คำอวยพรตรุษจีน ๒๕๕๗
ขอให้ทุกท่าน ทุกคน ญาติโยมทั้งใกล้ ไกล จงมีแด่
:กงสี่ฟาไฉ 恭喜发财 คำแปล : ขอให้ร่ำรวย
:จี๋เสียงหยูอี้ 吉祥如意 คำแปล : สมปรารถนา
:เห่ายวิ่นเหนียนเหนียน 好运年年 คำแปล : โชคดีตลอดไป
:อี้ฝันฟงซุ่น 一帆风顺 คำแปล : ทุกอย่างราบรื่น
:ไฉเหยียนกว่างจิ้น 财源广进 คำแปล : เงินทองไหลมา
:เจาไฉ่จิ้นเป่า 招财进宝 คำแปล : เงินทองไหลมา
:เหนียนเหนียนโหย่วหยวี๋ 年年有余 คำแปล :เหลือกินเหลือใช้
:ซื่อซื่อซุ่นลี่ 事事顺利 คำแปล : ทุกเรื่องราบรื่น
:จินยวี้หม่านถัง 金玉满堂 คำแปล : ร่ำรวยเงินทอง
:อิ้เปิ่นว่านลี่ 一本万利 คำแปล : กำไรมากมาย
:ต้าจี๋ต้าลี่ 大吉大利 คำแปล : ค้าขายได้กำไร
:เหนียนเหนียนฟาไฉ 年年发财 คำแปล : ร่ำรายตลอดไป
:หลงหม่าจินเสิน 龙马精神 คำแปล : สุขภาพแข็งแรง
พระครูภาวนวีรคุณ วิ.
(หลวงพ่อองอาจ อาภากโร)
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557
หลวงพ่อฤาษีฯ เล่าเรื่อง...การพิจารณาโทษของพระยายม
การพิจารณาโทษของพระยายม
หลวงพ่อฤาษีฯ เล่าเรื่อง...การพิจารณาโทษของพระยายม
โพสต์ในเว็บ พลังจิต เว็บ พระพุทธศาสนา ธรรมะ พระไตรปิฎก ลึกลับ อภิญญา วิทยาศาสตร์ทางจิต Buddhism Buddhist
"........ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ เมื่อวันพุธก่อน กระผมได้นำท่านพุทธศาสนิกชนและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ ไปนั่งพักอยู่ที่ สำนักของพระยายม แล้วก็กำลังนั่งที่เก้าอี้แก้วมณี
อันนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าอาจจะสงสัยว่า "สำนักของพระยายม" สำนักนี้ ถ้าเราอ่านตามหนังสือไตรภูมิจะรู้สึกว่า เป็นสำนักที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ มีแต่บุคคลที่น่ากลัว หน้าตาถมึงทึงด้วยประการทั้งปวง
แม้แต่พระยายมเองก็เหมือนกัน นักแสดงโทรทัศน์ทำเขาให้พระยายมเสียสองเขา แสดงว่าพระยายมมีเขาและมีสภาพดุร้าย
สำหรับคนของพระยายมก็เหมือนกัน ที่เรียกกันว่า ยมทูต อันนี้ เขามีสัญญลักษณ์ มีหัวกะโหลกไขว้ และมีหัวกะโหลกเป็นสัญญลักษณ์ อันไม่จริง ความจริงคนที่เขียนอย่างนั้น เป็นการวาดภาพเอาเอง
คล้าย ๆ กับว่าการเขียนรูปของโจร โจรผู้ร้ายเขามักจะเขียนหน้าตาถมึงทึงน่ากลัว มีหนวดเครารุงรัง แต่โดยที่แท้แล้ว โจรจริง ๆ มีรูปร่างหน้าตาสะสวยยิ่งกว่าเราเสียอีก
นี่แหละบรรดาท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพที่รักฟัง ความจริงไม่ตรงกัน คือ ถ้าหากมาฟังจากพระที่ท่านท่องเที่ยวในเมืองนรกได้ ท่านบอกว่า จะมีอาการเป็น ๒ อย่างด้วยกัน การเห็นในระยะแรกถ้ากำลังฌานของเราดี แต่ว่าวิปัสสนาญาณไม่ดี จะเห็นคนในที่นั้น หน้าตาไม่สะสวยไม่งดงาม มีหน้าตาน่ากลัว
แต่มาถึงขั้นวิปัสสนาญาณดีแล้ว เรียกว่า "วิปัสสนาญาณเข้าขั้น" เข้าระดับที่ไม่ถอยหลังลงมา มีอารมณ์แจ่มใจตัดอุปาทานได้เด็ดขาด อันนี้จะเห็นสำนักของ พระยายม อีกสภาพหนึ่ง คือ เป็นสภาพที่เต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม
นี่..เรื่องของตาก็มีความสำคัญมาก ถ้าคุณตามัวเห็นของสวยก็มัวไปด้วย ส่วนคนเห็นตาดีก็เห็นได้ตามความเป็นจริง นี่ว่ากันถึงตาเนื้อ ตาเนื้อมีสภาพฉันใด ตาใจก็เหมือนกันนะ พระคุณเจ้าที่เคารพ ตาใจนี่มีความสำคัญมาก โดยมากมักจะยึดตาฌาน ตาเนื้อหรือความรู้สึก คือ มีความนึกคิดไว้ก่อนว่า สภาพของสวรรค์ เป็นยังงั้น นี่ความตรงกันระหว่างตากับความเป็นจริงมันมีอยู่ แล้วอารมณ์ของจิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตของบุคคลใดมีอุปาทานอยู่ อันนั้นจะเห็นของจริงไม่ได้ เอาละ เรื่องนี้ขอผ่านไป เพราะเป็นหลักวิชาน่าเบื่อ
เป็นอันว่า เวลานี้ท่านพุทธศาสนิกชน และพระคุณเจ้าที่กำลังติดตามรายการทัศนาจรนรก กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้แก้วมณี เห็นหรือไม่เห็น? เห็นหรือยัง? ถ้าไม่เห็นก็นึกเห็นเอาก็แล้วกัน เพราะความจริงไม่ได้พาไปจริง ๆ เป็นการเล่าสู่กันฟัง
ท่านทั้งหลายฟังไว้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติถึงแล้วจะได้ไม่สงสัยว่า สภาพของสำนักของพระยายมเป็นยังไง เวลาที่เราได้ฌานโลกีย์อย่างต่ำ หรือว่าฌานโลกีย์อย่างสูง เราเห็นสภาพเป็นยังไง มัว ๆ เหมือนกับบ้านธรรมดา หน้าตาในสำนักนั้นเหมือนคนธรรมดา
ตานี้ พระที่ท่านได้อภิญญาด้วย แล้วก็ได้อรหัตผลว่ากันยังงี้ก็แล้วกัน ได้อรหัตผลด้วย แล้วก็ทรงอภิญญาด้วย บอกว่าไม่ใช่ยังงั้น ความจริง พระยายมมีความสวยสดงดงาม มีวิมานเป็นที่อยู่ บางท่านย่องเขียนเอาไว้ว่า พระยายมเป็น "เวมานิกเปรต" เป็นเปรตจำพวกหนึ่งที่อยู่วิมาน ว่าเข้าไปนั่น นี่ไม่ใช่พระอรหันต์ว่านะ คนกินเหล้าเขียนหนังสือให้ชาวบ้านอ่าน เขาเขียนยังงั้น เขาเลยเอาอารมณ์เหล้ามาเขียน
สภาพสำนักพระยายม
เป็นอันว่า เวลานี้ท่านนั่งอยู่ใน "สำนักของพระยายม" แล้วมองดูไปข้างหน้า หันหน้าไป ทางทิศตะวันตก นะ เรานั่งทางด้านทิศตะวันออก บริเวณอาคารหลังใหญ่ ภายในเป็นห้องโถงใหญ่ มองเห็นหรือไม่เห็น ไม่เห็นก็นึกตามไปก็แล้วกัน เป็นห้องโถงใหญ่ มีทางเข้าอีกด้านหนึ่ง ทางเดียวกับที่พามา
แต่ว่าเป็นประตูที่ ๒ เข้ามาทางพื้นราบเรียบ แล้วในบริเวณนั้นตอนกลาง ๆ ตรงประตูเข้า เข้ามาพอดี มีบัลลังก์สำหรับนั่ง มีพระยายมนั่งคอยพิพากษาโทษสัตว์ คำว่า สัตว์ในที่นี้ ก็หมายถึง คนที่ลงไปในนรก ที่เขามาเชิญตัวไป มีบัลลังก์ตั้งอยู่ตรงกลาง
ด้านหน้าของพระยายม เบื้องขวามีเทวดาท่านหนึ่งนั่งอยู่ มีเครื่องทรงพื้นสีแดง เครื่องทรงประดับไปด้วยแก้วมณีแพรวพราว สวยงาม หน้าตาสดชื่น โต๊ะอีกโต๊ะหนึ่ง อยู่เบื้องซ้ายของพระยายม มีนายบัญชีใหญ่นั่งอยู่ ถือบัญชี แต่งเครื่องทรงมีพื้นเป็นสีเหลืองแล้วก็เครื่องทรง ที่เสื้อกางเกงก็ประดับไปด้วยแก้วมณี
พระยายมเองก็เหมือนกัน มีเครื่องทรงเป็นพื้นสีเหลืองเป็นทอง แล้วก็มีเครื่องประดับไปด้วยแก้วมณี ความจริง พระยายม ก็ดี เทวดา คนที่เป็นหัวหน้าใหญ่ฝ่ายติดตามคนที่ตายก็ดี นายบัญชีก็ดี มีความสวยสดงดงามหน้าตาอิ่มเอิบ สวยงาม มีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีใครหน้าบึ้งขึงจอ ไม่มีอาการดุร้าย ความโหดร้ายใด ๆ ไม่ปรากฏเลยในริ้วรอยของหน้าท่าน
อันนี้เรามาดูกันต่อไป ว่าพระยายมท่านจะทำยังไง โน่น..บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน สำนักนี้ไม่มีเวลาว่างในการชำระความ เห็นไหม ข้างหน้านั่นใครตัวใหญ่ ๆ ในมือถืออาวุธ นำคนเข้ามาประมาณสัก ๕ - ๖ คน ทุกคนที่เดินติดตามเข้ามาหน้าซีดเซียว คล้าย ๆ กับว่าจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างหนักเพราะกฎของกรรม
เมื่อเข้ามาถึงภายในแล้ว ทุกคนก็นั่งแสดงความเคารพแด่พระยายม พระยายมท่านก็หันไปถามนายบัญชีว่า คนนี้มีโทษอะไรบ้างในการทำความผิดในสมัยที่เป็นมนุษย์ นายบัญชีก็เปิดบัญชีดู แล้วก็รายงานความผิด คือ การทำความชั่วในสมัยที่เป็นมนุษย์ของคนนั้น แล้วพระยายมก็ถามเขาว่าทำความชั่วอย่างนั้นจริงไหม
เรื่องของเมืองผี เวลาเขาชำระคดี ไม่ต้องหาพยาน ผีไม่สับปลับเหมือนคน คนเรานี่หน้าตาดี ๆ นะ แต่ความจริง ความจริงใจนี่นะอาจจะหาไม่ได้สำหรับคนที่มีหน้าตาสวยแล้วก็มีฐานะดี แต่ เมืองผีไม่เป็นยังงั้น เมืองผีไม่มีอะไรโกหกกัน เมืองผีไม่มีอะไรปกปิดกัน สิ่งใดจริงเขาก็รับว่าจริง สิ่งใดไม่จริงเขาก็รับว่าไม่จริง
สมมติว่า ท่านพระยายมถามถึงความโหดร้ายต่าง ๆ ต้องรับทุกอย่าง เรื่องนั้นจริงเจ้าค่ะ เรื่องจริง จริงขอรับ รับจริงหมดทุกข้อ เรียกว่า ความผิดที่ปรากฎในบัญชีนี่รับหมดทุกข้อ ไม่มีการปฏิเสธ แล้วคราวนี้พระยายมจะทำยังไง เมื่อจำเลยสารภาพโทษ ก็สั่งจำคุกลดกึ่งหนึ่งตามอำนาจของศาลในเมืองมนุษย์ยังงั้นรึ?
ความจริงยังก่อน ท่านพุทธศานิกชน ท่านจะเห็นน้ำใจของพระยายมกันตอนนี้ ฟังให้ดีนะ ฟังกันไว้ แล้วก็จำกันไว้ รู้ตามความเป็นจริง ในเมื่อคนใดก็ตามที่เข้าไปในสำนักของพระยายม เมื่อนายบัญชีกล่าวโทษโจทย์ความผิดที่แล้วมา เมื่อจบลงไปแล้ว แล้วก็สัตว์นรก คือ คนที่ตายไปแล้วรับไปตามความเป็นจริง ตอนนี้พระยายมยังไม่สั่งตัดสิน ยังไม่ลงโทษตามกฎของนรก กลับย้อนถามถึงความดี ว่าท่านเคยอยู่ในเมืองมนุษย์น่ะ
1. เคยให้ทานไหม?
2. เคยรักษาศีลไหม?
3. เคยไปฟังเทศน์ไหม?
4. เคยเจริญสมถกรรมฐานบ้างไหม?
5. ความจริงท่านถามยาว ถามทีละข้อ ๆ
สมมติว่า เคยให้ทานแก่สัตว์เดียรัจฉานบ้างไหม? เคยให้ทานแก่คนยากจนเข็ญใจบ้างไหม? เคยช่วงสงเคราะห์ทำกิจการงานต่าง ๆ กับเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงบ้างไหม? เคยทำงานเป็นส่วนสาธารณประโยชน์บ้างไหม? เคยช่วยเขาสร้างวัดวาอารามบ้างไหม? ใครเขาบอกบุญเรี่ยไร เคยทำบุญมาบ้างไหม? เคยรักษาศีลบ้างไหม? เคยฟังเทศน์ไหม? เคยเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เคยบูชาพระ เคยไหว้พระ เคยไหว้พ่อไหว้แม่ด้วยความเคารพบ้างไหม? อย่างนี้เป็นต้น
เรียกว่า ความดีทุกอย่างที่จัดว่าเป็นบุญที่พระพุทธเจ้าทรงสอน พระยายมนำหัวข้อมาถามนำ ถ้าถามแล้ว คนที่ตายไปนั้น เรียกว่า สัตว์นรก เขายังไม่ตอบ เขายังนิ่งอยู่ ท่านก็ปล่อยให้คิดสักประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วก็ย้อนถามขึ้นต้นใหม่
รวมความว่า ถามกัน ๓ รอบ ค่อย ๆ ถามจี้จุดทีละจุด แต่ว่าท่านคนใดที่ถูกสอบสวนปรากฏไม่มีเลย นึกไม่ออก เมื่อนึกไม่ออกแล้ว ท่านก็จะบอกว่า นี่..เสียใจเหลือเกินนะ ที่ความดีที่ทำไว้นึกไม่ถึง จิตของเธอเวลาจะตาย เวลาจะมาที่นี่ จิตน้อมไปส่วนอกุศลมาก ก็เห็นจะต้องเป็นไปตามกฎของกรรม ท่านว่าอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า
เอ้า..ถ้ายังงั้น ถ้านึกถึงความดีที่ทำไม่ได้ละก้อ ก็เป็นไปตามกฎของกรรม แล้วต่อจากนั้นไปนายนิริยบาล (ผีรักษานรก) ก็นำลงนรกไป ไปที่ทะเลเพลิง ไปตามอำนาจของความผิด นี่ดูจริยาของพระยายม
แล้วบรรดาท่านพุทธศานิกชนที่มาด้วย นั่งฟังแล้วก็นั่งดู ดูหน้าของพระยายม ดูหน้าของเทวดาฝ่ายติดตามคน คือ หัวหน้าใหญ่นะ ดูหน้าของนายบัญชี ทุกคนมีแต่อารมณ์ยิ้มระรื่นชื่นใจ น่าชื่นใจ รูปร่างหน้าตาก็อิ่มเอิบสวยสดงดงาม มีผิวเนื้อละเอียดค่อนข้างเหลือง นี่..เราจะเห็นถึงความดุร้ายได้ยังไง
ตานี้ สมมติว่าบังเอิญที่เขาถามถึงความผิด สัตว์นรกรับหมด แต่ว่ามาถามถึงความดี พอถามถึงความดีเข้า บังเอิญสัตว์นรกคนใดคนหนึ่งก็ตาม นึกถึงความดีอย่างใดอย่างหนึ่งได้
สมมติว่าเขาถามถึงว่า เคยปล่อยสัตว์ที่มันจะถึงแก่ความตายบ้างไหม? ให้มันรอดจากความตาย ถ้าคนนั้นนึกขึ้นมาได้ว่า เคยปล่อย คำเดียวเท่านี้แหละ โทษกรรมใหญ่ ๆ ที่เคยทำมาแล้วทั้งหมด พระยายมบอกว่า งดไว้ก่อน ขอให้งดไว้ก่อน นี่ ความดีของเขายังมีอยู่ ให้ไปรับผลของความดีก่อน
เห็นไหม..น้ำใจของพระยายม น้ำใจของเจ้าหน้าที่ในสำนักของพระยายม ไม่ใช่น้ำใจของสัตว์นรก เป็นน้ำใจของพรหม พระยายมก็ดี นายบัญชีก็ดี เทวดาผู้เป็นหัวหน้าติดตามคนก็ตาม มีน้ำใจเต็มไปด้วยพรหมวิหารสี่
ฉะนั้น สำนักของพระยายมนี้จึงไม่มีใครรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว คนที่ทรงพรหมวิหารสี่ มีเมตตาเป็นปุเรจาริก คือ หน้าคอยยิ้มเสมอ อารมณ์สดชื่น แล้วน้ำใจก็สดชื่น แล้วจะมีอะไรเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวไม่มี หนังสือเขาเขียนผิดไปเองต่างหาก เขาเข้าใจพลาดไป คิดว่าสำนักของพระยายมมีแต่คนโหดร้าย
ที่มา : http://board.palungjit.org/f23/การพิจารณาโทษของพระยายม-408764.html
หลวงพ่อฤาษีฯ เล่าเรื่อง...การพิจารณาโทษของพระยายม
โพสต์ในเว็บ พลังจิต เว็บ พระพุทธศาสนา ธรรมะ พระไตรปิฎก ลึกลับ อภิญญา วิทยาศาสตร์ทางจิต Buddhism Buddhist
"........ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ เมื่อวันพุธก่อน กระผมได้นำท่านพุทธศาสนิกชนและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ ไปนั่งพักอยู่ที่ สำนักของพระยายม แล้วก็กำลังนั่งที่เก้าอี้แก้วมณี
อันนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าอาจจะสงสัยว่า "สำนักของพระยายม" สำนักนี้ ถ้าเราอ่านตามหนังสือไตรภูมิจะรู้สึกว่า เป็นสำนักที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ มีแต่บุคคลที่น่ากลัว หน้าตาถมึงทึงด้วยประการทั้งปวง
แม้แต่พระยายมเองก็เหมือนกัน นักแสดงโทรทัศน์ทำเขาให้พระยายมเสียสองเขา แสดงว่าพระยายมมีเขาและมีสภาพดุร้าย
สำหรับคนของพระยายมก็เหมือนกัน ที่เรียกกันว่า ยมทูต อันนี้ เขามีสัญญลักษณ์ มีหัวกะโหลกไขว้ และมีหัวกะโหลกเป็นสัญญลักษณ์ อันไม่จริง ความจริงคนที่เขียนอย่างนั้น เป็นการวาดภาพเอาเอง
คล้าย ๆ กับว่าการเขียนรูปของโจร โจรผู้ร้ายเขามักจะเขียนหน้าตาถมึงทึงน่ากลัว มีหนวดเครารุงรัง แต่โดยที่แท้แล้ว โจรจริง ๆ มีรูปร่างหน้าตาสะสวยยิ่งกว่าเราเสียอีก
นี่แหละบรรดาท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพที่รักฟัง ความจริงไม่ตรงกัน คือ ถ้าหากมาฟังจากพระที่ท่านท่องเที่ยวในเมืองนรกได้ ท่านบอกว่า จะมีอาการเป็น ๒ อย่างด้วยกัน การเห็นในระยะแรกถ้ากำลังฌานของเราดี แต่ว่าวิปัสสนาญาณไม่ดี จะเห็นคนในที่นั้น หน้าตาไม่สะสวยไม่งดงาม มีหน้าตาน่ากลัว
แต่มาถึงขั้นวิปัสสนาญาณดีแล้ว เรียกว่า "วิปัสสนาญาณเข้าขั้น" เข้าระดับที่ไม่ถอยหลังลงมา มีอารมณ์แจ่มใจตัดอุปาทานได้เด็ดขาด อันนี้จะเห็นสำนักของ พระยายม อีกสภาพหนึ่ง คือ เป็นสภาพที่เต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม
นี่..เรื่องของตาก็มีความสำคัญมาก ถ้าคุณตามัวเห็นของสวยก็มัวไปด้วย ส่วนคนเห็นตาดีก็เห็นได้ตามความเป็นจริง นี่ว่ากันถึงตาเนื้อ ตาเนื้อมีสภาพฉันใด ตาใจก็เหมือนกันนะ พระคุณเจ้าที่เคารพ ตาใจนี่มีความสำคัญมาก โดยมากมักจะยึดตาฌาน ตาเนื้อหรือความรู้สึก คือ มีความนึกคิดไว้ก่อนว่า สภาพของสวรรค์ เป็นยังงั้น นี่ความตรงกันระหว่างตากับความเป็นจริงมันมีอยู่ แล้วอารมณ์ของจิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตของบุคคลใดมีอุปาทานอยู่ อันนั้นจะเห็นของจริงไม่ได้ เอาละ เรื่องนี้ขอผ่านไป เพราะเป็นหลักวิชาน่าเบื่อ
เป็นอันว่า เวลานี้ท่านพุทธศาสนิกชน และพระคุณเจ้าที่กำลังติดตามรายการทัศนาจรนรก กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้แก้วมณี เห็นหรือไม่เห็น? เห็นหรือยัง? ถ้าไม่เห็นก็นึกเห็นเอาก็แล้วกัน เพราะความจริงไม่ได้พาไปจริง ๆ เป็นการเล่าสู่กันฟัง
ท่านทั้งหลายฟังไว้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติถึงแล้วจะได้ไม่สงสัยว่า สภาพของสำนักของพระยายมเป็นยังไง เวลาที่เราได้ฌานโลกีย์อย่างต่ำ หรือว่าฌานโลกีย์อย่างสูง เราเห็นสภาพเป็นยังไง มัว ๆ เหมือนกับบ้านธรรมดา หน้าตาในสำนักนั้นเหมือนคนธรรมดา
ตานี้ พระที่ท่านได้อภิญญาด้วย แล้วก็ได้อรหัตผลว่ากันยังงี้ก็แล้วกัน ได้อรหัตผลด้วย แล้วก็ทรงอภิญญาด้วย บอกว่าไม่ใช่ยังงั้น ความจริง พระยายมมีความสวยสดงดงาม มีวิมานเป็นที่อยู่ บางท่านย่องเขียนเอาไว้ว่า พระยายมเป็น "เวมานิกเปรต" เป็นเปรตจำพวกหนึ่งที่อยู่วิมาน ว่าเข้าไปนั่น นี่ไม่ใช่พระอรหันต์ว่านะ คนกินเหล้าเขียนหนังสือให้ชาวบ้านอ่าน เขาเขียนยังงั้น เขาเลยเอาอารมณ์เหล้ามาเขียน
สภาพสำนักพระยายม
เป็นอันว่า เวลานี้ท่านนั่งอยู่ใน "สำนักของพระยายม" แล้วมองดูไปข้างหน้า หันหน้าไป ทางทิศตะวันตก นะ เรานั่งทางด้านทิศตะวันออก บริเวณอาคารหลังใหญ่ ภายในเป็นห้องโถงใหญ่ มองเห็นหรือไม่เห็น ไม่เห็นก็นึกตามไปก็แล้วกัน เป็นห้องโถงใหญ่ มีทางเข้าอีกด้านหนึ่ง ทางเดียวกับที่พามา
แต่ว่าเป็นประตูที่ ๒ เข้ามาทางพื้นราบเรียบ แล้วในบริเวณนั้นตอนกลาง ๆ ตรงประตูเข้า เข้ามาพอดี มีบัลลังก์สำหรับนั่ง มีพระยายมนั่งคอยพิพากษาโทษสัตว์ คำว่า สัตว์ในที่นี้ ก็หมายถึง คนที่ลงไปในนรก ที่เขามาเชิญตัวไป มีบัลลังก์ตั้งอยู่ตรงกลาง
ด้านหน้าของพระยายม เบื้องขวามีเทวดาท่านหนึ่งนั่งอยู่ มีเครื่องทรงพื้นสีแดง เครื่องทรงประดับไปด้วยแก้วมณีแพรวพราว สวยงาม หน้าตาสดชื่น โต๊ะอีกโต๊ะหนึ่ง อยู่เบื้องซ้ายของพระยายม มีนายบัญชีใหญ่นั่งอยู่ ถือบัญชี แต่งเครื่องทรงมีพื้นเป็นสีเหลืองแล้วก็เครื่องทรง ที่เสื้อกางเกงก็ประดับไปด้วยแก้วมณี
พระยายมเองก็เหมือนกัน มีเครื่องทรงเป็นพื้นสีเหลืองเป็นทอง แล้วก็มีเครื่องประดับไปด้วยแก้วมณี ความจริง พระยายม ก็ดี เทวดา คนที่เป็นหัวหน้าใหญ่ฝ่ายติดตามคนที่ตายก็ดี นายบัญชีก็ดี มีความสวยสดงดงามหน้าตาอิ่มเอิบ สวยงาม มีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีใครหน้าบึ้งขึงจอ ไม่มีอาการดุร้าย ความโหดร้ายใด ๆ ไม่ปรากฏเลยในริ้วรอยของหน้าท่าน
อันนี้เรามาดูกันต่อไป ว่าพระยายมท่านจะทำยังไง โน่น..บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน สำนักนี้ไม่มีเวลาว่างในการชำระความ เห็นไหม ข้างหน้านั่นใครตัวใหญ่ ๆ ในมือถืออาวุธ นำคนเข้ามาประมาณสัก ๕ - ๖ คน ทุกคนที่เดินติดตามเข้ามาหน้าซีดเซียว คล้าย ๆ กับว่าจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างหนักเพราะกฎของกรรม
เมื่อเข้ามาถึงภายในแล้ว ทุกคนก็นั่งแสดงความเคารพแด่พระยายม พระยายมท่านก็หันไปถามนายบัญชีว่า คนนี้มีโทษอะไรบ้างในการทำความผิดในสมัยที่เป็นมนุษย์ นายบัญชีก็เปิดบัญชีดู แล้วก็รายงานความผิด คือ การทำความชั่วในสมัยที่เป็นมนุษย์ของคนนั้น แล้วพระยายมก็ถามเขาว่าทำความชั่วอย่างนั้นจริงไหม
เรื่องของเมืองผี เวลาเขาชำระคดี ไม่ต้องหาพยาน ผีไม่สับปลับเหมือนคน คนเรานี่หน้าตาดี ๆ นะ แต่ความจริง ความจริงใจนี่นะอาจจะหาไม่ได้สำหรับคนที่มีหน้าตาสวยแล้วก็มีฐานะดี แต่ เมืองผีไม่เป็นยังงั้น เมืองผีไม่มีอะไรโกหกกัน เมืองผีไม่มีอะไรปกปิดกัน สิ่งใดจริงเขาก็รับว่าจริง สิ่งใดไม่จริงเขาก็รับว่าไม่จริง
สมมติว่า ท่านพระยายมถามถึงความโหดร้ายต่าง ๆ ต้องรับทุกอย่าง เรื่องนั้นจริงเจ้าค่ะ เรื่องจริง จริงขอรับ รับจริงหมดทุกข้อ เรียกว่า ความผิดที่ปรากฎในบัญชีนี่รับหมดทุกข้อ ไม่มีการปฏิเสธ แล้วคราวนี้พระยายมจะทำยังไง เมื่อจำเลยสารภาพโทษ ก็สั่งจำคุกลดกึ่งหนึ่งตามอำนาจของศาลในเมืองมนุษย์ยังงั้นรึ?
ความจริงยังก่อน ท่านพุทธศานิกชน ท่านจะเห็นน้ำใจของพระยายมกันตอนนี้ ฟังให้ดีนะ ฟังกันไว้ แล้วก็จำกันไว้ รู้ตามความเป็นจริง ในเมื่อคนใดก็ตามที่เข้าไปในสำนักของพระยายม เมื่อนายบัญชีกล่าวโทษโจทย์ความผิดที่แล้วมา เมื่อจบลงไปแล้ว แล้วก็สัตว์นรก คือ คนที่ตายไปแล้วรับไปตามความเป็นจริง ตอนนี้พระยายมยังไม่สั่งตัดสิน ยังไม่ลงโทษตามกฎของนรก กลับย้อนถามถึงความดี ว่าท่านเคยอยู่ในเมืองมนุษย์น่ะ
1. เคยให้ทานไหม?
2. เคยรักษาศีลไหม?
3. เคยไปฟังเทศน์ไหม?
4. เคยเจริญสมถกรรมฐานบ้างไหม?
5. ความจริงท่านถามยาว ถามทีละข้อ ๆ
สมมติว่า เคยให้ทานแก่สัตว์เดียรัจฉานบ้างไหม? เคยให้ทานแก่คนยากจนเข็ญใจบ้างไหม? เคยช่วงสงเคราะห์ทำกิจการงานต่าง ๆ กับเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงบ้างไหม? เคยทำงานเป็นส่วนสาธารณประโยชน์บ้างไหม? เคยช่วยเขาสร้างวัดวาอารามบ้างไหม? ใครเขาบอกบุญเรี่ยไร เคยทำบุญมาบ้างไหม? เคยรักษาศีลบ้างไหม? เคยฟังเทศน์ไหม? เคยเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เคยบูชาพระ เคยไหว้พระ เคยไหว้พ่อไหว้แม่ด้วยความเคารพบ้างไหม? อย่างนี้เป็นต้น
เรียกว่า ความดีทุกอย่างที่จัดว่าเป็นบุญที่พระพุทธเจ้าทรงสอน พระยายมนำหัวข้อมาถามนำ ถ้าถามแล้ว คนที่ตายไปนั้น เรียกว่า สัตว์นรก เขายังไม่ตอบ เขายังนิ่งอยู่ ท่านก็ปล่อยให้คิดสักประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วก็ย้อนถามขึ้นต้นใหม่
รวมความว่า ถามกัน ๓ รอบ ค่อย ๆ ถามจี้จุดทีละจุด แต่ว่าท่านคนใดที่ถูกสอบสวนปรากฏไม่มีเลย นึกไม่ออก เมื่อนึกไม่ออกแล้ว ท่านก็จะบอกว่า นี่..เสียใจเหลือเกินนะ ที่ความดีที่ทำไว้นึกไม่ถึง จิตของเธอเวลาจะตาย เวลาจะมาที่นี่ จิตน้อมไปส่วนอกุศลมาก ก็เห็นจะต้องเป็นไปตามกฎของกรรม ท่านว่าอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า
เอ้า..ถ้ายังงั้น ถ้านึกถึงความดีที่ทำไม่ได้ละก้อ ก็เป็นไปตามกฎของกรรม แล้วต่อจากนั้นไปนายนิริยบาล (ผีรักษานรก) ก็นำลงนรกไป ไปที่ทะเลเพลิง ไปตามอำนาจของความผิด นี่ดูจริยาของพระยายม
แล้วบรรดาท่านพุทธศานิกชนที่มาด้วย นั่งฟังแล้วก็นั่งดู ดูหน้าของพระยายม ดูหน้าของเทวดาฝ่ายติดตามคน คือ หัวหน้าใหญ่นะ ดูหน้าของนายบัญชี ทุกคนมีแต่อารมณ์ยิ้มระรื่นชื่นใจ น่าชื่นใจ รูปร่างหน้าตาก็อิ่มเอิบสวยสดงดงาม มีผิวเนื้อละเอียดค่อนข้างเหลือง นี่..เราจะเห็นถึงความดุร้ายได้ยังไง
ตานี้ สมมติว่าบังเอิญที่เขาถามถึงความผิด สัตว์นรกรับหมด แต่ว่ามาถามถึงความดี พอถามถึงความดีเข้า บังเอิญสัตว์นรกคนใดคนหนึ่งก็ตาม นึกถึงความดีอย่างใดอย่างหนึ่งได้
สมมติว่าเขาถามถึงว่า เคยปล่อยสัตว์ที่มันจะถึงแก่ความตายบ้างไหม? ให้มันรอดจากความตาย ถ้าคนนั้นนึกขึ้นมาได้ว่า เคยปล่อย คำเดียวเท่านี้แหละ โทษกรรมใหญ่ ๆ ที่เคยทำมาแล้วทั้งหมด พระยายมบอกว่า งดไว้ก่อน ขอให้งดไว้ก่อน นี่ ความดีของเขายังมีอยู่ ให้ไปรับผลของความดีก่อน
เห็นไหม..น้ำใจของพระยายม น้ำใจของเจ้าหน้าที่ในสำนักของพระยายม ไม่ใช่น้ำใจของสัตว์นรก เป็นน้ำใจของพรหม พระยายมก็ดี นายบัญชีก็ดี เทวดาผู้เป็นหัวหน้าติดตามคนก็ตาม มีน้ำใจเต็มไปด้วยพรหมวิหารสี่
ฉะนั้น สำนักของพระยายมนี้จึงไม่มีใครรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว คนที่ทรงพรหมวิหารสี่ มีเมตตาเป็นปุเรจาริก คือ หน้าคอยยิ้มเสมอ อารมณ์สดชื่น แล้วน้ำใจก็สดชื่น แล้วจะมีอะไรเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวไม่มี หนังสือเขาเขียนผิดไปเองต่างหาก เขาเข้าใจพลาดไป คิดว่าสำนักของพระยายมมีแต่คนโหดร้าย
ที่มา : http://board.palungjit.org/f23/การพิจารณาโทษของพระยายม-408764.html
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557
เรื่องที่ ๑๖ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ก่อนสิ้นชีพิตักษัยทรงเปล่งวาจาว่า "หญิงขอลาไปนิพพาน" จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
เรื่องที่ ๑๖
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิ งวิภาวดี รังสิต ก่อนสิ้นชีพิตักษัยทรงเปล่ง วาจาว่า "หญิงขอลาไปนิพพาน"
จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน
"..เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมาได้มีโอกาสเดินทางไปเย ี่ยมตำรวจตระเวนชายแดนทางภา คใต้กับ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต คืนวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมานอนพักที่กองกำกับการต ำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ พอ ๖ ทุ่มเศษก็ตื่นดูนาฬิกา คิดว่าเมื่อคืนที่แล้วก็ตื่ น ๖ ทุ่มเศษ ที่คลองปางมีเรื่องตำรวจตระ เวนชายแดนถูกยิง วันนี้ก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษอีก ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอะไรอี ก พอตื่นขึ้นมาแล้วก็นอนไม่หล ับ จึงทำสมณธรรมตามแบบพระ พระมีกิจที่ต้องทำอันหนึ่งค ือ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วต้องทำส มณธรรม เมื่อทำไปจิตถึงที่สุดเวลาป ระมาณตี ๒ ปรากฏว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศม ี ๖ ประการปรากฏชัด มีแสงสว่างไสวเหมือนไฟฟ้าสั กแสนแรงเทียนในห้อง เมื่อแสงสว่างหายไปก็ปรากฏร ูปพระคล้ายพระสงฆ์มีความสวย สดงดงามมาก มีแสง ๖ สีพุ่งออกจากพระวรกาย ถ้าภาพอย่างนี้ปรากฏทางพระพ ุทธศาสนาท่านเรียกว่าเป็นอง ค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ า เมื่อปรากฏเป็นพระรูปพระโฉม ขึ้นมาแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ ์แล้วก็ตรัสว่า "วิภาวดี เสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีต่อ ไปอีก" คำว่า "เสร็จกิจ" ก็หมายถึง "กิจที่จะต้องปฏิบัติตัดกิเ ลสเป็นสมุจเฉทประหารไม่มีแล ้วที่จะต้องทำ" เมื่อมีพระสุรเสียงตรัสจบแล ้วภาพนั้นก็หายไป อาตมาก็คิดในใจว่า เสียงอย่างนี้ ภาพอย่างนี้ เราเคยพบ เมื่อตรัสอย่างนี้เป็นพุทธพ ยากรณ์ ก็แสดงว่าท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ต้องเป็นพระอรหันต์ พูดกันตามทัศนะถ้าหากว่าเป็ นอย่างนั้น เมื่อเสียงหมดไปภาพหายไป อาตมาก็นอนไม่หลับเพราะไม่อ ยากจะหลับ ก็เจริญสมณธรรมเรื่อยไป ปรากฏว่าเวลา ๔ นาฬิกามีภาพประหลาดเกิดขึ้น เป็นภาพดวงไฟเล็กดวงนิดเดีย วมีความร้ายแรงมากร้อนจัด และมีภาพ พันตำรวจโท สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแ ดนเขต ๘ ยืนอยู่แล้วล้มลงทับภาพดวงไ ฟนั้น แล้วลุกขึ้นมาจากไฟแต่ไม่ไห ม้ แล้วภาพไฟก็หายไป เมื่อเห็นภาพนี้ก็เข้าใจว่า วันพรุ่งนี้เหตุร้ายจะต้องเ กิดกับเราแล้ว และก็เป็นเหตุร้ายที่เราแก้ ไขไม่ได้เพราะภาพไฟที่ปรากฏ ร้ายแรงมาก พยายามดับเท่าไรก็ไม่ดับ ความร้ายแรงของไฟไม่สลายตัว และก็ไม่ย่อหย่อนลงไป
ความจริงท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นลูกศิษย์เจริญพระกรรมฐา นกับอาตมาเป็นเวลา ๘ เดือน หลังจากที่ท่านมาเรียนพระกร รมฐานด้วยสัก ๗ วัน ไม่ใช่เกาะครูเป็นแต่เพียงม าศึกษาพอเข้าใจแล้วก็กลับไป ปฏิบัติเอง ๗ วันผ่านไปก็ปรากฏว่าท่านได้ ธรรมปีติเป็นกรณีพิเศษเป็น อุพเพงคาปีติ สามารถควบคุมสมาธิได้ตามเวล าที่ต้องการ หลังจากนั้นท่านก็เจริญวิปั สสนาญาณ เพราะกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ สมถภาวนาด้านสมาธิจิตซึ่งต้ องควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ถ้าฝึกเฉพาะสมถภาวนาไม่ฝึกค วบคู่กับวิปัสสนาญาณ ก็เอาดีไม่ได้ เมื่อสมาธิเข้มข้นดีแต่วิปั สสนายังอ่อน ตอนหลังท่านก็พยายามฝึกควบว ิปัสสนาญาณให้มีความเข้มแข็ งเท่าสมาธิจิต
จากนั้นมาท่านหญิงวิภาวดีก็ ตรัสเป็นปกติว่า "ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความห มาย" ความหมายของท่านก็คือ "พระนิพพาน" ฉะนั้นทรัพย์สินใดๆ ที่มีอยู่ก็ดีไม่ต้องการสะส มไว้ มีความต้องการอย่างเดียวคือ "ทำอย่างไรชาวไทยทั้งประเทศ จึงจะมีความสุข" ท่านเสียสละทุกอย่าง ทรัพย์สินส่วนพระองค์ท่านเส ียสละมาก
การเจริญพระกรรมฐานของท่านเ ข้าถึงจุดปลายคือเปล่งวาจา "ต้องการพระนิพพาน" ก่อนสิ้นชีพิตักษัยประมาณ ๓ เดือน พบหน้าใครท่านก็พูดว่า "ทรัพย์สมบัติในวังวิทยุไม่ มีความหมาย ชีวิตไม่มีความหมาย ฉันต้องการอย่างเดียวคือพระ นิพพาน" แสดงว่าท่านมีจิตใจจับพระนิ พพานเป็นอารมณ์จริงๆ มาเป็นเวลา ๓ เดือน ถ้าพูดกันตามพระไตรปิฎก คนที่จะมีอารมณ์รักพระนิพพา นจริงๆ ก็ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ท่านหญิงตอนนั้นจะเป็นพร ะโสดาบันหรือไม่นั้น อาตมาไม่รับรองเพราะไม่ใช่พ ระพุทธเจ้า พูดตามอาการที่ปรากฏ
รุ่งเช้าวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เวลาก่อน ๗ นาฬิกา อาตมาก็รีบไปที่โรงปูนซิเมน ต์ที่พักของท่านหญิงวิภาวดี ก่อนขึ้นฮ. ก็ประชุมกันก่อนว่า วันนี้เราจะไปพระแสงกับเคีย นซา แต่ก่อนไปต้องไปรับตำรวจที่ บาดเจ็บ ๒ คนที่บ้านหลังคลองที่ไปเมื่ อวันวาน และการไปคราวนี้ขอให้คนที่ไ ปกับฮ. ลงที่กองร้อย ๓ ตำรวจตระเวนชายแดนซึ่งอยู่ห ่างจากสถานที่ที่จะไปรับตำร วจบาดเจ็บ ๑ กิโลเมตร แม้แต่ท่านหญิงวิภาวดีก็ต้อ งลงเช่นเดียวกัน ขอให้ฮ. ไปรับโดยเฉพาะแล้วนำตำรวจบา ดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลสุราษฎร ์ธานี แวะเติมน้ำมันก่อนแล้วกลับม ารับพวกเราประมาณเที่ยง หลังจากฉันเพลที่กองร้อย ๓ ตชด.แล้ว พวกเราจะไปเคียนซากับพระแสง ไปเยี่ยมตำรวจอีก ๒ จุด แต่อาตมาก็บอกทุกคนว่า "วันนี้พวกเราสู้เขาไม่ได้ ไม่เหมือนเมื่อวานนี้เราสู้ เขาได้ เราจึงกล้าลงกลางฐานที่ตั้ง ของเขานับจำนวนร้อยที่ติดอา วุธ เราก็กล้าลง แต่วันนี้เราทำอย่างนั้นไม่ ได้ เพราะเป็นวันเปิดเราสู้เขาไ ม่ได้"
ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดท ราบว่า คนเราที่บอกว่าเก่ง หนังเหนียว เนื้อเหนียว กระดูกเหนียว ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้าก็ตาม ทั้งๆ ที่คล้องพระอยู่ แต่วันหนึ่งก็ถูกยิงตายได้ถ ้าเป็นวันเปิด เป็นอันว่าถ้าวันเปิดประสบก ับใครก็ตาม คนนั้นไม่สามารถเอาชีวิตรอด ได้ และวันนั้นความจริงอาตมาก็ท ราบว่า ถ้าร่วมไปที่บ้านหลังคลองก็ ดี ที่เคียนซาหรือที่พระแสงก็ด ี อาตมาเองก็จะถูกยิงที่ขาต่ำ กว่าเข่า ไม่ถูกกระดูกแต่ถูกเนื้อตรง น่อง แต่ก็ตั้งใจว่าเมื่อพูดว่าจ ะไปแล้วก็ต้องไป ชีวิตตำรวจทหารเขาเสียสละได ้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย ก็ไอ้เลือดเรานิดหนึ่งไม่เก ิน ๑๐๐ ซีซี ที่ต้องหลั่งไหลออกจากกาย เพราะการเข้าไปเยี่ยมคนที่ม ีคุณ ทำไมเราจะสละไม่ได้ เป็นอันว่าวันนั้นยอมเสียเล ือดเพราะรู้แล้วว่าถ้าไปก็เ สียเลือดตัวเอง จะคุ้มครองไม่ได้
สำหรับท่านหญิงวิภาวดีอาตมา ก็หนักใจมาก เพราะนิมิตตอนกลางคืนบอกชัด ว่าอย่างไรก็ตาม "วันนี้ท่านหญิงวิภาวดี จะไม่สิ้นชีวิตไม่ได้ เพราะว่าเป็นจุดจบ" ถ้าพุทธพยากรณ์นั้นเป็นจริง คือว่า "ตามธรรมดาฆราวาสถ้าเป็นพระ อรหันต์วันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน" การนิพพานของพระอรหันต์ที่ย ังเป็นฆราวาสที่ไม่สามารถบว ชเป็นพระได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงบว ชไม่ได้ ผู้ชายถ้าบวชทันได้ไม่เป็นไ ร
ฉะนั้น "การนิพพานของพระอรหันต์ที่ ยังเป็นฆราวาสนี่ ก็ต้องนิพพานด้วยอุบัติเหตุ " อย่างในสมัยเมื่อองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพ ระชนม์อยู่ เมื่อบุคคลใดได้บรรลุอรหัตผ ล องค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบว่ า ถ้าเขาไม่เคยถวายผ้าไตรจีวร ไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อ น ถ้าพระองค์ตรัสว่า "เอหิภิกขุ" แปลว่า "เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด" ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธ ิ์ก็ไม่มี เป็นอันว่าการบวชไม่สมบูรณ์ แบบ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ถ้าเธอจะบวช ขอให้เธอไปหาผ้าจีวรมาก่อน ได้ผ้ามาแล้วตถาคตจะบวชให้" แล้วท่านผู้นั้นเดินไปหาผ้า ทีไร ก็ถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตายท ุกที จะนิพพานโดยลักษณะนั้น สำหรับท่านหญิงวิภาวดีก็เช่ นเดียวกัน ปัจจุบันหาวัวแม่ลูกอ่อนไม่ ได้ ถ้าจะให้รถชนตายเจ้าของรถก็ มีความผิด จะให้ตกต้นไม้ตาย ท่านก็ไม่ได้ขึ้นต้นไม้ เพราะการตายของพระอรหันต์จะ ต้องไม่มีโทษแก่บุคคลที่ทำใ ห้ตาย เมื่อข้าศึกยิงมาข้าศึกไม่ม ีโทษเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นค นยิง เมื่ออาตมาทราบอย่างนี้ก็เล ยเตือนท่านว่า "ท่านหญิง วันนี้เราสู้เขาไม่ได้ ยังไงๆ ที่บ้านหลังคลองท่านหญิงจะไ ปไม่ได้ ต้องลงพร้อมกับอาตมาที่กองร ้อย ๓" ท่านก็ตกลง
เมื่อถึงกองร้อย ๓ เครื่องบินส่งพวกเราลงกันหม ด พอเครื่องบินขึ้นปรากฏว่าท่ านหญิงวิภาวดีไม่ลง พอเหลียวไปดูถาม พระครูบาธรรมชัย ที่ไปด้วยกันว่า "หลวงปู่ ท่านหญิงไม่ลงรึ" เพราะท่านลงทีหลัง หลวงปู่บอกว่า "ท่านหญิงเขียนจดหมายใส่ย่า มมาให้" ขณะกำลังอ่านอยู่นั่นเอง เจ้าหน้าที่วิทยุวิ่งมาแจ้ง ว่า "หลวงพ่อครับ เครื่องบินเราถูกยิง" พอเขาบอกเท่านั้นก็บอกเขาไป ว่า "เราเสียท่าเขาแล้ว"
ต่อจากนั้นตำรวจก็เอารถยนต์ มารับอาตมาไปที่เครื่องบินล งที่บ้านส้อง ไปถึงก็พบว่าเครื่องบินถูกย ิง ๙๘ รู แต่ทะลุเพียงนัดเดียวนอกนั้ นไม่ทะลุเครื่องบินเลย กระสุนนัดนั้นแหละที่สังหาร ท่านหญิงวิภาวดี คือทะลุท้องเครื่องบินขึ้นม าทะลุหัวรองเท้าของผู้กำกับ ฯ สุดินทร์ แล้วทะลุเข้าข้างหลังท่านหญ ิงวิภาวดี เมื่อรู้ว่า ฮ.ถูกยิงทุกคนก็เข้าล้อมท่า นหญิงหมด แต่จุดที่คนล้อมกระสุนไม่เข ้าแต่ไปเข้าจุดว่าง เมื่ออาตมาไปถึงเห็นท่านหญิ งนอนนิ่ง จึงขึ้นไปบนเครื่องบินก็ทำพ ิธีแบบพระ "ขออาราธนาบารมีขององค์สมเด ็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด อาราธนาขอให้บรรเทาทุกขเวทน าของท่าน" เพราะทราบว่าท่านเจ็บมาก เห็นท่านนอนเฉยๆ จึงถามว่า "ท่านหญิงปวดไหม" ท่านก็ตรัสว่า "ปวดเจ้าค่ะ หายใจขัดๆ"
แล้วท่านก็เปล่งวาจาดังๆ ว่า "โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ไม่ต้องการอีก ขอไปนิพพาน ขอลาไปนิพพาน" แล้วก็เปล่งวาจาดังขึ้นอีกว ่า "หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพร ะเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ และทูลท่านชายปิยะให้ทรงทรา บด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน" แล้วท่านก็เปล่งวาจาอีกว่า "นิพพาน นิพพาน นิพพาน" นิ่งสักประเดี๋ยวเวลาผ่านไป ๓ นาทีได้ ท่านก็เปล่งเสียงดังๆ ว่า "โอ สว่างแล้วๆ เห็นนิพพานแล้วๆ นิพพานสวยเหลือเกิน หญิงขอลาไปนิพพานแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ หญิงขอลาไปนิพพาน ขอหลวงพ่อได้กรุณากราบทูลพร ะบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล ะสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และท่านชายปิยะด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน" พอสิ้นเสียงก็ปรากฏว่าท่านส ิ้นลมปราณ
การที่นำเรื่องของท่านหญิงว ิภาวดีมาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเป็นเรื่องที่วิพากษ ์วิจารณ์กันมากว่า อาตมาทราบได้อย่างไรว่าท่าน หญิงวิภาวดีจะไปไหน ความจริงรู้ได้อย่างไรนี้ตอ บไม่ยาก เพราะว่าจะไปไหนนั้นก็อาศัย การเปล่งวาจาของท่านเป็นเหต ุ คนถูกยิงเจ็บขนาดนั้น เสียงครางนิดหนึ่งก็ไม่มี การบิดตัวแสดงอาการเจ็บหน่อ ยหนึ่งก็ไม่มี นอนสงบนิ่งเป็นปกติเหมือนกั บคนนอนหลับแบบสบายๆ แต่พอไปถามเข้าว่า "เจ็บไหม" ท่านก็บอกว่า "เจ็บมากและก็มีหายใจขัดๆ" เวลาพูดเสียงก็ปกติ ก่อนจะสิ้นชีพสังขารก็เปล่ง วาจาว่า "ขอไปนิพพาน" โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่พูดว่ า "สว่างแล้ว สว่างแล้ว" เสียงสดใสมากแสดงอาการดีใจเ หมือนคนไม่เจ็บ มีพระโอษฐ์ยิ้มแสดงความรื่น เริง หน้าตาสดชื่น พระสุรเสียงดังชัดมากแสดงอา การดีใจ เพราะเคยทำงานด้วยกันจึงรู้ ว่า เวลาท่านดีใจท่านมีเสียงแบบ ไหนแสดงกิริยาแบบไหน วันนั้นแสดงแบบนั้นทั้งหมด เมื่อท่านบอกว่า ท่านจะไปนิพพาน เราก็ต้องบอกว่าท่านไปพระนิ พพาน เพราะท่านพูดแล้วท่านก็ตาย เราจะไปเถียงท่านไม่ได้ ท่านจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื ่องของท่าน
และก็มีคนถามว่า "ในเมื่ออาตมาทราบว่าจะมีอุ บัติเหตุแบบนั้น ทำไมจึงไม่ช่วยป้องกัน" อาตมาก็มานั่งนึกว่า คนที่เขาพูดนี่คงคิดว่าอาตม าเองคงจะไม่ตาย เพราะคนอื่นจะตายป้องกันเขา ได้ ตัวเองมันก็ต้องไม่ตาย แต่เขาคงลืมไปกระมังว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเ จ้าทรงเป็นอาจารย์ใหญ่ของอา ตมาจริงๆ ท่านก็ต้องนิพพาน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตาย) หรือ พระโมคคัลลาน์ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้มีฤท ธิ์ถูกโจรทุบ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมคร ูก็ยังทรงพระชนม์อยู่ ทำไมไม่ช่วยป้องกันไว้ แต่นั่นเป็นกฎของกรรม พระโมคคัลลาน์ถูกโจรล้อมท่า นก็หนีไป ๒ ครั้ง พอโจรมาล้อมเป็นครั้งที่ ๓ ท่านก็มาพิจารณาว่า "มันเรื่องอะไร" ก็ทราบว่า "กรรมที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นก รรมเมื่อ ๑๐๐ อัตภาพมาแล้ว เราเคยทุบพ่อทุบแม่ตาย กรรมนั้นมาสนอง" ท่านจึงยอมให้โจรทุบ เมื่อโจรทุบแล้วท่านก็ไม่ยอ มตาย เมื่อโจรไปแล้วท่านก็ประสาน กาย ประสานกระดูก เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้า เข้านิพพาน
เป็นอันว่าถ้าคนจำจะต้องตาย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสั มพุทธเจ้าก็ยังทรงร่างกายอย ู่ไม่ได้ ปล่อยให้ร่างกายพัง พระโมคคัลลาน์ท่านเป็นจอมฤท ธิ์ ท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันตั วท่านเองได้ แล้วการที่อาตมาจะไปบังคับใ ห้ท่านหญิงวิภาวดีไม่ตายจะไ ด้ไหม ถ้าจะพูดกันอีกที โยมผู้ชายและโยมผู้หญิงท่าน เป็นพ่อเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด อาตมา ชีวิตจะทรงอยู่ได้ก็เพราะอา ศัยท่าน แต่เวลาที่ท่านทั้งสองจะตาย อาตมาก็ห้ามไม่ได้ แล้วจะให้ไปห้ามใครได้ เป็นอันว่าเรื่องของท่านหญิ งวิภาวดี รังสิต ทำไมต้องตายและอาตมาทำไมไม่ ป้องกันไว้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้.."
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิ
จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน
"..เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมาได้มีโอกาสเดินทางไปเย
ความจริงท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นลูกศิษย์เจริญพระกรรมฐา
จากนั้นมาท่านหญิงวิภาวดีก็
การเจริญพระกรรมฐานของท่านเ
รุ่งเช้าวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เวลาก่อน ๗ นาฬิกา อาตมาก็รีบไปที่โรงปูนซิเมน
ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดท
สำหรับท่านหญิงวิภาวดีอาตมา
ฉะนั้น "การนิพพานของพระอรหันต์ที่
เมื่อถึงกองร้อย ๓ เครื่องบินส่งพวกเราลงกันหม
ต่อจากนั้นตำรวจก็เอารถยนต์
แล้วท่านก็เปล่งวาจาดังๆ ว่า "โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ไม่ต้องการอีก ขอไปนิพพาน ขอลาไปนิพพาน" แล้วก็เปล่งวาจาดังขึ้นอีกว
การที่นำเรื่องของท่านหญิงว
และก็มีคนถามว่า "ในเมื่ออาตมาทราบว่าจะมีอุ
เป็นอันว่าถ้าคนจำจะต้องตาย
วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2557
บุญรับโชคตรุษจีน สร้างอาศรมและรูปเหมือนปู่ชีวกโกมารภัจจ์ 6ก.พ.57
อาตมาภาพหลวงพี่ต้นจะสร้างรูปเหมือนปู่ชีวกโกมารภัจจ์ ขนาดหน้าตัก 59 นี้ว
ให้คุณแม่ละเอียด กวักหิรัญ(โยมแม่) เนื่องในวันเกิดอายุครบ 60 ปี
ประดิษฐานไว้ที่ มหาสารคาม
บุญรับโชคตรุษจีนปี 2557
เรียนเชิญเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี กองละ 300 บาท หรือตามกำลังศรัทธา
สมทบทุนสร้าง : อาศรมและรูปเหมือนหมอชีวกโกมารภัจจ์ อาศรมขนาด 3*4 เมตร องค์ปู่ขนาด 59 นิ้ว
ณ สำนักปฏิบัติธรรมเทพสถิตย์สถาน มหาสารคาม
วันพฤหัสบดี ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557
คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง
1.เป็นผู้มีความเสียสละ หมอชีวก โกมารภัจจ์ ได้ทำการรักษาคนทั่วไปด้วยความเสียสละเป็นอย่างยิ่ง
ท่านไม่เคยเรียกร้องค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น นอกจากนี้ ท่านยังได้รับหน้าที่เป็นแพทย์หลวง และแพทย์ประจำตัวของพระพุทธเจ้า
ดูแลรักษาการอาพาธของพระสงฆ ด้วยเหตุดังกล่าวท่านจึงเป็นที่รักของปวงชนทั่วไป
2.เป็นแบบอย่างที่ดี แพทย์แผนโบราณให้ความเคารพนับถือหมอชีวก โกมารภัจจ์เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากท่านได้ประพฤติปฏิบัติ
ตนอย่างเหมาะสมกับฐานะ ให้การรักษาผู้เจ็บป่วยโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ มีความเป็นอยู่อย่างสมถะ อ่อนน้อมถ่อมตน
เคารพนับถือผู้มีพระคุณ เช่นเมื่อท่านได้รับค่าตอบแทนจากการรักษาก็นำไปถวายเจ้าชายอภัยเพื่อบูชาพระคุณ เป็นต้น
หรือโอนเงินผ่านธนาคาร
1.ธนาคารธนชาติ สาขาย่อยลาดกระบัง กทม.
ชื่อ กองทุนสาธารณประโยชน์โดยพระเฉลิมพล สุเมโธ
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 087-2-02132-1
2.ธนาคารกรุงไทย สาขาย่อย ปตท.รามอินทรา กม.3 กทม.
ชื่อ กองทุนสาธารณประโยชน์โดยพระเฉลิมพล สุเมโธ
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 793-0-01223-9
3.ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางนา ตราด กทม.
ชื่อ กองทุนชมรมลูกพระราชพรหมยาน
โดยพระเฉลิมพล สุเมโธ(กวักหิรัญ)
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 731-2-48004-7
โอนแล้วแจ้ง sms ได้ที่เบอร์ 087 922 4888
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม email : cqukhiran@gmail.com
ติดต่อโทร. 087 922 4888
เรียนเชิญเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี กองละ 300 บาท หรือตามกำลังศรัทธา
สมทบทุนสร้าง : อาศรมและรูปเหมือนหมอชีวกโกมารภัจจ์ อาศรมขนาด 3*4 เมตร องค์ปู่ขนาด 59 นิ้ว
ณ สำนักปฏิบัติธรรมเทพสถิตย์สถาน มหาสารคาม
วันพฤหัสบดี ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557
คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง
1.เป็นผู้มีความเสียสละ หมอชีวก โกมารภัจจ์ ได้ทำการรักษาคนทั่วไปด้วยความเสียสละเป็นอย่างยิ่ง
ท่านไม่เคยเรียกร้องค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น นอกจากนี้ ท่านยังได้รับหน้าที่เป็นแพทย์หลวง และแพทย์ประจำตัวของพระพุทธเจ้า
ดูแลรักษาการอาพาธของพระสงฆ ด้วยเหตุดังกล่าวท่านจึงเป็นที่รักของปวงชนทั่วไป
2.เป็นแบบอย่างที่ดี แพทย์แผนโบราณให้ความเคารพนับถือหมอชีวก โกมารภัจจ์เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากท่านได้ประพฤติปฏิบัติ
ตนอย่างเหมาะสมกับฐานะ ให้การรักษาผู้เจ็บป่วยโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ มีความเป็นอยู่อย่างสมถะ อ่อนน้อมถ่อมตน
เคารพนับถือผู้มีพระคุณ เช่นเมื่อท่านได้รับค่าตอบแทนจากการรักษาก็นำไปถวายเจ้าชายอภัยเพื่อบูชาพระคุณ เป็นต้น
หรือโอนเงินผ่านธนาคาร
1.ธนาคารธนชาติ สาขาย่อยลาดกระบัง กทม.
ชื่อ กองทุนสาธารณประโยชน์โดยพระเฉลิมพล สุเมโธ
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 087-2-02132-1
2.ธนาคารกรุงไทย สาขาย่อย ปตท.รามอินทรา กม.3 กทม.
ชื่อ กองทุนสาธารณประโยชน์โดยพระเฉลิมพล สุเมโธ
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 793-0-01223-9
3.ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางนา ตราด กทม.
ชื่อ กองทุนชมรมลูกพระราชพรหมยาน
โดยพระเฉลิมพล สุเมโธ(กวักหิรัญ)
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 731-2-48004-7
โอนแล้วแจ้ง sms ได้ที่เบอร์ 087 922 4888
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม email : cqukhiran@gmail.com
ติดต่อโทร. 087 922 4888
เล่าเรื่อง หมอชีวกโกมารภัจจ์ โดยหลวงพ่อฤาษี จาก หนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 17 โดย.....หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
เล่าเรื่อง หมอชีวกโกมารภัจจ์ โดยหลวงพ่อฤาษี
จาก หนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 17
โดย.....หลวงพ่อพระราชพรหมย าน วัดท่าซุง
ประวัติของท่าน---ความ มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิ ญาณแล้ว ในตอนนั้นก็มีท่านผู้หนึ่งท ี่เราได้ยินกันอยู่เสมอ คือ ท่านหมอ ชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นหมอสำคัญขององค์สมเ ด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ คอยรักษาโรคและก็เป็นหมอที่ มีความรู้พิเศษจริง ๆ การไปศึกษาของท่านนั้น ปรากฎว่าการไปศึกษาวิชาเวชศ าสตร์มีความฉลาด สามารถยิ่งกว่าลูกศิษย์ใด ๆ จากสำนัก ตักสิลา---เป็นอันว่าท่านชี วกโกมารภัจจ์นี้ มีประวัติอยู่ว่า เป็นลูกพิเศษของเจ้าใน กรุงราชคฤห์ คำว่าเป็นลูกพิเศษนี้ก็หมาย ความว่า อาจจะเป็นเมียพิเศษ ที่เจ้าย่องไปเจ้าชู้นอกเขต พระราชฐาน ผู้หญิงคนนั้นก็เลยมีลูกขึ้ นมา 2 คน คือคนแรกชื่อว่า โกมารภัจจ์ เป็นลูกคนหัวปี คนที่สองมีนามว่า สิริมา เป็นคนสวยที่สุดในสมัยนั้น- --ต่อมาเมื่อโตขึ้น แต่ความจริงเกิดขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ไม่ได้รับว่าเป็นบุตร โดยตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ โดยความในด้านจิตใจก็คือสงเ คราะห์ตลอดเวลา แต่เป็นการสงเคราะห์แบบลับ ๆ ฉะนั้นชื่อของท่านโกมารภัจจ ์ก็ดี ของสิริมาก็ดี ไม่ได้ชื่อเป็นเจ้า แต่ว่าฐานะก็ดีเข้าขั้นในฐา นะดีมาก และก็เป็นคนใกล้ชิดกับพระรา ชฐานตลอดเวลา เพราะเจ้ารู้ว่าเป็นลูกแต่ก ็ยอมรับไม่ได้ ประกาศเปิดเผยไม่ได้ แลก็เลี้ยงอย่างลูก สงเคราะห์อย่างลูกเหมือนกัน เมื่ออายุได้ 16 ปี ก็ส่งไปอยู่เมืองตักสิลา ท่านตั้งหน้าตั้งใจศึกษาวิช าเวชศาสตร์เอาอย่างเดียว--- ครั้นเมื่อ เวลาเรียนจบก็ลาอาจารยืกลับ บ้าน อาจารย์ก็อยากทดลองความสามา รถ จึงได้บอกให้ท่านโกมารภัจจ์ จัด
กระจาดเข้า 2 ลูก ทำด้วยหวายใส่สาแหรกหาบไป และมีมีด 1 เล่ม มีเสียม 1 เล่ม
มีฆ้อน 1 อัน---แล้วว่าเจ้าจงเดิน ไปด้าน 4 ทิศ ทิศละ 1 โยชน์ ดูหญ้าก็ดี
ดูผักหญ้าต้นไม้ พืชพันธ์ธัญญาหาร ดินทราย หรือว่าแม้แต่แร่เหล็กต่าง ๆ
แร่ต่าง ๆ ว่าดูว่า ถ้าสิ่งไหนมันไม่เป็นยาแล้ว ก็ตัดเอามาให้อาจารย์ดู หรือขุดมาให้อาจารย์ดู---ท่ าน โกมารภัจจ์ใช้เวลาแบบนี้ประ มาณเดือนเศษ พอเดินไป 1 โยชน์ กว่าจะถึง 1 โยชน์ก็ต้องเดินดูไปตลอดทุก อย่างตามทิศที่อาจารย์บอก เมื่อไปครบทุกทิศทุกด้านทาง 1 โยชน์ ก็ปรากฎว่ากลับมาหาบเปล่า หาอะไรที่เป็นยาไม่ได้เลย ครั้นมาถึงก็มารายงานอาจารย ์
บอกว่ามันไม่มี ไม่มีสิ่งที่มันไม่เป็นยา จะเป็นดิน จะเป็นทราย เป็นหิน
เป็นกรวด เป็นต้นไม้ เป็นต้นหญ้า ไม่ว่าอะไรทั้งหมดมันเป็นยา ทั้งหมด---ปราก ฎว่าอาจารย์ก็ชมเชย บอกดีแล้ว อย่างนั้นกลับบ้านได้ ถ้ายังหาพวกทุกสิ่งทุกอย่าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งไม่เป ็นยาในโลกนี้ ก็กลับบ้านไม่ได้ ถือว่าเรียนไม่จบ แล้วท่านก็ลากลับ กลับก็เดินมาในระหว่าทางไม่ ทันจะถึงกรุงราคฤห์มหานครรั กษาภรรยาท่านเศรษฐี---เวลา ตอนเย็นวันหนึ่งมันใกล้ค่ำ ท่านก็พักอยู่ในโคนต้นไม้ใก ล้บ้านมหาเศรษฐี พอดีท่านมหาเศรษฐีเดินลงไปพ บเข้า ถามว่า ไปไหนมา ม่านก็บอกว่า ไปเรียนวิชาเวชศาสตร์ ท่านมหาเศรษฐีก็บังเอิญภรรย าของท่านเป็นโรคปวดศรีษะมา 3 ปี ทำงานไม่ได้ ใช้สมองไม่ได้ ถามว่าจะรักษาหายไหม เห็นว่าเป็นหมอ ท่านก็บอกว่าต้องดูอาการก่อ น เมื่อเข้าไปดูอาการท่านก็บอ กว่าจะทดลองดู เพราะว่าเรียนหมอมาใหม่ ๆ ยังไม่มั่นใจว่าจะรักษาหายห รือไม่หาย แต่ว่ายาไม่มีติดมือเลย---ท ่านเศรษฐีก็ถามว่าต้องการอะ ไร
บ้าง ก็บอกว่ามี แกก็ถามท่านมหาเศรษฐีว่า ไอ้หญ้าประเภทนี้มีไหม
อาตมาก็ลืมชื่อหญ้า ท่านบอกว่ามี ถ้าบอกชื่อก็หาไม่ได้
เพราะเราไม่รู้จักกัน ถ้าเอาของ 2 อย่างเอาหญ้ามาโขลกเข้ากัน
แล้วเลยใส่เข้าไปละลายคั้นเ อาน้ำออกมากรองให้ดี แล้วก็หยอดไปในจมูกของภรรยา ท่านมหาเศรษบี--- พอหยอดลงไปเท่านี้ ก็ปรากฎว่าภรรยาท่านมหาเศรษ ฐี มีทั้งน้ำมูก มีทั้งสเลดออกจมูก ออกทั้งปาก ออกมาอย่างมาก ในที่สุดขนะเดียวกันก็ปรากฎ ว่าหายปวดทันที ท่านมหาเศรษฐีก็จัดรางวัลเป ็นการใหญ่ แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์ท่านก็ รับ เวลาจะกลับท่านก็มอบคืน เขาไม่บอกว่าคืน มอบของทั้งหลายเหล่านี้ไว้ส งเคราะห์คนจนต่อไป นี่ประวัติต้นแล้วก็เดินทาง กลับประกอบยาถวายพระพุทธเจ้ า---เมื่อ กลับมาก็ขอเทศน์ลัด พูดมากเวลามันไม่ค่อยพอเทศน ์ เรื่องนี้มันต้องเทศน์กันเต ็มวันทั้ง 3 วัน เป็นอันว่าในต่อมา ก็ได้เป็นหมอประจำองค์สมเด็ จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประชวรด้วยเรื่อ งอะไรก็ตามท่านโกมารภัจจ์ปร ะกอบยาแค่เม็ดเดียวก็ หายทันที นี่จะได้มองเห็นว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระชินศรีบ รมศาสดาเป็นพระอรหันต์ และเป็นยอดอรหันต์คือ จอมอรหันต์ก็ยังป่วยไข้ไม่ส บาย ก็ยังแก่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นท่านทั้งหลายก็ จะคิดว่าพระอรหันต์ไม่ป่วย- --เป็น อันว่าต่อมาในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเ จ้าถูกพระเทวทัตกลิ้งหินลงม า มีความปราถนาจะทับสมเด็จพระ ผู้มีพระภาคเจ้าให้ตายที่ยอ ดเขาคิชณกูฏ พระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่เชิง เขา พระเทวทัตขึ้นไปยอดเขาแล้วก ลิ้งหินให้ทับแต่ก็เป็นการบ ังเอิญที่มีหินก้อน ใหญ่มหึมาก้องหนึ่ง ปรากฎโผล่ขึ้นมากันหินที่พร ะเทวทัตกลิ้งมาแตกกระจาย เศษหินไปถูกพระบาทขององค์สม เด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่นิ ้วพระบาทห้อพระโล้หิต---เมื ่อ องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรอาก ารอย่างนั้น ท่านโกมารภัจจ์ก็ประกอบยาถว ายปิดลงไปที่ห้อพระโลหิต แล้วก็เอาผ้าผูกไว้ พอเสร็จแล้วก็ลาองค์สมเด็จพ ระจอมไตรไปภายนอกกำแพงวัง คุยกับเพื่อนเพลินไป โอกาศเวลานั้นประตูเมืองก็ป ิดหกโมงเย็น เข้าประตูเมืองไม่ได้ ก็ร้อนใจคิดว่า โอ้หนอ...ยาที่ถวายองค์สมเด ็จพระจอมไตรเป็นยาแรง เวลานี้แผลก็คงจะหายแล้ว อีกประการหนึ่ง เมื่อแผลหาย ยาที่ยังพันอยู่ที่นิ้วพระบ าทขององค์สมเด็จพระจอมไตรจะ ทำให้พระองค์ทรงมี ความลำบาก เพราะยามีความร้อน---ตอนนั้ นเอง องค์สมเด็จพระชินวร ทรงทราบวาระจิตของท่านโกมาร ภัจจ์ว่ามีความลำบาก คิดว่ายาจะเป็นโทษกับเรา จึงได้เรียก พระอานนท์ มาบอก อานันทะดูก่อนอานนท์ เธอจงแก้ผ้ามัดนิ้วตถาคตออก ไป แล้วจงเอายาออก พอเอาออกแล้วพระอานนท์ก็เอา น้ำที่สะอาดมาล้างให้ ตอนรุ่งขึ้นท่านโกมารภัจจ์เ ข้าเมืองได้ก็รีบมาเฝ้าองค์ สมเด็จพระจอมไตร---ถาม ว่า ยามีอันตรายแก่พระองค์ไหม พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าไม่มี เวลานี้ตถาคตให้พระอานนท์แก ้ออกหมดแล้ว ถามว่าเวลาไหน ท่านถามว่าเวลาไหน พระพุทธเจ้าก็ตอบแก้เวลาที่ เธอลำบากใจ คิดว่าจะมีอันตรายสำหรับฉัน นี่เป็นตอนหนึ่ง ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระภัค วันต์บรมศาสดาป่วยเป็นโรคอะ ไร ท่านโกมารภัจจ์ก็รักษาหายทั นทีทันใดมาเที่ยวเมืองทวารา วดี---ตอน นี้จะขอพูดเรื่องของท่านเหม ือนกัน เป็นการแยกออกไปสักนิดหนึ่ง จากการรักษา ในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระศาสดาประ ทับสำราญอิริยาบถ ท่านโกมารภัจจ์ได้ยินข่าวว่ า ชาวเมืองไอ้เมืองนี้ ทวาราวดีเป็นเมืองที่มีความ เจริญรุ่งเรือง มีขนบธรรมเนียมประเพณีดี มีภาษาพูดเพราะ ก็อยากจะมาเที่ยวเมืองทวารา วดี---คือเขตไทยทาง ด้านของ นครปฐม แต่ทวาราวดีเวลานั้นกินเขตแ ดนของทั้งหมดของเมืองไทยนี่ เอง เวลานั้นเขาไม่เรียกเมืองไท ย เขาเรียกตามชื่อเมืองว่าเมื องทวาราวดี ทูลลาองค์สมเด็จพระชินศรีจะ มาเที่ยวเมืองทวาราวดีเกือบ 2 ปี แต่ความจริงอรรถกถาจารย์เขี ยนไว้ถึง 22 ปี อันนี้เห็นว่าท่าจะไม่ถูก ต้อง 2 ปี เพราะท่านโกมารภัจจ์ไม่สามา รถจะทิ้งพระพุทธเจ้าได้ ในตอนนั้นท่านเป็นพระโสดาบั นแล้ว ถือว่าการเป็นพระโสดาบันนี่ เป็นไม่ยากคือ1.นึกถึงควมตา ยเป็นอารมณ์2.เคารพในพระพุท ธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์3.มีศีล 5 บริสุทธิ์4.จิตใจต้องการพระ นิพพานเป็นอารมณ์พระโสดาบัน เขาเป็นแค่นี้นะ ทุกคนก็เป็นได้เมื่อ มาถึงทวาราวดี อยู่ครบประมาณ 2 ปี ท่านก็กลับ กลับแล้วท่านก็ไปเฝ้าองค์สม เด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าชาวเมืองทวาราวดีนี้มีภา ษาพูดที่เพราะมาก เป็นภาษาโดด คือพูดเป็นคำ ๆ คำว่าไปก็ไป คำว่ากินก็กินอย่างเวลานั้น
ภาษาแขกหรือชาว มคธคำว่า "ไป" เขาก็พูดว่า "คันตวา" มันเป็นคำคู่ "กิน" ก็
"ภุญชติ"ภุญชติล่อเข้าไป 3 คำ กลั้วกัน คันตวาล่อเข้าไป 3 คำ ของเราไป
ของเรากินมันเป็นคำโดด---พอ กราบ ทูลองค์สมเด็จพระพุผู้มีพระ ภาคเจ้าว่าภาษาของชาวทวาราว ดี
เขาพูดเพราะ พูดช้าๆ ฟังสบายๆ และก็เป็นภาษาโดด พระพุทธองค์จึงถามว่า
ทวาราวดีเขาพูดกันอย่างไร ลองพูดให้ฟังซิ ท่านโกมารภัจจ์ก็พูดให้ฟัง
เมื่อพูดให้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พูดภาษ าทวาราวดี คุยกับท่านโกมาภัจจ์อยู่พัก หนึ่งรู้สึกว่าสนุกสนานมาก ท่านโกมารภัจจ์ก็สนุก ทว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพ ุทธเจ้าท่านจะสนุกหรือไม่สน ุกก็ไม่ทราบ แต่เวลาคุยกับท่านโกมารภัจจ ์ท่านคุยเป็นกันเอง คงจะสนุกเป็นพิเศษพระพุทธเจ ้าเป็นคนไทยอาหม---คุย กันไปคุยกันมา นโกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรนี้เป็นลูกช าวกรุงกบิลพัสดุ์ อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี้ได้เพ ราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือค วามรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงนี่ปฏิสัมภิทาญ าณนี่เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรม โลกเชษฐ์ว่า ที่พระองค์ทรงตรัสภาษาทวารา วดีนี่รู้ได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน---องค์ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึง ตรัสว่า โกมารภัจจ์ ภาษาทวาราวดีนี่เป็นภาษาเดี ยวกับชาวกรุงกบิลพัสดุ์ใช้เ ป็นภาษาพื้นเมือง ฉะนั้นท่านโกมารภัจจ์ก็ถามว ่า ถ้าเช่นนั้น ชาวกรุงกบิลพัสด์ก็เป็นเชื้ อสายเดียวกับทวาราวดีใช่ไหม องค์สมเด็จพระจอม ไตรบรมศาสดาก็ทรงตรัสว่าใช่ คือ ชาวกบิลพัสด์ก็ดี ชาวทวาราวดีก็ดี เป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน นี่ขอบรรดาท่านทั้งหลายได้โ ปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านความจริงเป็ นคนไทย เขาเรียกว่าไทยอาหม ตอนนี้ก็รู้ไว้---ต่อมาก็เท ศน์เรื่องของ ท่านในเรื่องของหมอต่อไป ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระจอม ไตรบรมศาสดาประกาศพระศาสนาไ ด้ครบ 45 ปี มีอายุ 80 พอดี ตามอายุขัยของพระองค์ เวลานั้นพระองค์ประทับอยู่ท ี่ ปาวาลเจดีย์ ท่านโกมารภัจจ์ไม่ได้อยู่ด้ วย ไปธุระเสีย เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัม มาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร คือปลงอายุสังขาร กำหนดวันนับต้องแต่เวลานี้ไ ป 3 เดือน เราจะนิพพานที่ระหว่างนางรั งทั้งคู่แห่งเมือง กุสินารามหานคร---เมื่อ องค์สมเด็จพระชินวรปรงปลงอา ยุสังขาร ตัดสินพระทัยว่าจะนิพพานแน่ เวลานั้นเกิดเหตุอัศจรรย์แผ ่นดินไหว พระอานนท์เข้าไปเฝ้าองค์สมเ ด็จพระจอมไตรถามเหตุแผ่นดิน ไหม
ก็ตรัสว่า เพราะตถาคตปลงอายุสังขาร ตั้งใจไว้อีก 3 เดือนข้างหน้าจะนิพพาน
คือวันวิสาขบูชา ที่ระหว่านางรังทั้งคู่ แห่งเมืองกุสินารามหานคร
พระอานนท์ก็อาราธนาองค์สมเด ็จพระชินวรให้อยู่ต่อ ขอเทศน์ลัดเลยนะเวลาเหลือน้ อยพระพุทธเจ้าไม่ทรงรับยา-- -ท่าน ก็บอกไม่ได้ ต้องนิพพานแน่ ฉะนั้นก็ปรากฎว่าท่านโกมารภ ัจจ์กลับมาเห็นสมเด็จพระบรม ศาสดาเศร้าหมองลงไป มาก ซุบซีดผอม ฉันอาหารก็ไม่ได้ แสดงว่าโรคภัยไข้เจ็บรบกวนม าก พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทนพระว รกาย ผืนการเจ็บปวดทุกขเวทนาทั้ง หมด สอนวันนั้น เวลานั้นคนก็ดี สอนพระก็ดี สมเด็จพระชินศรีไม่ทรงเทศน์ เรื่องพระสูตรเลย เทศน์เฉพาะ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเป็นการตัดฉากใกล้นิพพ าน---ท่าน โกมารภัจจ์ก็ไปถามองค์สมเด็ จพระพิตมารถึงโรคท่านก็ไม่ต อบ ท่านโกมารภัจจ์ก็เสียใจว่าถ ้าเรารู้ชื่อโรคนิด อาการโรคนิดเดียวรักษาด้วยย าเม็ดเดียวให้หาย ต่อมาก็ได้ปรุงยาขึ้นเม็ดหน ึ่งเพื่อถวายพระผู้มีพระภาค เจ้า ถ้าพระองค์เสวยยาเม็ดนั้นท่ านจะรู้อาการโรคทันที เป็นยาพิสูจน์โรค พระพุทธเจาก็ไม่ทรงรับเสียอ ีก ถวาย 3 ครั้ง ท่านก็คว่ำมือถึง 3 ครั้ง---ท่าน โกมารภัจจ์ก็เสียใจ จึงเอายาไปใส่ในบ่อน้ำ คิดว่าจะให้ใครกินก็ไม่สมคว ร ยานี้เป็นยาถวายพระพุทธเจ้า ไปใส่ในบ่อน้ำ พระอรรถกถาจารย์ หรือพระฏีกาจารย์ แก้อธิบายว่าน้ำในบ่อนั้นมั นลึกอยู่แล้ว มันฟูขึ้นไปเลยบ่อเจ็ดชั่วล ำตาลอัศจรรย์มาก ต่อมาเมื่อได้พบท่านโกมารภั จจ์ถามท่าน ท่านบอกว่านานๆ เข้ามันก็ยาวเหมือนกัน เมื่อต้นไม้ปลูกนานๆ เข้ามันก็ยาว แต่ควมจริงมันฟูขึ้นมาถึงปา กบ่อ ไม่ได้เลยปากบ่อถึงเจ็ดชั่ว ลำตาล นี่เป็นอันว่าอรรถกถาจารย์ พระฏีกาจารย์เขาเขียนยาวมาก เกินไป พาให้คนไม่เชื่อหนีเข้าป่าเ จริญสมณธรรม---หลัง จากนั้นมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพ พานแล้ว เมื่อเขาเก็บพระบรมสารีริกธ าตุเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ก็ไปงานสมเด็ จองค์พระประทีปแก้วเหมือนกั น เวลานั้นท่านก็คิดว่า เราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุ ทธเจ้า จะถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ ง แต่เวลานี้พระพุทธเจ้ามานิพ พานเสียก่อน เราก็หมดที่พึ่ง เวลานี้เราเป็นคนไม่มีอะไรแ ล้ว---ลูก
ก็ดี เมียก็ดี ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ดี ข้าทาสหญิงชายก็ดี
เราไม่มีเพราะเราสิ้นหวัง เราหมดที่พึ่ง ไอ้ร่างกายของเรานี่มันก็ใช ้อะไรไม่ได้ ไม่ต้องการมันต่อไป ออกจากงานศพแทนที่จะเข้าบ้า น ก็เปิดเข้าป่าไปเลย ไปนอนอยู่ในถ้ำ ไปนั่งนอนคิดว่าเวลานี้สมเด ็จพระธรรมสามิสรที่เป็นที่พ ึ่งใหญ่ของเรานิพพาน เราก็ไม่เอาอะไรมันทั้งหมด นอนให้มันตายอย่างนี้ล่ะ ข้าวปลาอาหารก็ไม่กิน---แต่ ท่านก็เล่าต่อไปว่า ถึงมันจะหลบเข้าไปแบบนั้น คนก็เห็นแก่ตัวไปรบกวนท่าน ไปขอยาท่าน ท่านก็เลยเข้าป่าลึกเข้าถ้ำ ให้มันลึกเข้าไปอีก แล้วก็ไปนอน นอนเฉยๆ คิดว่าเราหมดที่พึ่ง เราเป็นคนไม่มีอะไร ร่างกายเราก็ไม่ต้องการมันใ ห้มันตายไปแบบนี่แหล่ะ มันอยากตายเมื่อไรก็ให้มันต ายถ้ามันไม่ตายก็ไม่ลุก จะอยู่มันที่นี้ตลอดไป พอตัดสินใจแบบนี้ก็มีเสียงเ หมือนฟ้าผ่าลงมา 3 ครั้ง ครั้งแรกก็เรียกว่า "โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพร ะสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม... ?"ท่าน ก็บอกว่าใช่ ท่านไม่เห็นตัว ฟ้าแลบเข้ามาก็มีเสียงเหมือ นฟ้าผ่าอีก ก็บอกอย่างนั้น ท่านก็ตรัสอย่างนั้น แล้วเสียงนั้นก็หายไป สายฟ้าก็หายไป ท่านก็เลยบอกว่า หลังจากนั้นแล้วผมก็เลยนอนห ลับ หลับแล้วผมก็หลับเลยไม่ตื่น รวมความว่าเวลานั้นท่านเป็น อรหันต์แล้วก็นิพพานทันทีอา รมณ์ถึงอรหันต์---เอา เรื่องนี้มาพูดให้เห็นว่า ความกตัญญูกตเวทีของท่านโกม ารภัจจ์เป็นของดี แต่ว่าท่านโกมารภัจจ์นี้ไปน ิพพานคือเป็นอรหันต์ได้ เพราะมีความรู้สึกอะไร ฉะนั้นขอท่านพุทธบริษัททั้ง หลาย พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงจำไว้ว่า คำว่าถึงอรหันต์น่ะมันมีอยู ่คำ
เดียว หรืออย่างเดียว คือ เราไม่ติดอะไร ทั้งหมด จิตกำหนดว่าวัตถุธาตุต่างๆ
คนก็ดี ใครก็ตาม ไม่ได้เนื่องถึงเรา คือไม่ใช่เป็นของเรา
แต่เขาเนื่องถึงเราจริงเราส งเคราะห์หรือทำงานสงเคราะห์ ให้ตามหน้าที่ ทุกอย่างแต่เราไม่ผูกพัน คิดว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ าย แม้แต่ร่างกายเราก็ไม่ต้องก าร---ถ้าคิดอย่างนี้ก็ตรงกั บคำที่ องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสใ นตอนท้ายมหาสติปัฏฐานสูตรว่ า เธอจงอย่าสนใจกายภายใน คือกายตัวเอง อย่าติดในกายภานอก คือ กายคนอื่น และก็จงอย่าตืดในวุตถุธาตุใ ดๆ จงปลงกำลังใจว่า แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ขอ งเรา เพียงเท่านี้ทุกคนก็จะเป็นอ รหันต์---ฉะนั้น ท่านโกมารภัจจ์ท่านเป็นคนผิ ดหวังในองค์สมเด็จพระสัมมาส ัมพุทธเจ้า คิดว่าท่านจะตายก่อน แต่เมื่อองค์สมเด็นพระชินวร บรมศาสดานิพพานแล้ว ท่านก็ตัดสินใจว่าเราเป็นคน ไม่มีอะไรทั้งหมด ลูกไม่มี เมียไม่มี ทรัพย์สมบัติไม่มี ร่างกายไม่มีความหมาย---เมื ่อมันอยากจะตาย ช้าที่หลังพระพุทธเจ้า มันก็ปล่อยใหห้มันตายด้วยคว ามอดอยากก็ช่างมันปะไร เราไม่ต้องการมันต่อไป อันนี้เป็นอารมณ์ของอรหันต์ เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้วท่ านก็เป็นอรหันต์ทันที ฆราวาสถ้าเป็นอรหันต์วันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน แล้วท่านก็นิพพานจนกระทั่งบ ัดนี้
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=414822005316987&set=a.414821931983661.1073741992.100003675730745&type=1&theater
จาก หนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 17
โดย.....หลวงพ่อพระราชพรหมย
ประวัติของท่าน---ความ มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัม
วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557
เรื่องพระพุทธชินราช โดยพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จาก หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา เล่ม ๔
เรื่องพระพุทธชินราช
โดยพระเดชพระคุณพระราชพรหมย าน วัดท่าซุง
จาก หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา เล่ม ๔
ตามที่หลวงพ่อท่านได้สร้าง "พระพุทธชินราช" ประดิษฐานเป็นพระประธานไว้ท ี่วิหาร 100 เมตร เพื่อไว้สักการะบูชาของบรรด าท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระพุทธรูปองค์นี้สร้างได้ส วยสดงดงามมาก นอกจากญาติโยมทั้งหลายจะได้ อานิสงส์ในการร่วมสร้างกันแ ล้ว หลวงพ่อท่านได้บอกว่า พระพุทธชินาชองค์นี้ ถ้าเกิดฝนแล้งจะอธิษฐานขอฝน ก็ได้
ในโอกาสนี้จึงขอนำเรื่องราว ของพระพุทธชินราช ที่หลวงพ่อเคยประสบเหตุการณ ์มาแล้ว มาเล่าสู่กันฟัง...
เนื่องจากมีผู้หญิงคนหนึ่งน ำพระพุทธชินราชมาให้หลวงพ่อ ปลุกเสก เมื่อหลวงพ่อปลุกเสกแล้ว บอกว่า "เอาพระพุทธชินรารมาให้เสก ไม่รู้ฉันจะเสกบทไหน...กลัว ท่านจะเสกหัวฉันเข้าน่ะซิ" พอยกมือขึ้นอาราธนาบารมีท่า น...ท่านบอก "มันก็ยี่ห้อเดียวกับแก แกก็ติดชินราช"
ถูกของท่าน ที่ว่าถูกของท่านคือว่า พระพุทธรูปที่นำมาถวาย ถ้าหากว่ามันไม่เกินวิสัยจร ิงๆ ฉันต้องทำเรือนแก้วให้ได้ เพราะว่าฉันชอบชินราช เพราะอะไร... "ชินราข" เขาแปลว่า "ชนะ"
เหตุเกิดที่จังหวัดสุพรรณบุ รี
เรื่องพระพุทธชินราช เริ่มต้นมันมีอยู่คราวหนึ่ง คือว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่คิดว่าจะสร้างพระพุทธชิน ราช คืนหนึ่งก็เข้านอน ตอนหนุ่มๆนะ เป็นพระ ตื่นขึ้นมาตีสอง ตะเกียงมันก็ไม่ได้จุด มันมืดตื้อ เห็นขาวๆหน้าประตูด้านใน เหนือประตูขึ้นไป
ถามว่า "ใคร?" บอกว่า "ฉัน...พระพุทธชินราช"
ถามว่า "มายังไงครับ?" บอกว่า "จะมาอยู่ด้วย"
เราก็นึก เอ....ท่านจะอยู่ยังไง...พอ คิดว่าท่านจะอยู่ยังไง...แล ้วท่านก็หายไป แต่จิตเรารักพระพุทธชินราชอ ยู่ตลอดเวลาเพราะท่านสวย ดูแล้วดูไม่อิ่ม
แล้วก็ปีนั้นต่อมาอีก ๒ เดือน ฉันก็ไปอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วก็จะไปเข้าที่อำเภออู่ท อง ตอนนั้นป่ามันมีเยอะ เราก็จะไปซื้อไม้ที่มันถูกต ้องตามกฏหมาย คือว่าต้นไม้ออกจากโรงเรื่อ ยนี่มันถูก คือออกจากที่นี่มันถูก พอไปก็เอาเรือไปจอดที่ตลาดบ างลี่ ก็มีเรือเรี่ยไรอยู่ลำ เขาจอดอยู่ทางด้านโน้น
พอเรือเราไปจอด ปรากฏว่าพวกผู้หญิง จีนบ้าง ไทยบ้าง แบกโตก แบกขันแตก แบกเครื่องทองเหลือง ลงไปเป็นแถวสัก 20 ราย ขนาดแบกไปเลยนะ
ไปถึงแวะไปทางเรือก็ถาม "ทำไมโยม...?"
บอก "เอาเครื่องทองเหลือง ทองขาวทำบุญ"
"อ้าว...ก็ลำโน้นเขาโฆษณาจะ สร้างรอยพระพุทธบาท"
ไอ้เราเครื่องขยายเสียงก็ไม ่มี จะไปซื้อไม้ เครื่องขยายเสียงจะมีได้ยัง ไงเล่า เขาถามว่า "จะสร้างอะไร?" บอก "ไม่ได้สร้างล่ะ จะมาซื้อไม้"
คนอื่นเขาก็กลับไปหมด ก็เหลือผู้หญิงจีนอยู่คนหนึ ่ง แกไม่ยอมไป แกก็พูดอยู่อย่างนั้นแหละ ถาม"ไม่สร้างอะไรรึ?"
พูดไป พูดมา พูดมาพูดไป ก็นึกขึ้นมาได้ว่า เราคิดว่าจะสร้างพระพุทธชิน ราช แต่ว่ากำหนดไว้อีก ๓ ปีจึงจะสร้าง ไม่ได้สร้างปีนั้นเพราะเห็น ว่าท่านมาคงจะเป็นสัญญลักษณ ์ แกถามขึ้นมาก็เลยนึกขึ้นมาไ ด้"ฉันจะสร้างเหมือนกันแหละ โยม...แต่อีก ๓ ปี"
แกบอก "เอางี้ก็แล้วกัน ๓ ปี ฉันจะฝากไปด้วย"
ได้เรื่องเลย...ขันลงหินแกส วยมาก เราเห็นยังนึกเสียดายของเก่ า แต่ว่าของเก่าหรือไม่เก่าเร าเสียดายไม่ได้ เวลาสร้างต้องทุบกันแน่ ฝากไปด้วย ๓ ปี ก็ไม่เป็นไร เลยบอกว่า
"เอางี้ดีกว่าโยม เวลาที่ฉันจะสร้าง ฉันจะมาใหม่"
แกบอก "ไม่ได้หรอก ดีไม่ดีฉันจะตายเสียก่อน"
แกก็ให้สตางค์ ๑๐ บาทเป็นค่าแรงงาน ให้ค่าบำเหน็จแล้วแกก็เดินก ลับบ้านไป แกกลับขึ้นไปมือเปล่านี่ พวกนั้นก็ถามว่า
"ขันแกไปไหนล่ะ?"
"ลำนั้นเขาสร้างเหมือนกันนะ แต่สร้างพระพุทธชินราช"
แกพูดเท่านั้นแหละ ยายพวกนั้นแบกลงมาอีกแล้ว
"ท่านทำไมโกหกฉันล่ะ?"
แล้วกัน แหม..ซวยเลย เราเสียยี่ห้อ บอก "ทำไมเล่า?"
"ก็ท่านจะสร้างพระพุทธชินรา ช ทำไมท่านไม่รับของล่ะ" ก็บอกว่า "อีก ๓ ปีนะโยม"
"อ้าว...ถ้ายังงั้นฉันก็ฝาก บ้างสิ" แกก็เลยฝากไว้
ปรากฏว่า แกถือของลงมา ต่างคนต่างฝาก ก็ไม่ต้องนอนกันละ ปรากฏว่าเรือไม่มีที่นอน ทำยังไงล่ะ...มันชักจะยุ่งเ สียแล้ว ก็คิดว่าเรื่องมันใหญ่ไปมาก แล้ว เลยต้องตกบันไดพลอยโจน เช้าต้องจอดอยู่อีก เช่าเรือต่อเขาอีกลำ ของมันอยู่ในเรือยนต์เต็ม ก็เช่าเรือเขา เขาถามว่า "เช่าทำไม?" บอก "ใส่ของ"
เจ้าของเรือเขาก็ดี บอกว่า
"ไม่ต้องเช่า..วัดนี้ ถ้าวัดอื่นอาจจะต้องเช่า"
"เสียเวลานะโยม หลายวันนะ"
"เสียเวลาก็ไม่เป็นไร เรือไม่ได้ใช้"
เขาก็มาคุมเรือให้เอง เอาของใส่จอดอยู่ที่นั่น รุ่งขึ้นมึงมา กูมา ผลที่สุดเห็นท่ามันจะเต็มลำ อยู่แล้ว ทองเหลืองทองขาวนะ ก็จะลากลับ กลับไม่ได้อีกแล้ว เรือวิ่งมาจะออกปากคลอง มึงเรียก กูเรียก ร้องไห้จะตาย ไม่มีที่ใส่ ก็นึกว่า เออ..ตกลงไม้เม้ย..ไม่ต้องห ากันละ ไอ้เราอุตส่าห์ไม่เรี่ยไร วิ่งไปเรียบๆ มึงกวักกูกวัก กวักผ้าก็ต้องแวะ ต้องกลับมานอนที่เดิมใหม่ ผลที่สุดก็เลยขึ้นไปที่เทศบ าล ถามว่า "มีเครื่องขยายเสียงไหม..ขอ เช่า"
ปลัดเทศบาลก็แปลกเหมือนกัน บอกว่า "ถ้าวัดอื่นต้องเช่า แต่วัดนี้ไม่ต้องเช่า ผมให้พนักงานไปเสร็จ"
"เออ...ก็ดีเหมือนกัน มีคนร่วมมมือได้ด้วยดี...เส ร็จ"
เป็นอันว่ากว่าจะถึงวัด ทองเหลืองทองขาวเต็มทั้งเรื อต่อเรือยนต์ สมัยนั้นเงินมันยังแพงอยู่น ะ ยังได้เงินมาอีก ๒ หมื่นบาท มันเป็นการบังคับว่าต้องทำแ หงๆ ไม่ทำไม่ได้ ใช่ไหม..
ฝนตกตั้งแต่เริ่มสร้าง
เมื่อมาหาช่างก็รู้สึกว่ามั นพอไปหมด เขาเรียกว่า "พอหมด" ทองก็พอ เงินก็พอ ไปถามเขาว่าจะเอาเท่าไร...ก ็พออีก ยังขาดเงินอีกอย่างเดียว คือการจัดงาน อันนี้ไม่ใช่ของแปลก เป็นอันว่าของท่านครบเสร็จ เวลาจัดงานก็มาตกลงกับช่าง ช่างบอกว่า
"พอเริ่มปั้นหุ่น ฝนตกหนัก ปั้นหุ่นเสร็จ เอาสีผึ้งใส่ ฝนตกอีก เอาดินทรายทับ ฝนตกอีก"
เขาลากหุ่นไปจากกรุงเทพฯ ไปที่วัดบางนมโค พอไปถึง ฝนตกใหญ่ ทีนี้ก็มาถึงวันหล่อ ตามธรรมดาวันหล่อพระ ฝนต้องตกปรอยๆ ตกหยิมๆ จึงจะดี ใช่ไหม...วันนั้นไม่หยิมละ ล่อเม็ดโป้งๆเลย พอเทเสร็จฝนก็ลงจั้กๆ น้ำนอง พอเลิกแล้วหุ่นเย็นก็ให้ช่า งทุบ ช่างไม่ยอมทุบหุ่น บอกว่า
"ลักษณะอย่างนี้ พระเสียหมด หมายความว่าจะยกหุ่นมากรุงเ ทพฯเลย แล้วก็มาแต่ง ถ้าเสียหายก็ต้องทำกันใหม่เ ลย"
ก็เลยบอกว่า "ไม่ได้หรอก งานมันยังมีอยู่ พิธีกรรมฉันเป็นคนทำนะ พิธีกรรมเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากว่าผลเสียหายเกิดขึ้น ก็แสดงว่าคนที่ทำพิธีกรรมน่ ะทำไม่ถูก"
ช่างแกเกิดไม่ยอมทุบ ก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ผลที่สุดก็ตัดสินใจ เสียเป็นเสีย ลักษณะฝนตกแบบนี้เขาต้องเสี ย พอทุบหุ่นออกมาแล้ว เรียบร้อยเกือบไม่ต้องแต่ง อีตาช่างน้ำตาไหล บอกว่า "ผมไม่เคยเจอะเลย"เพราะยังไ งๆก็ต้องมาแต่งที่กรุงเทพฯใ ห้เรียบร้อย เอาตะไบขัดให้ดี ใช่ไหม...แล้วก็ปิดทองเสร็จ เขาก็เอาไป
พอดีฝนมันแล้งจัด ชาวบ้านเขาจะไปเล่นนางแมวนา งหมาอะไรนั่นแหละนะ แบบสมัยเก่า ฉันก็ไปยืนที่หน้าต่าง ถามเขาว่า "ทำไมเล่า?" บอก "จะไปเล่นขอฝน"
บอกว่า "กลับไปเถอะ พรุ่งนี้เขาจะเอาพระพุทธชิน ราชมาจากกรุงเทพฯ ฝนจะตกตลอดตามที่ต้องการ" ไอ้เราก็โม้ไปอย่างงั้นละ โม้ส่งเดช เจ้าพวกนั้นทำยังไง...วันรุ ่งขึ้นมันก็มากันเต็มวัดเลย ไม่ใช่ตำบลเดียว ๒-๓ ตำบล ฝนมันไม่ตกนี่ แกก็มานั่งคอยพระพุทธชินราช ฝนจะตกไหม...
ไอ้เราก็ชักใจเสีย จะไปไหนก็ไปไม่ได้ ถ้าฝนไม่ตกมันคงทุบเราแน่ ก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ บังเอิญก็ได้ พุทธานุภาพก็ได้ พอเรือที่บรรทุกพระพุทธชินร าชไปถึง พอจอดเทียบท่าวัดฝนตก ๒ ชั่วโมงเต็ม ตกขนาดไม่ลืมหูลืมตา ล่อเต็มที่จั้กๆตั้งเวลาได้ ๒ ชั่วโมง
ก็เป็นอันว่าการแบกพระขึ้นเ ป็นของไม่ยาก เขาดีใจกันใหญ่ ช่วยแบกพระบ้าง ช่วยแบกคนบ้าง มันล่อกันเต็มที่เลย พอขึ้นมาเสร็จ เขาก็ตั้งกฏเลย แกเลยบังคับต้องทำบุญ ๓ วัน พวกนั้นเขาทำเอง ก็เลยบอกว่า
"แกจะทำสักกี่ร้อยวันก็เชิญ ฉันอยู่วัดไม่ต้องบิณฑบาต"
เขาก็ขนกันทำบุญ พอทำบุญเสร็จ เขาเวียนเทียนเสร็จก็เข้าที ่ ทีหลังก็ขอท่านตอนเย็น ขอให้ฝนตกพอดีๆเท่าที่ข้าวเ ขาต้องการ ตกตลอดทุกวัน
อธิษฐานขอฝนตกที่อื่นก็ได้
ตอนนั้นมีเรื่องแปลกอีกเรื่ องหนึ่ง รุ่งขึ้นอีกปีหนึ่งก็ไปสร้า งโบสถ์ที่ จ. ราชบุรี เขาให้ไปสร้างโบสถ์ แต่มันเป็นที่แนวลึกเข้าไปท ี่ใกล้ๆแม่น้ำ บางที่เราไปง่าย เขาไม่ให้สร้างหรอก ไอ้ที่ชาวบ้านทำไม่ถึงละเรา ไป
ก่อนจะไปก็อาราธนาท่าน ขอบารมีท่าน ไม่ได้แบกท่านไปด้วยหรอกนะ ถ้าเรือบ่ายหน้าเข้าคลองเล็ กละก้อ...พอไปถึงที่เรียบร้ อย ขอให้ฝนตกใหญ่ ๒ ชั่วโมง แล้วก็ไป ก็น่าแปลกเรือเราไม่ได้บรรท ุกท่านไป แต่เรานึกถึงท่าน ขณะที่เรือวิ่งไปเดือนเมษาย นไม่มีแสงแดดเลย ไอ้เมฆนี่ที่จะบังทับไปอยู่ ตลอดเวลา แปลกดีเหมือนกัน
เมื่อไปถึง พอเรือเบนเข้าคลองเล็กปรากฏ ว่าฝนตกพรำๆไปถึงที่พอนั่งเ รียบร้อยแล้วฝนตกลงมา 2 ชั่วโมง มีโยมคนหนึ่งมาบอก
"ท่าน..ดินสูงมาก ได้อีกสักชั่วโมงก็ดี" เอางั้นอีก ไอ้เราก็ปากหมา บอก "เอาตีสองนะโยม...เอาอีก ๒ ชั่วโมง"
เราก็นึกว่าตีสองใครจะไปนั่ งอยู่มันกลับไปหมด ตกก็ตกไม่ตกก็ช่าง มันต้องกลับไปหมด ใช่ไหม...ที่ไหนได้ คนที่มามันไม่ยอมกลับ มันคอยดูตีสองอีก ซวยละเรา...เอายังไงกันแน่น ะ มันก็นั่งดูนาฬิกา ถาม "อยู่ทำไม?"
"ก็ท่านบอกตีสองฝนจะตก"
เราก็เลยบอกว่า "ฉันพูดไปยังงั้นแหละ ด้วยพุทธานุภาพ ท่านจะให้หรือไม่ให้ ฉันบังคับไม่ได้นะ"
เขาก็บอก "ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวขอดูใหม่"
ดาวที่เต็มฟ้าไม่มีมัวสักนิ ดเดียว เห็นดาวสบาย เค้าก็ไม่มี พอนาฬิกาตีเป๋ง...ลงพั๊วทัน ที ล่ออีก ๒ ชั่วโมง
แต่ก็แปลก พอฉันจำจะต้องย้ายวัด เพราะครบ ๒๐ พรรษาตามที่หลวงพ่อปานท่านส ั่ง ก็เอามาไม่ได้เพราะว่าเป็นข องสงฆ์ พอออกมาไม่ได้ พออยู่ข้างหลังใครไปขอเท่าไ รฝนก็ไม่ตกเป็นไง...?
ถามท่านว่า "ทำไมจึงเป็นยังงั้น?"
บอก "ไม่มีใครเขารู้จักฉันนี่ แม้แต่ไหว้ยังไหว้ไม่ถูกเลย " นี่เรื่องของพระพุทธชินราช ท่านให้ผลดีจริงๆ
โดยพระเดชพระคุณพระราชพรหมย
จาก หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา เล่ม ๔
ตามที่หลวงพ่อท่านได้สร้าง "พระพุทธชินราช" ประดิษฐานเป็นพระประธานไว้ท
ในโอกาสนี้จึงขอนำเรื่องราว
เนื่องจากมีผู้หญิงคนหนึ่งน
ถูกของท่าน ที่ว่าถูกของท่านคือว่า พระพุทธรูปที่นำมาถวาย ถ้าหากว่ามันไม่เกินวิสัยจร
เหตุเกิดที่จังหวัดสุพรรณบุ
เรื่องพระพุทธชินราช เริ่มต้นมันมีอยู่คราวหนึ่ง
ถามว่า "ใคร?" บอกว่า "ฉัน...พระพุทธชินราช"
ถามว่า "มายังไงครับ?" บอกว่า "จะมาอยู่ด้วย"
เราก็นึก เอ....ท่านจะอยู่ยังไง...พอ
แล้วก็ปีนั้นต่อมาอีก ๒ เดือน ฉันก็ไปอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วก็จะไปเข้าที่อำเภออู่ท
พอเรือเราไปจอด ปรากฏว่าพวกผู้หญิง จีนบ้าง ไทยบ้าง แบกโตก แบกขันแตก แบกเครื่องทองเหลือง ลงไปเป็นแถวสัก 20 ราย ขนาดแบกไปเลยนะ
ไปถึงแวะไปทางเรือก็ถาม "ทำไมโยม...?"
บอก "เอาเครื่องทองเหลือง ทองขาวทำบุญ"
"อ้าว...ก็ลำโน้นเขาโฆษณาจะ
ไอ้เราเครื่องขยายเสียงก็ไม
คนอื่นเขาก็กลับไปหมด ก็เหลือผู้หญิงจีนอยู่คนหนึ
พูดไป พูดมา พูดมาพูดไป ก็นึกขึ้นมาได้ว่า เราคิดว่าจะสร้างพระพุทธชิน
แกบอก "เอางี้ก็แล้วกัน ๓ ปี ฉันจะฝากไปด้วย"
ได้เรื่องเลย...ขันลงหินแกส
"เอางี้ดีกว่าโยม เวลาที่ฉันจะสร้าง ฉันจะมาใหม่"
แกบอก "ไม่ได้หรอก ดีไม่ดีฉันจะตายเสียก่อน"
แกก็ให้สตางค์ ๑๐ บาทเป็นค่าแรงงาน ให้ค่าบำเหน็จแล้วแกก็เดินก
"ขันแกไปไหนล่ะ?"
"ลำนั้นเขาสร้างเหมือนกันนะ
แกพูดเท่านั้นแหละ ยายพวกนั้นแบกลงมาอีกแล้ว
"ท่านทำไมโกหกฉันล่ะ?"
แล้วกัน แหม..ซวยเลย เราเสียยี่ห้อ บอก "ทำไมเล่า?"
"ก็ท่านจะสร้างพระพุทธชินรา
"อ้าว...ถ้ายังงั้นฉันก็ฝาก
ปรากฏว่า แกถือของลงมา ต่างคนต่างฝาก ก็ไม่ต้องนอนกันละ ปรากฏว่าเรือไม่มีที่นอน ทำยังไงล่ะ...มันชักจะยุ่งเ
เจ้าของเรือเขาก็ดี บอกว่า
"ไม่ต้องเช่า..วัดนี้ ถ้าวัดอื่นอาจจะต้องเช่า"
"เสียเวลานะโยม หลายวันนะ"
"เสียเวลาก็ไม่เป็นไร เรือไม่ได้ใช้"
เขาก็มาคุมเรือให้เอง เอาของใส่จอดอยู่ที่นั่น รุ่งขึ้นมึงมา กูมา ผลที่สุดเห็นท่ามันจะเต็มลำ
ปลัดเทศบาลก็แปลกเหมือนกัน บอกว่า "ถ้าวัดอื่นต้องเช่า แต่วัดนี้ไม่ต้องเช่า ผมให้พนักงานไปเสร็จ"
"เออ...ก็ดีเหมือนกัน มีคนร่วมมมือได้ด้วยดี...เส
เป็นอันว่ากว่าจะถึงวัด ทองเหลืองทองขาวเต็มทั้งเรื
ฝนตกตั้งแต่เริ่มสร้าง
เมื่อมาหาช่างก็รู้สึกว่ามั
"พอเริ่มปั้นหุ่น ฝนตกหนัก ปั้นหุ่นเสร็จ เอาสีผึ้งใส่ ฝนตกอีก เอาดินทรายทับ ฝนตกอีก"
เขาลากหุ่นไปจากกรุงเทพฯ ไปที่วัดบางนมโค พอไปถึง ฝนตกใหญ่ ทีนี้ก็มาถึงวันหล่อ ตามธรรมดาวันหล่อพระ ฝนต้องตกปรอยๆ ตกหยิมๆ จึงจะดี ใช่ไหม...วันนั้นไม่หยิมละ ล่อเม็ดโป้งๆเลย พอเทเสร็จฝนก็ลงจั้กๆ น้ำนอง พอเลิกแล้วหุ่นเย็นก็ให้ช่า
"ลักษณะอย่างนี้ พระเสียหมด หมายความว่าจะยกหุ่นมากรุงเ
ก็เลยบอกว่า "ไม่ได้หรอก งานมันยังมีอยู่ พิธีกรรมฉันเป็นคนทำนะ พิธีกรรมเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากว่าผลเสียหายเกิดขึ้น
ช่างแกเกิดไม่ยอมทุบ ก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ผลที่สุดก็ตัดสินใจ เสียเป็นเสีย ลักษณะฝนตกแบบนี้เขาต้องเสี
พอดีฝนมันแล้งจัด ชาวบ้านเขาจะไปเล่นนางแมวนา
บอกว่า "กลับไปเถอะ พรุ่งนี้เขาจะเอาพระพุทธชิน
ไอ้เราก็ชักใจเสีย จะไปไหนก็ไปไม่ได้ ถ้าฝนไม่ตกมันคงทุบเราแน่ ก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ บังเอิญก็ได้ พุทธานุภาพก็ได้ พอเรือที่บรรทุกพระพุทธชินร
ก็เป็นอันว่าการแบกพระขึ้นเ
"แกจะทำสักกี่ร้อยวันก็เชิญ
เขาก็ขนกันทำบุญ พอทำบุญเสร็จ เขาเวียนเทียนเสร็จก็เข้าที
อธิษฐานขอฝนตกที่อื่นก็ได้
ตอนนั้นมีเรื่องแปลกอีกเรื่
ก่อนจะไปก็อาราธนาท่าน ขอบารมีท่าน ไม่ได้แบกท่านไปด้วยหรอกนะ ถ้าเรือบ่ายหน้าเข้าคลองเล็
เมื่อไปถึง พอเรือเบนเข้าคลองเล็กปรากฏ
"ท่าน..ดินสูงมาก ได้อีกสักชั่วโมงก็ดี" เอางั้นอีก ไอ้เราก็ปากหมา บอก "เอาตีสองนะโยม...เอาอีก ๒ ชั่วโมง"
เราก็นึกว่าตีสองใครจะไปนั่
"ก็ท่านบอกตีสองฝนจะตก"
เราก็เลยบอกว่า "ฉันพูดไปยังงั้นแหละ ด้วยพุทธานุภาพ ท่านจะให้หรือไม่ให้ ฉันบังคับไม่ได้นะ"
เขาก็บอก "ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวขอดูใหม่"
ดาวที่เต็มฟ้าไม่มีมัวสักนิ
แต่ก็แปลก พอฉันจำจะต้องย้ายวัด เพราะครบ ๒๐ พรรษาตามที่หลวงพ่อปานท่านส
ถามท่านว่า "ทำไมจึงเป็นยังงั้น?"
บอก "ไม่มีใครเขารู้จักฉันนี่ แม้แต่ไหว้ยังไหว้ไม่ถูกเลย
ในหลวงพระพักตร์แจ่มใสเสด็จฯน้ำตกป่าละอูประจวบฯ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระพักตร์แจ่มใส เสด็จพระราชดำเนินจากวังไกลกังวล ไปยังน้ำตกป่าละอู จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อทอดพระเนตรความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า
เมื่อเวลา 16.50 นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินจากวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปยังน้ำตกป่าละอู เพื่อทอดพระเนตรความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าที่ยังคงความเขียวชอุ่ม เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิดและเป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชาวอำเภอหัวหิน และอำเภอปรานบุรี ของ จ.ประจวบคีรีขันธ์
โดยน้ำตกป่าละอูนั้น เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สูง 15 ชั้น อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน น้ำตกแห่งนี้ มีน้ำไหลลดหลั่นลงมาเป็นทางยาวสวยงามตลอดทั้งปี ซึ่งระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายนนี้ เหมาะแก่การศึกษาธรรมชาติ เนื่องจากอากาศเย็นสบาย สามารถพบเห็นสัตว์ป่าหายากและผีเสื้อหลากหลายชนิด
โอกาสนี้ทรงใหัอาหารปลาพรวง ปลาพื้นถิ่นที่อาศัยอยู่บริเวณน้ำตก แล้วทรงปล่อยพันธุ์ไก่ฟ้าหลังเทาแข่งแดง 10 ตัว , ไก่ป่าตุ้มหูแดง 19 ตัว , นกปรอทหัวโขน 29 ตัว และเม่นแผงคอยาว 4 ตัวด้วย ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประทับอยู่ที่น้ำตกแห่งนี้อยู่กว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับยัง วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน ในเวลา 17 นาฬิกา 30 นาที
ภาพโดยฝ่ายช่างภาพส่วนพระองค์ สำนักพระราชวัง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)