลย เป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ ถามว่า อยู่ที่ไหน บอกว่า อยู่ชั้นดุสิตพอบอกอยู่ชั้นดุสิตเราตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แหงๆ เขาไม่ใช่ต่ำนะ ก็คุยไปคุยมาบอกว่าคำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ ถามว่า ผิดยังไง ก็บอกว่า ไอ้ล้างบาป ถ่ายบาป ซื้อบาป จำนำบาปนั่นนะ ไอ้คนที่มันทำความชั่วแล้ว มันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผลนี่ เราจะเอาเงินไปแลกเนื้อใครเขาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ ท่านบอกว่าความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ความจริงที่ผมสอนนั้น สอนให้สารภาพบาป แบบกับพระแสดงอาบัตินะ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป นี่คำสอนเขาแบบนี้นะ นี่ตอนหลังเขามาเซ็งลี้กัน พอล้างบาป สารภาพบาป พอจ่ายสตางค์แล้วบาปหายเลยบาปทั้งสองคน ไอ้คนก่อนก็ไม่หมดบาปเพราะโกหกโกงสตางค์เขาอีกด้วย ก็เลยเข้าใจ
พอกลับมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูนี่เป็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิตต้องมีบารมีเข้มแข็ งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นนี้เข้าได้ ๓ พวก คือพุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว แล้วก็พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะอยู่ชั้นนี้ได้ สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ว่าใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมมาอยู่ชั้นดุสิตได้ เขาต้องเป็นพระโพธิสัตว์ มาดูอารมณ์ของท่านตอนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่าไม้กางเขนนะ คือไม้กางแขน สระแอหายไป เหลือสระเอ มันลด คือกางแขนถูกตะปูตอก ถ้าจิตไม่ดีพอเขาจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่าถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ นั่นเขาถูกเจ็บขนาดนั้น เขายังไม่โกรธ คุณลองคิดดูให้ดี ไม่ใช่เรื่องเล็กนะเขาใหญ่มาก ใช่ไหม?
ไอ้จิตเศร้าหมองนิดเดียว ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยก็ต้องลงนรกหน่อย อย่างพระนางมัลลิกาเทวี นั่นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษแกไม่มี ถ้าจิตไม่เศร้าหมองก็ไม่ลง แต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วันในมนุษย์ต้องคิด ถ้า ๗ วันแรกนรกก็ซวยเลย"

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
จากหนังสือธรรมปฏิบัติ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม ๑๗

ในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาประทับสำราญอิริยาบถ
ท่านโกมารภัจจ์ได้ยินข่าวว่า เมืองทวาราวดี เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง
มีขนบธรรมเนียมประเพณีดี มีภาษาพูดเพราะ ก็อยากจะไปเที่ยว
เมืองทวาราวดีคือเขตไทยทางด้านนครปฐม แต่ว่าทวาราวดีเวลานั้น
ก็กินเขตแดนเกือบทั้งหมดของเมืองไทยนี่เอง

เวลานั้นเขาไม่เรียกเมืองไทย เขาเรียกตามชื่อเมืองว่า เมืองทวาราวดี
ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ทูลลาองค์สมเด็จพระชินสีห์
ไปเที่ยวที่เมืองทวาราวดีอยู่เกือบ ๒ ปี ตอนนั้นท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว
คือว่าการเป็นพระโสดาบันนี่เป็นไม่ยาก คือ

๑. นึกถึงความตายเป็นอารมณ์
๒. เคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์
๓. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
๔. จิตใจต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์

พระโสดาบันเขาเป็นกันแค่นี้นะ ทุกคนก็เป็นได้

เมื่อมาถึงทวาราวดี อยู่ประมาณเกือบ ๒ ปี ท่านก็กลับ กลับแล้วก็ไปเฝ้า
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าชาวเมืองทวาราวดีนี่มีภาษาพูดที่เพราะมาก
เป็นภาษาโดด คือพูดเป็นคำๆ อย่างคำว่าไปก็ไป กินก็กิน
อย่างเวลานั้นภาษาแขกหรือชาวมคธ คำว่า “ไป” เขาก็พูดว่า “คันตวา” มันเป็นคู่

“กิน” เขาก็พูดว่า“ภุญชติ” ภุญชติล่อไป ๓ คำ กลั้วกัน คันตวาล่อไป ๓ คำ
ของเราไป ของเรากิน มันเป็นคำโดด
พอกราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าภาษาทวาราวดีเขาพูดเพราะ พูดช้าๆ ฟังสบายๆ

และก็เป็นภาษาโดด พระพุทธเจ้าจึงถามว่า ทวารวดีเขาพูดกันอย่างไร ลองพูดให้ฟังซิ

ท่านโกมารภัจจ์ก็พูดให้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี
คุยกับท่านโกมารภัจจ์อยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าสนุกสนานมาก ท่านโกมารภัจจ์ก็สนุก
ทว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะสนุกหรือไม่สนุกก็ไม่ทราบ
แต่เวลาคุยกับท่านโกมารภัจจ์ท่านคุยเป็นกันเอง คงจะสนุกเป็นพิเศษ

คุยกันไปคุยกันมา ท่านโกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดานี้

เป็นลูกชาวกรุงกบิลพัสด์ อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี่ได้เพราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณ
หรือความรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงปฏิสัมภิทาญาณนี่เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท
จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า

ที่พระองค์ตรัสภาษาทวาราวดีนี่ รู้มาเองหรือว่ารู้ด้วยอำนาจปฏิสัมภิทาญาณ
หรือว่ารู้ด้วยการพูดได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ตรัสว่า โกมารภัจจ์ ภาษาทวาราวดีนี่
เป็นภาษาเดียวกับชาวกรุงกบิลพัสด์ใช้เป็นภาษาพื้นเมือง
ฉะนั้นท่านโกมารภัจจ์ก็ทูลถามว่า ถ้าเช่นนั้น ชาวกรุงกบิลพัสด์
ก็เป็นเชื้อสายเดียวกับทวาราวดีใช่ใหม
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ตรัสว่าใช่ คือชาวกรุงกบิลพัสด์ก็ดี
ชาวกรุงทวาราวดีก็ดี เป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน
นี่ขอบรรดาท่านทั้งหลายได้โปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านความจริงเป็นคนไทย เขาเรียกว่าไทยอาหม