วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อานิสงส์เกาะบุญชายผ้าเหลืองลูกชาย โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย บวชเพื่อ....เปลี่ยนชีวิต ตอบแทนคุณ

อานิสงส์เกาะบุญชายผ้าเหลืองลูกชาย โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


ตัวอย่างในพระสูตรที่มีมา ในเรื่องของเณรสุบิน ท่านกล่าวว่า เณรสุบินคนนี้ปรากฏว่าบิดามารดาเป็นพราน แต่ว่าลูกชายมีจิตใจเลื่อมใสในศาสนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคติไม่ตรงกัน พ่อชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม่ก็มีอารมณ์จิตเหมือนกับพ่อ แต่ว่าสำหรับลูกชายกลับเป็นคนที่มีจิตน้อมไปในกุศลในพระพุทธศาสนา หนีพ่อหนีแม่ไปบรรพชาเป็นสามเณร เป็นอันว่าพ่อแม่สามเณรไม่มีโอกาสจะพบกัน
ต่อมา เมื่อกาลเวลาเข้ามาถึง พ่อและแม่ก็ตายจากความเป็นคน ด้วยอำนาจกรรมที่เป็นอกุศล พระยายมก็สั่งคนมาเชิญไปเป็นแขกรับเชิญ คือเชิญไปในขุมนรก เชิญไปในสำนักพระยายม ก็สอบสวนตามความเป็นจริงว่า ทำกรรมที่เป็นอกุศลอะไรบ้าง แกก็รับทุกอย่างว่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ตั้งแต่สัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ อาศัยกฎของกรรมอันนี้ ก็ปรากฏว่าท่านทั้งสองจะต้องลงนรก เขาจึงนำไป เมื่อนำไปแล้ว ตามธรรมดาสัตว์นรกที่มีกรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมด เมื่อเข้าเขตของนรกแล้ว ก็ต้องลงขุมได้ทันที
แต่ว่าบิดามารดาของสามเณรนี้ลงไม่ได้ นายนิรยบาลจึงจับโยนลงไปเข้าขุมนรก ก็ปรากฏว่ามีหวายใหญ่มารองรับ เป็นหวายร่างแหรองรับเข้าไว้ ไม่ตกลงไปในนรก ทำอย่างนี้ถึง 3 วาระ คนทั้งสองลงนรกไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าในเมื่อพ่อและแม่เห็นแสงไฟ ก็คิดขึ้นมาในใจว่า แสงไฟนี้คล้ายจีวรของพ่อเณรน้อย เพราะว่าเณรไปบวช ทราบว่าบวชก็ไปทวงให้สึก เณรก็ไม่สึก เห็นภาพเณรเพียงนิดเดียวเท่านั้น จิตใจนึกขึ้นมาได้ว่า เณรลูกชายของเรามีสีจีวรคล้ายเปลวไฟ เพราะไปบางตอนมันมีสีเหลือง จิตคิดเป็นอย่างนี้ เป็นอันว่าบิดามารดาทั้งสองศรีลงนรกไม่ได้ นายนิรยบาลก็นำกลับมาสำนักพระยายม
พระยายมก็สอบถามว่า “กรรมใดที่เป็นกุศลนะ ท่านไม่เคยทำบ้างเลยหรือ”
สำหรับบิดามารดาของสามเณรก็กล่าวว่า “กรรมใด ๆ ที่เป็นกุศล ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตาย ไม่เคยทำ มีอย่างเดียวคือมีลูกชายอยู่คนหนึ่งชื่อสุบิน เธอไม่พอใจในการทำอกุศลกรรมความชั่ว สอนให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เธอก็ไม่ทำ ในที่สุดเธอก็หนีไปบวชเป็นสามเณรน้อยในพระพุทธศาสนา”
เป็นอันว่า พระยายมก็ทราบว่านี่บุญลูกชายบวชเณร ท่านจึงกล่าวว่า “ในเมื่อลูกชายบวชเณร เราสอบสวนในตอนก่อนทำไมเจ้าจึงไม่บอก”
บิดามารดาของสามเณรบอกว่า “นึกไม่ออก เพราะกรรมที่เป็นอกุศลบัง มันกดปากเข้าไว้ บังใจไม่ให้นึกถึง”
เป็นอันว่าในเมื่อพระยายมทราบอย่างนั้น จึงได้กล่าวว่า เพราะอำนาจกุศลที่ลูกชายของท่านบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา จึงเป็นเหตุบันดาลให้ลงในขุมนรกไม่ได้ ฉะนั้น ท่านจงได้รับผลของกรรม คือความดีต่อไป ก็หมายความว่าไปเกิดบนสวรรค
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับพระสูตรนี้ความจริงยาวมากกว่านี้ เวลามันมีจำกัด ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์แสดงให้เห็นว่า ท่านทั้งหลายที่มีบุตรชายบวชเป็นสามเณรก็ดี บวชเป็นพระก็ดี ในพระพุทธศาสนา แม้ว่าท่านจะไม่ยินดีหรือไม่ทราบ ท่านก็มีอานิสงส์มาก จะนั่งเทศน์ถึงอานิสงส์ถามกันไปตอบกันมาสิ้นเวลา 1 กัป ก็ไม่จบ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระนราสภจึงได้ทรงสรุปไว้ว่า “การอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนา ย่อมเป็นปัจจัยเข้าถึงพระนิพพาน”
บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ย่อมทราบดีว่าการอุปสมบทบรรพชานี้มีอานิสงส์มาก แล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าเป็นสามัญผล คือเป็นผลที่เสมอกัน คนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ ย่อมมีสิทธิเสมอกันในการทรงสิกขาบท และสามารถที่จะกำหนดจิตปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานได้เสมอกัน ฉะนั้น จึงจัดว่ามีอานิสงส์มาก
ในที่สุดนี้ อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนา ทั้งสามประการ ขอจงบันดาลให้บรรดาพุทธบริษัททุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง 4 ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านปรารถนาสิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นจงสมความปรารถนาทุกประการ
*****************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น