วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อวยพร วันปีใหม่2016/2559

...เหลือ 5 วันสุดท้ายปี 2015 ^^

... ให้อภัยคนที่ทำร้ายฉัน
... ขออภัยคนที่ฉันทำร้าย
... ขอบคุณคนที่รักฉัน
... ขออวยพรให้คนที่ฉันรัก
... ขอบคุณคนรอบข้างฉัน
... คนที่คิดถึงฉันจงคิดถึงฉันต่อไป
... ใจเหนื่อยล้าก็ปล่อยวาง
... กายอ่อนล้าก็พักผ่อน
... หลุดลอยไปแล้วไม่กลับมา
... ให้ทนุถนอมสิ่งที่กลับคืนมา

ในปี 2016.

... จงมาแต่สิ่งดีดี สิ่งร้ายร้ายจงไป
... สุขภาพยังคงแข็งแรง
... โรคภัยจงไป อย่าแผ้วพาน
... ขออวยพรให้ร่มเย็น มีความสุข
... ร่ำรวยเงินทอง ไม่ขัดส

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เรียนเชิญร่วมบุญ โครงการก่อสร้างรูปเหมือนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ องค์ใหญ่ที่สุด วัดวีระโชติธรรมาราม คลองหลวงแพ่ง เมือง ฉะเชิงเทรา

เรียนเชิญร่วมบุญ โครงการก่อสร้างรูปเหมือนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ องค์ใหญ่ที่สุด
วัดวีระโชติธรรมาราม คลองหลวงแพ่ง เมือง ฉะเชิงเทรา
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2558

สำหรับผู้ที่จะร่วมทำบุญมี 2 วิธี นะครับ
/1/.ทำบุญได้ที่วัดตลอดเวลา 
/2/.ผ่านบัญชีธนาคาร

1.ธนาคารกรุงเทพ สาขาสุวินทวงศ์ ฉะเชิงเทรา กองทุนสร้างหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(องค์ใหญ่) เลขที่ 386-8-00603-6
2.ธนาคารกสิกรไทย สาขาสุวินทวงศ์ ฉะเชิงเทรา กองทุนชมรมลูกพระราชพรหมยานฯ เลขที่ 409-2-48761-5
3.ธนาคารไทยพานิชย์ สาขาสุวินทวงศ์ ฉะเชิงเทรา กองทุนสร้างหลวงพ่อฤาษีลิงดำองค์ใหญ่ที่สุด เลขที่ 404-309737-9

โอนแล้วแจ้ง sms ที่เบอร์ 087 922 4888

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

๓๑ธ.ค.-๑ม.ค.สวดมนต์ข้ามปี รับโชคปีใหม่๒๕๕๙ ณ วัดวีระโชติธรรมาราม ฉะเชิงเทรา





๓๑ธ.ค.-๑ม.ค.สวดมนต์ข้ามปี รับโชคปีใหม่๒๕๕๙ ณ วัดวีระโชติธรรมาราม ฉะเชิงเทรา

เชิญทุกท่านร่วมสวดมนต์ข้ามปี พิธีสวดภาณยักษ์ รับโชคปีใหม่ สะเดาะเคราะห์ แก้ปีชง เปลี่ยนชะตาชีวิต ปราศจากทุกข์โศรกโรคภัย และพิธีเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่บุญมา วัดบ้านแก่ง หน้าตัก ๓๒ นิ้ว
ผู้เข้าร่วมพิธีรับแจกสมเด็จฯ รุ่นชนะจน
วันพฤหัสบดี ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ - ๑ มกราคม ๒๕๕๙ ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น.
ณ วัดวีระโชติธรรมาราม เมือง ฉะเชิงเทรา

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วิธีต่ออายุอย่างง่ายๆ โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

วิธีต่ออายุอย่างง่ายๆ โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง




การต่ออายุก็ต้องทำให้มันถูก ถ้าทำไม่ถูกแล้วก็เสียเงินเปล่า ถ้าบังเอิญเป็น อายุขัยต่อเท่าไรไม่สำเร็จผล เพราะเชื้อไฟเดิมดับ หมดบุญบารมีที่ทำมา การหมดบุญบารมีนั้นแม้อายุขัยก็ไม่แน่ บางคนเป็นเด็กก็หมดอายุขัย บางคนก็เป็นหนุ่ม เป็นสาว บางคนวัยกลางคน บางคนก็ถึงวัยแก่ อายุขัยนี่ไม่แน่นอนนัก 

คำว่า อายุขัย นี่หมายความว่าก่อนที่จะเกิด กฎของกรรมดีหรือกรรมชั่วกำหนดชีวิตให้มาเท่าไรถ้ากำหนดชีวิตมา ๒๐ ปี ก็ต้องแค่ ๒๐ ปี ๑๐ ปีก็ต้อง ๑๐ ปี ๓ วัน ก็ต้องแค่ ๓ วัน นี่เป็นอายุขัยต่อไม่ได้ ถ้าตายก่อนนั้นเขาเรียกว่า "อุปฆาตกกรรม" หรือว่า "อกาลมรณะ" อย่างนี้ต่อได้ และถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายจะต่ออายุแบบนี้ ก็ต่อเสียทุกวันก็หมดเรื่องกัน 

วิธีต่อทุกวัน ก็หมายความว่า ให้ทุกท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ อย่างจริงจัง และก็ต้องเว้นจากกรรมที่ เป็น ปาณาติบาต และถ้ามีเวลาเดินผ่านไป มีใครเขาหาปลาหาเต่า ที่เขาจะฆ่ามันให้ตายก็ออกสตางค์ซื้อ พอกำลังที่เราจะซื้อได้ แล้วก็นำไปปล่อยในที่ปลอดภัย ไม่ใช่ปล่อยในหม้อข้าวหม้อแกงของเรานะไปปล่อยในสถานที่ ๆ เธอจะมีความสุขในแม่น้ำก็ได้ หนอง คลอง บึงก็ได้ปล่อยให้เธอรอดชีวิต 

ตามวิธีโบราณาจารย์ท่านสอนไว้อย่างนี้นะว่า 

วิธีต่ออายุใหญ่ คือถึงปีหนึ่งถ้าเป็นวันเกิด หรือเป็นวันสำคัญของเรา วันไหนก็ได้ทำกับข้าว ทำอาหารพิเศษตามที่เราพอใจ เท่าที่ทุนจะพึงมี จัดการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็ถ้าหากว่ามีสตางค์ก็สร้างพระพุทธรูปสัก ๑ องค์

พระพุทธรูปนี่จะเป็นพระดินเหนียวก็ได้ เป็นพระปูนซีเมนต์ก็ได้ เป็นปูนปลาสเตอร์ก็ได้ หรือพระโลหะก็ได้ไม่จำกัด เพราะเป็นรูปพระแล้ว มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ต้องมีหน้าตักไม่น้อยกว่า ๔ นิ้ว ถวายไว้เป็นสมบัติของสงฆ์

หลังจากนั้นก็เอาสัตว์ที่จพึงถูกฆ่าตาย อย่างที่เขานำเอามาขายเพื่อแกงหรือที่เขาทอดแหสุ่มปลาได้ ถ้ามีสตางค์ก็ไปซื้อเขาสักตัว ๒ ตัว ตามกำลัง แล้วปล่อยไป และก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาผู้รักษาชีวิต ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้เป็นนิจ คำว่า อุปฆาตกกรรม คือกรรมที่เข้ามาริดรอนก่อนอายุขัยก็ดี และ อกาลมรณะ การที่จะตายก่อนอายุขัยก็ดี จะไม่มีสำหรับผู้ที่ทำแบบนี้ แต่ทว่าถ้ากรรมอย่างนี้เข้ามาถึงแค่ป่วยไม่มากก็เป็นของธรรมดา
 

เรื่องการต่ออายุนี่ มีในพระพุทธศาสนา 

แต่ว่าวิธีการต่ออายุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเดี๋ยวนี้ที่ทำกันก็จ่ายหนักอยู่เหมือนกันนะ เอาพระไปสวดตั้ง ๗ วันนี่ เสียทั้งข้าว ทั้งน้ำ นี่บางทีก็ต้องจ่ายสตางค์ด้วย แย่เหมือนกันนะพระเองก็จะทนไม่ไหว ก็เลยใช้สายสิญจน์ก็แล้วกัน แต่ว่าสายสิญจน์ที่ทำกันนั้น ก็อย่าลืมพระรัตนตรัย แต่ทางที่ดีญาติโยมพุทธบริษัทถ้าจะทำอย่างนั้นนะ ถ้าคนป่วยจริง ๆ อย่าปล่อยให้ไม่มีความรู้สึกตอนที่สติยังอยู่ดี ๆ อยู่ ให้นิมนต์พระไปสวดสักครั้งหนึ่ง แต่ไม่ใช่สวด อภิธรรม หากเป็นสวด พระปริตร วงสายสิญจน์ล้อมรอบ ถ้าผู้ป่วยจะต้องตายเพราะสิ้นอายุขัยก็ต้องตายแน่ สายสิญจน์ป้องกันไม่ได้ 

แต่ว่าถ้าท่านผู้นั้นจะตาย อย่าลืมว่าคนป่วยก็เหมือนกับคนที่ตกน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็นเราส่งอะไรให้เกาะเขาก็จะเกาะ ส่งไม้ให้เกาะเธอก็เกาะ ส่งสุนัขเน่าให้เกาะ เธอก็เกาะ เพราะต้องการทรงชีวิตอยู่ ก็เช่นกันถ้าคนป่วย เห็นพระสวด พระปริตร จิตของคนป่วยในตอนนั้น ได้รับสมาทานศีลก่อน เวลานั้นก็จะรับการสมาทานศีลอยู่ด้วย สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ทำให้เป็นคนที่มีศีลเวลาที่มีการสวด พระปริตร จิตก็จะฟังพระสวดด้วยความเคารพ จิตจะยึดอยู่กับพระหลังจากพระกลับแล้ว จิตจะจับอารมณ์นั้นตลอด เพราะในขณะป่วยไม่มีโอกาสทำลายศีลต่อไปอีกเพราะกำลังป่วยอยู่ก็ไม่สามารถที่จะไปฆ่าใคร หรือลักขโมยใคร ถือว่าเป็นคนป่วยที่มีศีลบริสุทธิ์ 

ถ้ามีการถวายทานด้วย ไม่ว่าทานนั้นจะเป็น ธูป เทียน ดอกไม้ หรือปัจจัยโภชนาหารก็ตามถือว่าเป็นการถวายทานแก่พระสงฆ์ กำลังของทานจะช่วยคนป่วยได้อีกแรงหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ด้านอนุสสติ ถ้ามีพระพุทธรูปด้วย จิตของเธอจะจับพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสสติ จำเสียงสวดเป็น ธัมมานุสสติ การนึกถึงพระสงฆ์ ไปสวดก็เป็น สังฆานุสสติ ถ้าเป็นอายุขัยที่จะพึงตายบาปกรรมใด ๆ ที่ทำมาแล้วในกาลก่อนจะไม่มีโอกาสให้ผลในเวลานั้น เหลือแต่บุญอย่างเดียวที่จะประคับประคองคนนั้นไปสวรรค์ ไปพรหมโลกหรือไปนิพพาน

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

๕-๗ธ.ค.๒๕๕๘ ปฏิบัติธรรมถวายในหลวง

พุทธโอวาทก่อนปรินิพพานว่า
"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่าน สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ”
ในมหาปรินิพพานสูตร
วัดวีระโชติธรรมาราม เชิญชวนประชาชน พุทธศาสนิกชนร่วมปฏิบัติธรรม เจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนาเฉลิมพระเกียรติ
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา
๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ระหว่างวันที่ ๕ - ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๘
ณ สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา แห่งที่ ๒๘ วัดวีระโชติธรรมาราม ตำบลคลองหลวงแพ่ง(คลองอุดมชลจร) อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ก่อนตายจะไปเกิดที่ไหนมีนิมิตบอก... จาก...หนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๔ หน้า ๑๔ โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

...ก่อนตายจะไปเกิดที่ไหนมีนิมิตบอก...
จาก...หนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๔ หน้า ๑๔ โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
"....ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคน ทุกวันถ้ามีความจำเป็นต้องทำบาป อย่างพวกปลูกผักปลูกหญ้านี่ เวลาที่ทำแล้วกลับมาบูชาพระลืมบาป ทิ้งบาปเสีย
...ตั้งใจภาวนา พุทโธ บ้าง สัมมาอรหัง บ้าง อะไรก็ได้ตามชอบใจ
พอถึง เวลาบูชาพระ ก็ นึกถึงเฉพาะพระ เวลาเราจะหลับนึกถึงเฉพาะพระนิพพาน เป็นอารมณ์ ตั้งใจไว้เลยว่าเราจะไปนิพพาน ถ้าชาตินี้ตายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น แล้วภาวนาว่า พุทโธ จับลมหายใจเข้าให้หลับไป
...พอตื่นขึ้นมาใหม่ก็ตั้งใจเฉพาะภาวนาว่าพุทโธ เราจะไปนิพพาน
เอาแค่นี้บรรดาพุทธบริษัท ขอยืนยันว่า ถ้าทุกคนทำได้จริง คำว่าทำได้จริงก็หมายความว่า เวลาเข้าบ้านปั๊บ ถึงเวลาบูชาพระ จิตต้องไม่นึกถึงบาป
....แล้วก็ภาวนาว่า พุทโธ ตั้งใจไปนิพพาน พอตื่นขึ้นมาปั๊บจิตก็นึกถึงพระนิพพานขึ้นมาทันที ภาวนาว่า พุทโธ อย่างนี้จิตเป็น ฌาน ถ้าจิตเป็นฌานอย่างนี้ทุกคน สังเกตเวลาตาย กำลังบารมียิ่งมีความสำคัญ
...ถ้าบารมีของเรายังอ่อนถ้าเวลาตายเห็นกองไฟ มีความสุข เพราะอะไรรู้ไหม ปลาจะสุกได้เพราะไฟใช่ไหม นั่นลงนรกแน่นอน
...ถ้าเห็นป่าจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
...เห็นก้อนเนื้อไปเกิดเป็นมนุษย์ ภาพเกิดก่อนจะตายนะ
...ทีนี้ถ้าเราเป็นคนมีบุญ เมื่อมันจะตายจริง ๆ ถึงแม้จะมีบุญน้อย เรานึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึง พุทโธ ไว้ ขณะนั้นถึงแม้จะมีทุกขเวทนาก็ตามใจแต่ว่าตอนต้นเรานึกถึง พุทโธ ไว้ ก่อนจะตายประมาณ ๓ วัน จะมีรถทิพย์มารับพร้อมกับเทวดานางฟ้าแวดล้อม ถ้าเราเห็นเทวดานางฟ้าอยู่ข้างหน้า พรหมอยู่ตรงกลาง พระอรหันต์อยู่ข้างหลัง เราก็เกิดบนสวรรค์
...ถ้าเราเห็นพรหมอยู่ข้างหน้า พระอรหันต์อยู่ตรงกลาง นางฟ้าเทวดาอยู่เบื้องหลัง เราไปเกิดเป็นพรหม
...ถ้าเราเห็นพระพุทธเจ้าอยู่แถวหน้า พระพุทธเจ้าอยู่แถวหน้า นั่นเราไปนิพพานแน่..."

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

ตำรายารักษามะเร็ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ตำรายารักษามะเร็ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
ประกอบด้วยแห้วหมู ขมิ้นชัน ปูนกินหมาก เป็นตำรับยาหมอชีวกโกมารภัจ สูตรนี้เอามะเร็งเบาหวานอยู่
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมญาณเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณมาตั้งแต่ยังไม่ บวช หลังจากบวชแล้วก็ได้เป็นผู้ช่วยหลวงปู่ปาน รักษาคนไข้ และได้เรียนวิชาแพทย์จากท่านที่มีอทิสสมานกายอีกมาก วิชาเหล่านี้ต่อมาจากท่านละทิ้งหมด จนกระทั้งเริ่มรับลูกศิษย์ และเห็นทุกขเวทนาของลูกศิษย์บางคน จึงได้บอกสูตรยาต่าง ๆ ให้ รายละเอียดมีดังนี้
สูตรยาแก้โรคมะเร็งและโรคอักเสบภายในต่างๆ
สูตรตัวยามีดังนี้ ขมิ้นชัน ๑ กำมือ กับหญ้าแพรก ๑ กำมือ โขลกให้ละเอียดคั้นกับน้ำปูนใส (ปูนกินกับหมาก) แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
วิธีใช้ รับประทานครั้งละประมาณ ๑ ถ้วยชา หรือประมาณ ๓๐ ซี.ซี รับประทานวันละ ๑ ครั้ง ก่อนอาหารเช้า ๓๐ นาที หรือ ๑๕ นาที เป็นอย่างน้อย
รักษาโรคมะเร็ง และโรคอักเสบต่าง ๆได้ทั้งหมด เช่น โรคกระเพาะ โรคลำไส้อักเสบ ตับอักเสบ ไตอักเสบ ฯ ล ฯ ถ้าโรคเบาหวาน ขณะที่กินยา ห้ามกินกะปิกับของแสลง คือของหวานในช่วงกินยา ๓ วันหาย
ประวัติของยานี้หลวงพ่อเล่าให้ฟัง เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๘ ยานี้ท่านหมอ โกมารภัจมาบอกหลวงพ่อ โดยหลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า
“ ยานี้คือยารักษาโรคมะเร็ง โรคเบาหวานเพียงแค่พื้น ๆ โรคกระเพาะ โรคตับนี้รักษาง่าย ท่านบอกว่า แต่อย่าไปรับรองชาวบ้านเขานะ ห้ามรับรองชาวบ้านเขา ฝีในท้องกิน ๓ ระยะ ๆ ๓ วัน เว้น ๗ วันหาย บอกว่าถ้าหัวฝีแตกยิ่งดีใหญ่ โรคไต ๓ ถ้วยหายโรคอักเสบทั้งหมดรักษาได้ทุกอย่าง โรคเบาหวานห้ามกินกะปิ และของหวานในช่วงเวลาที่กินยา คนไข้คนไหนไม่เว้นของแสลง ไม่ควรสงสาร เพราะว่าตัวเขาเองยังไม่รัก แล้วเราจะไปรักทำไมต้องถือคตินี้นะ
ประวัติ ความเป็นมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ตอนนั้นอยู่ชัยนาท คุณสมศรี เธอเป็นโรคมะเร็งในมดลูก รักษาตัวมาเป็นเดือนหมดเงินเป็นหมื่น มะเร็งระยะสองไม่หาย เธอมาปรารภอาการป่วยให้ฟัง ยาฉันก็ไม่มี ฉันไม่รู้จะไปหาที่ไหน นั่งนึกถึง ท่านโกมารภัจ ท่านก็มาท่านบอกให้แม่มันไป ตลาดโพธิ์นางดำ ไปถามหมอโบราณที่นั่น หมอชื่ออะไร รูปร่างอย่างไร ท่านก็ไม่บอก บอกไปเถอะไปเจอใครเขาบอกยาองเขารักษาหาย ให้เอามารักษาจะหาย ไม่ใหม่ประวัติความเป็นมาจำไว้นะ
แล้ว แกก็ไปหาทันที ไปรอลงเรือที่ ประตูน้ำเขื่อนเจ้าพระยา ก็ไปรอลงเรือ
ไอ้ท่าเรือก็มีผู้ชายคนหนึ่งผอมโปร่งผิวขาว แต่งตัวเรียบร้อยไม่พูดไม่จากับใคร
นั่งเฉยหัว ก็ขาวโพลน นั่งเฉยคอยเรือเกือบชั่วโมงไม่พูดกับใครเลย
เวลาลงเรือหางยาวบังเอิญ นั่งคู่กันไป เรือวิ่งไปประมาณ ๑ กิโลเมตร แกหันมาถามว่าหนูจะไปไหน บอกจะไป ตลาดโพธิ์นางดำ ถามไปทำไม บอกลูกสาวประจำเดือนออกไม่หยุด หมอบอกเป็นมะเร็งที่มดลูก ชายคนนั้น แกถามต่อไปว่า แล้วนี่จะไปไหน บอกไปหาหมอ ถามหมอชื่ออะไร แกบอกไม่รู้ บอกไม่รู้ไปอย่างไร
บอกว่าพระท่านบอกถ้าไปเจอหมอที่ โพธิ์นางดำ ท่านเป็นหมอโบราณ
ถ้าท่านบอกยารักษาหายให้นำมาเลย บอกถ้าอย่างนั้นไม่ต้องไป ยาที่ฉันมีพอเรือหางยางสวนมาแกกวักมือบอกกลับได้
แล้ว ปรากฏว่าวันหลังไปถามเรือหางยาวคนนั้นว่า คนรูปร่างแบบนั้นขึ้นที่ไหน ไอ้เรือหางยาวเขารู้จักกันบอกเวลานั่งมาเห็น เลาขึ้นไม่เห็นตอนขึ้นเขาเก็บสตางค์ ไม่เห็นโดดน้ำไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แก่ทำกินไม่ถึงถ้วยชา แคครึ่งถ้วยชา ถ้วยเดียวหาย แต่ท่านบอกว่าให้กิน ๓ ถ้วย แล้วจะหายสนิทมะเร็งนี่นะ ไอ้โรคเบาหวานเรื่องเล็ก ๆ เล็ดหมดเลย เบาหวานขนาดม้า มะเร็งขนาดช้าง ท่านเลยบอกว่าหาย ไอ้โรควัณโรคนานหน่อยนะ กิน ๓ วันติด ๆ กัน เว้น ไป ๗ วัน ๓ ระยะ เท่ากับกิน ๙ ถ้วยหาย
ท่านก็เลยสรุปอักเสบทั้งหมดใช้ได้หมดเลย เดี๋ยวลองถามท่านกินบ่อย ๆ จะได้ไหม ท่านบอกว่าป้องกันโรคต่าง ๆ ปีละงวด ๓ ถ้วย กิน ๓ วัน ถ้ากินป้องกันร่างกายทรุดโทรม ๖ เดือนงวด จะไปกินเร็วกว่านั้นไม่ได้ ๖ เดือนกิน ๓ ถ้วย
แต่ท่านบอกว่าอย่าไปรับรองใครเขานะ บอกเราเคยกินหายมาแล้ว เราอย่าไปรับรองผล ถ้าบังเอิญมันเป็นระยะปลาย และคนนั้นจะต้องตายมีอยู่ อย่าไปรับรองเขา แล้วท่านบอกว่า หญ้าแพรกทำให้เย็น ขมิ้นรักษา และน้ำปูนใสทำให้อย่างแห้งเร็ว
หมายเหตุ
ก่อนกินยานี้ให้นำดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ ขอพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยให้โรคหายไปจากร่างกาย ขอพรท่านโกมารภัจเจ้าของยา ขอให้ท่านช่วยให้ยานี้มีฤทธิ์ทำลายโรคให้หมดไป ขอพรท่านแม่ศรีช่วยด้วย ขอให้โรคทั้งหลายสลายตัวไปให้หมด นับตั้งแต่กินยานี้เข้าไปแล้ว ยานี้ใช้ได้ผลเฉพาะบุคคลที่มีความเชื่อในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เท่านั้น
หมายเหตุ 
สูตรบนที่ใช้แห้วหมู มะเร็งกับเบาหวาน ส่วนหญ้าแพรกคลอบคลุมหลายโรค มีเรื่องกระเพราะ ตับ ไต เข้ามาด้วย

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

เรื่อง ของสงฆ์ต้องระวัง จาก : หนังสือ พระราชพรหมยานโอวาท หน้า ๕ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


เรื่อง ของสงฆ์ต้องระวัง
จาก : หนังสือ พระราชพรหมยานโอวาท หน้า ๕
โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

การนำของสงฆ์ไปเป็นทรัพย์ส่วนตัวนั้นต้องระวัง
แม้แต่เศษกระเบื้องแตกๆ เล็กๆ ชิ้นเดียวหรือ
ดอกไม้ดอกเล็กๆ ชิ้นเดียว ใบไม้ที่ไร้ค่าจริงๆ แล้ว
ใบเดียว ท่านนำไปโดยที่สงฆ์ไม่ได้อนุญาติ
ก็ถือว่าเป็นการขโมยของสงฆ์
ผลที่จะพึงได้รับก็คือ อเวจีมหานรก

ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคน
ถ้าเป็นลูกเป็นหลานพระ เป็นญาติของพระ
เป็นผู้ที่รับมรดกจากพระ
เมื่อพระตายแล้ว บอกให้พระที่มีส่วนสำคัญของ
ท่านมอบเสียก่อนตาย
ถ้ายังไม่สามารถจะยกให้ไปได้ ให้ทำพินัยกรรม
แล้วก็มีฆราวาสและมีพระเป็นพยาน
ว่าของส่วนนี้เมื่อท่านตายไปแล้วเป็นสมบัติที่บุคคล
นั้นจะพึงได้ บุคคลนี้จะพึงได้
ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ถ้าพระตายไปก่อนแล้วท่านนำ
เอาไปบ้านของท่าน อย่าลืมว่าโทษลักของสงฆ์
เป็นของไม่เล็กเลย ความจริงเราได้มาเราก็ตาย
เราไม่ได้มาเราก็ตาย
ทางที่ดีก็ควรจะตายแบบประเภทที่เรียกว่าไปอยู่
ในแดนที่มีความสุขดีกว่า
ถ้านำของสงฆ์ไป อย่างน้อยท่านก็ลงอเวจีแน่นอน
ไม่มีทางพ้น

ทีนี้ของที่จะพึงรับได้ก็ต้องดูว่า
ของที่พระท่านให้ไว้เป็นทรัพย์สินมาจากอะไร
เป็นทรัพย์สินดังเดิมจากฆราวาสหรือว่าเขาถวาย
เมื่อสมัยเป็นพระ
ถ้าเป็นทรัพย์สินที่มีญาติโยมพุทธบริษัทที่มีศรัทธา
ถวายมาในระหว่างเป็นพระ
อย่ารับเลยบรรดาท่านพุทธบริษัท
ถ้าของที่เขาถวายมานั้นระหว่างเป็นพระแล้ว
จะถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพระองค์นั้นไม่ได้ แต่ว่าทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้นจะโอนให้ญาติ
ไม่ได้แน่นอน

‪#‎กองทุนเพื่อพระนิพพานชมรมคณะลูกหลานศิษย์หลวงพ่อวัดวีระโชติฯ‬

อานิสงส์ของศีล โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วัดท่าซุง)

อานิสงส์ของศีล
.....การนึกถึงพระพุทธเจ้าจัดว่าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน
การนึกถึงพระธรรมคำที่พระสวด หรือคำที่พระเทศน์เป็น ธัมมานุสสติกรรมฐาน
.....การนึกถึงพระสงฆ์เป็น สังฆานุสสติกรรมฐาน
กรรมฐานทั้ง ๓ อย่างนี้ ถ้าบรรดาพุทธบริษัทท่านใดต้องการมีความมั่นคงอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเป็นพุทธานุสสติ นึกถึงพระพุทธเจ้าก็ดี เป็นธัมมานุสสติ นึกถึงพระธรรมก็ดี เป็นสังฆานุสสติ นึกถึงพระสงฆ์ก็ดี
.....โดยเฉพาะไว้ กำลังใจมีความมั่นคงตรงต่อพระพุทธเจ้า หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะ อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตายแล้วลงนรกไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องไปสวรรค์
.....นอกจากนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านตั้งใจไว้ว่า มาถึงวัดเราจะรับศีล ๕ ก็ดี ขึ้นชื่อว่าศีล อานิสงส์ของศีล ก็มีอยู่ว่า
.....ที่พระพุทธเจ้าตรับไว้ตอนท้ายว่า
“ สีเลนะ สุคติง ยันติ ”
ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดบนสวรรค์
“ สีเลนะ โภคสัมปทา ”
ศีลเป็นปัจจัยให้เราเกิดไปชาติหน้า มีทิพยสมบัติมาก
“ สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ”
.....ศีลเป็นปัจจัยให้เข้าพระนิพพานได้โดยง่าย
.....รวมความว่า กำลังใจขั้นที่ ๒ ของบรรดาท่านพุทธบริษัททำให้เกิดบนสวรรค์ก็ได้ เกิดบนพรหมโลกก็ได้ บนนิพพานก็ได้
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วัดท่าซุง)

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

มโนมยิทธิ มโนมยิทธิแปลว่ามีฤิทธิ์ทางใจ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

มโนมยิทธิ มโนมยิทธิแปลว่ามีฤิทธิ์ทางใจ ในที่นี้ท่านหมายเอาการถอดจิตออกจากร่างแล้วท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ ความจริงมโนมยิทธินี้ ท่านจัดไว้ในส่วนอภิญญา แต่เพราะท่านที่ทรงวิชชาสาม ก็สามารถจะทำได้ จึงขอนำมากล่าวไว้ในวิชชาสาม
เมื่อท่านทรงฌาน ๔ ได้ในกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็เป็นอันว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะทรงมโนมยิทธิได้ เช่นเดียวกับได้ทิพยจักษุญาณแล้ว ก็มีสิทธิ์ได้ญาณอีกเจ็ดอย่างได้ตามที่กล่าวมาแล้วในข้อว่าด้วยทิพยจักษุญาณ ท่านประสงค์จะท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ จะเป็นภพใดก็ตาม นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน ดินแดนในมนุษย์โลกทุกหนทุกแห่ง ดาวพระอังคาร พระจันทร์ พระศุกร์ ไม่ว่าบ้านใครเมืองใคร เมืองฝรั่ง เมืองแขก เมืองเจ็ก เมืองญวน ท่านไปได้ทุกแห่ง โดยไม่ต้องเสียเวลารอคอยใคร ไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นขับเคลื่อน หรือเจ้านายเหนือหัวคนใด ที่จะคอยกำหนดเวลาออกเวลาถึงให้ ไม่ต้องเสียค่าพาหนะอะไรมากมายอะไร เพียงกินข้าวเสียให้อิ่ม เพียงอิ่มเดียว
ซื้อตั๋วด้วยธูปสามดอก เทียนหนึ่งเล่ม ดอกไม้สามดอก ถ้าหาได้ หากหาไม่ได้ท่านก็ให้ไปฟรี ไม่ต้องเสียอะไร เพราะท่านเอาเฉพาะหน้าที่หาได้ ถ้าหาไม่ได้ ท่านอนุญาต ใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ จะเข้าบ้าน สถานทำงาน ห้องนอนใครก็ตาม ก็เข้าได้ตามประสงค์ ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้าน สำรวจความลับได้ดีมากใครทำอะไร ซุกซ่อนเอาไว้ที่ไหนมีเมียน้อยเก็บไว้ที่ไหน ก็สำรวจได้หมด ไม่มีทางปกปิด วิธีทำเพื่อไปทำอย่างนี้
ท่านให้เข้าฌาน ๔ ทำจิตใจให้โปร่งไสวดีแล้ว กำหนดจิตว่า ขอร่างกายนี้จงเป็นโพรงก็จะเห็นว่าร่างกายเป็นโพรงใหญ่ ต่อแต่นั้นก็กำหนดจิตว่า ขอร่างอีกร่างหนึ่งจงปรากฏขึ้นภายในกายนี้ กายอีกกายหนึ่งก็จะปรากฏขึ้น
ต่อไปก็ค่อยบังคับกายนั้น ให้เคลื่อนไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แม้กระทั่งตับไตไส้ปอด ลำไส้ทุกส่วน เส้นเลือดทุกส่วน ประสาททุกส่วน บังคับให้กายนั้นเดินไปตรวจให้ถ้วนทั้งร่างกาย จะเห็นว่าแม้เส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ร่างนั้นก็เดินไปได้อย่างสบาย จะเห็นเส้นเลือดนั้นเป็นเสมือนถนนสายใหญ่ เดินได้สะดวก เห็นร่างกายนี้เป็นโพรงใหญ่ คล้ายเรือหรือถ้ำขนาดใหญ่

องค์ปฐม จากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓" โดย พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

"วันหนึ่งสมเด็จท่านพามาที่วิมาน นิพพานที่มันกว้างลิ่ว และบ้านนี่นะนานๆจะได้ไปสักที ส่วนมากก็ไปนั่งป๋ออยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปอยู่ที่นั่นแล้ว เวลาเราตายมันจะไปไหน อาตมาเป็นคนเกาะ พุทธานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ตลอดเวลา ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าวันนั้นตายดีกว่า มันจะเป็นยังไงก็ตาม ยิ่งป่วยยิ่งไข้ยิ่งหนัก ป่วยนิดเดียวจิตจะไม่ยอมคลาดพระพุทธเจ้า เราถือว่าถ้าเราเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ มันจะตายลงนรกก็ยอม ท่านคงไม่ยอมให้ลง แล้วท่านก็พาไปดูที่วิมาน ชี้ให้ดูบอกว่า "คณะของคุณมันมาก เพราะคุณใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป และเป็นฝ่ายวิริยาธิกะ"
เป็นอันว่าคณะของเราที่ตามกันมาเป็นระยะ ไอ้ที่เขาหนีไปนิพพานแล้วนับไม่ถ้วน พวกนั้นขี้ขลาดสู้เราไม่ได้ ไอ้เราต้องมาตกระกำลำบาก ช่วยกันวิ่งโน่นวิ่งนี่ ไอ้ที่จะกินก็ยังไม่มี แต่ยังพยายามหาเลี้ยงคนอื่น ใช่ไหม....
วันนี้มีเวลาลองสอบดูนิดหนึ่ง ถามว่า "คณะของข้าพระพุทธเจ้ามีกี่สาย จากหลังบ้านไปนี่"
ท่านบอกว่า "มี ๓๗ สาย"
ถามว่า "สายหนึ่งมีระยะยาวเท่าไร....?"
ท่านบอกว่า "สองแสนโยชน์ของนิพพาน"
แล้วก็ไปดูเห็นหมดทั้ง ๓๗ สาย สองฝั่งของถนนวิมานเต็มหมด มันไม่มีจุดพร่อง สายหนึ่งประมาณ ๒ แสนโยชน์ แต่ละสาย ๓๗ คูณด้วย ๒ วิมานมันจะตั้งสายละสองฝั่งถนน ๓๗ ถนนยาวเหยียด ถนนกลายเป็นแก้วแพรวเป็นประกายสวยสดงดงามไปหมดบอกไม่ถูก วิมานแต่ละหลังก็แพรวพราวหาที่ติไม่ได้เลย หัวหน้าทีมตั้งบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อไปก็มีถนนซอยเข้าไป
ทางด้านของนิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มๆ อย่างกลุ่มของพระกกุสันโธ ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าก็ตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็นสายอยู่ข้างหลัง พระโกนาคม ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง พระพุทธกัสป ก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง ของสมเด็จพระสมณโคดม ท่านก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง
ตอนนี้ของอาตมาก็เป็นจุดที่แปลก วิมานตั้งอยู่ในเกณฑ์เรียงของพระพุทธเจ้า ใหญ่คล้ายคลึงกัน แต่สวยสู้ของท่านไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิมาสิ้นระยะเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปพอดี แต่ว่าต้องเกิดไปอีก ๗ ที ทนไม่ไหวไม่เอา แค่นี้พอ รอเกิดอีก ๗ ครั้ง ก็ในกัปนี้แหละ และต้องไปรอองค์ที่ ๒๒ หลังจากพระศรีอาริย์ ต้องไปนั่งรออยู่ชั้นดุสิต ไม่ไหวเปิดดีกว่า ฉะนั้นกลุ่มของพวกเราจึงมีวิมานตั้งอยู่ในระหว่างกลุ่มของพระพุทธกัสป และกลุ่มของพระสมณโคดม
เป็นอันว่าหาจุดพร่องไม่ได้ตามสายของพวกเรา วิมานสวยไม่เต็มที่มีอยู่มากพอสมควร แต่ก็ไม่เต็มสาย ที่วิมานสวยไม่มากก็เพราะว่า จิตของบุคคลใดถ้ารักพระนิพพาน วิมานจะปรากฎที่นั่น แต่ถ้าจิตใจของท่านผู้นั้นยังไม่ถึงอรหัตผลเพียงใด วิมานจะสวยไม่เต็มที่ ไอ้จิตกับวิมานมันสวยเท่ากัน เดินไปจึงรู้ เป็นอันว่าวิมานมันนั่งคอยอยู่ เป็นอันว่าคนที่ติดตามมาไม่พลาดพระนิพพาน
สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า
ทุกคนที่เอาจริง ที่ตามแกมาตั้ง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปมันมีที่อยู่กันหมดแล้ว คำว่าถอยหลังไม่มี ประการที่สองให้เตือนไว้ว่า
ในระหว่างชีวิตที่ยังไม่ตาย
ใครจะปฏิบัติดีบ้างปฏิบัติชั่วบ้าง ขณะใดที่เราสร้างความดีเพราะจิตมันดี แต่บางครั้งจิตมันจะเศร้าหมองลงไปให้มีแต่ความวุ่นวาย นั่นต้องถือว่าเป็นเรื่องของกรรมที่เป็นอกุศลของชาติก่อนเข้ามาบันดาล แต่เรื่องนี้เราจะแพ้มันในระยะต้น เวลาตายน่ะไม่มีหรอก มันจะทำร้ายได้ชั่วคราวเท่านั้น
เราจะให้มันในขณะที่มีชีวิตทรงอยู่เท่านั้น ถ้าใกล้ตายจริงๆ ไม่สามารถจะสังหารจิตเราได้ เมื่อใกล้จะถึงความตาย พอจิตเข้าถึงจุดนั้น ไอ้กิเลสไม่สามารถเข้ามายุ่งได้เลย เพราะว่ากรรมที่เป็นกุศลใหญ่ที่บำเพ็ญมาแล้วจะเข้าไปกีดกันหมด กรรมที่เป็นอกุศลเข้าไม่ถึง อาตมารับรองผลว่าทุกคนไม่ไร้สติ และไม่ไร้ความดีที่ปฎิบัติ
เพราะอะไรเพราะไปตรวจบ้านมาแล้วสบายใจ หมดเรื่องหมดราวเสียที ตามธรรมดาเราจะตำหนิกัน บางคนเราก็เห็นว่ามานั่งกรรมฐานกัน มาศึกษากัน กลับไปก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เอะอะโวยวาย ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้ชำระสินกันไป ถือว่าช่างมันไว้ ท่านบอกว่าไปบอกเขานะ เพื่อความมั่นใจ
เป็นอันว่าทุกคนที่มีวิมานอยู่ที่นิพพานละก็ควรจะภูมิใจว่าเราเข้าถึงกิจสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว ขึ้นชื่อว่าการถอยหลังกลับไปสู่อบายภูมิย่อมไม่มี ถึงแม้ว่าในชาตินี้เราจะประมาทพลาดพลั้งในด้านอกุศลกรรมเป็นธรรมดา ก็แต่ว่าจิตเราก็ต้องหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ ถือว่าขันธ์ ๕ ไม่มีความหมายสำหรับเรา ว่าช่างมันๆเอาไว้ อารมณ์ดีก็ช่างมัน เวลาคันก็ช่างเผือก หมดเรื่องหมดราว อย่างนี้สลับกันไปสลับกันมา คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน จิตมันชินอยู่อย่างนั้น จิตมันก็ตั้งอยู่ในอารมณ์พระนิพพานโดยเฉพาะ จิตก็เข้าถึงพระโสดาบัน เรื่องสกิทาคา อนาคา อรหันต์ เป็นของไม่ยาก ยากอยู่ที่พระโสดาบันเท่านั้น
สมเด็จท่านตรัสเรื่องพระศาสนาว่า
"การขึ้นคราวนี้กว่าจะลงของพระพุทธศาสนา คนที่จะบรรลุมรรคผล คราวนี้นับโกฏิเหมือนกัน และจะไปโทรมเอา พ.ศ. ๔๕๐๐ ช่วงนี้จะขึ้นเรื่อยๆต่อไปไม่ช้าคำว่าพระนิพพานจะพูดกันติดปาก ชินเป็นของธรรมดา จะเห็นเป็นเรื่องปกติ"
ถ้าเราจะถอยหลังไปจากนี้ ๒๐ ปี จะเห็นว่าจิตใจของคนเวลานี้ต่างกันเยอะ พูดถึงด้านความดีนะ เวลานี้ฟังแล้วทุกคนอยากไปนิพพาน สังเกตที่จดหมายมาบอกอยากจะไปนิพพานทั้งนั้น
และจากนี้ไปอีกไม่ถึง ๒๐ ปี จะมีพระอริยเจ้านับแสนไม่ใช่ฉันสอนเป็นผู้เดียวหรอกนะ คือว่าเขาสอนกันโดยทั่วๆไป แต่ว่ากลุ่มเราจะมาก หมายถึงว่าอาจจะไม่มีตัวมาแต่มีหนังสือมีเทป กาลเวลามันเข้ามาถึง เวลานี้คนที่เข้าถึงมุมง่ายแล้ว กำลังใจมันตีขึ้นมา ถามว่าตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้ ท่านบอกว่า คนมันหาว่าง่ายเกินไป มันเลยไม่เอาเลย จะต้องยากๆ แต่พวกของแกไม่มีใครเหลือ ท่านชี้จุดเลย ก็เลยดีใจ แล้วท่านก็บอกว่า
"ต่อไปภาระมันจะหนัก ต้องวางพื้นฐานไว้"
ก็ถามว่า "พื้นฐานจากพระองค์อื่นไม่มีหรือ"
ท่านก็บอกว่า "พระองค์อื่นเขาก็มีความสามารถ ไม่ใช่ไม่มี แต่สงสัยว่าคนที่เรียนกรรมฐาน ๔๐ กับมหาสติปัฏฐานจนครบกันนี่มีกี่องค์ หมายถึงว่าทำได้ฌาน ๔ หมด"
บอก "ไม่เคยถามชาวบ้านเขาเลย" ท่านบอก "ไม่มีหรอก ปัจจุบันนี้ ไม่มีใครเขาจบ มันเหลืออยู่แกคนเดียว ท่านปานก็ตายเสียแล้ว"
ท่านบอกว่า "ผู้ที่จะทรงกรรมฐาน ๔๐ นี่ ต้องเป็นฝ่ายพุทธภูมิถึงขั้นปรมัตถบารมี ถ้ายังไม่เต็มปรมัตถบารมีนี่ยังไม่ได้กรรมฐาน ๔๐ ครบ พระโพธิสัตว์ต้องเรียนวิชาครู"
ท่านก็ถามว่า "คุณทำไมไม่หมั่นขึ้นมา"
ก็บอกว่า "เหนื่อยเต็มที ร่างกายเพลียมากก็ต้องชำระตัว เกรงว่าจะประมาท"
ท่านถามว่า "คนอย่างแกยังมีคำว่าประมาทหรือ....?"
เลยบอกท่านว่า มี
ท่านถามว่า "ทำไมว่ามี....?"
ก็เลยบอกว่า "ยังไม่รู้ตัวว่าดี"
ท่านบอกว่า "เออ ใช้ได้"
คือว่าถ้ารู้ตัวว่าดีเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น รู้ตัวว่าเราวิเศษแล้วเราประเสริฐแล้ว เราสำเร็จแล้ว ทุกข์มันก็เกิด แต่ว่าอารมณ์จิตถึงระดับนี้แล้ว มันก็คิดงั้นไม่ได้แล้วนะ เรื่องตัวนี้ชำระกันอยู่ตลอดวันเป็นปกติ คำว่าชำระก็หมายความว่า พิจารณาว่าร่างกายไม่มีความหมาย โลกนี้ไม่มีความหมาย คำว่าไม่มีความหมายมันติดอารมณ์
สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า
"งานสาธารณประโยชน์ มันเป็น ปรมัตถบารมี อย่างสูงสุด อันนี้จะทำให้เร็วที่สุด ทำให้เร่งรัดพวกเราให้เร็วที่สุด ท่านบอกว่าให้คุณบอกลูกหลานไว้ จะได้รู้ว่าเป็นจุดที่มีกำลังแรงให้เข้าถึงได้เร็วที่สุด เป็นการบั่นทอนไอ้กฎของกรรมต่างๆ ที่มันคอยกั้นขวางเรา งานนี้มันเป็นเมตตากฎของกรรมมันก็ดันไม่อยู่"
ต่อไปเรื่อง "สมเด็จองค์ปฐม" ซึ่งทรงพระนามว่า พระพุทธสิกขี พระพุทธเจ้านี่มีชื่อซ้ำกันนะ อย่าง เรวัติ ก็มีชื่อซ้ำกัน พระพุทธสิกขีนี่องค์ปฐมจริงๆ
วันนั้นพบท่านเข้า พบจริงๆสมัยที่ พล.อ.ท.อาทร โรจนวิภาค อยู่ที่นครราชสีมา วันนั้นไปนั่งกรรมฐานกันเห็นพระพุทธเจ้าท่านเยอะ ยืนสองแถวพนมมือ เราคิดว่าพระพุทธเจ้าไหว้ใครไม่มี ใช่ไหม...ก็เลยถามหลวงพ่อปานว่า มีเรื่องอะไรกัน ท่านบอกว่า
"ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จ"
องค์ปฐม หมายถึงองค์แรกสุด ไม่มีครูสำหรับท่านเลย ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างหนัก ต้องเข้มแข็ง เดี๋ยวท่านเดินมากลางพระพุทธเจ้า ยืนสองข้างพนมมือตลอดสวยสว่าง จิตเราเลยสว่างเห็นอะไรชัดหมด"
จากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓"
โดย พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แม่ของพระสารีบุตรกลับใจ จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๑๓ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )

แม่ของพระสารีบุตรกลับใจ

เมื่อพระสารีบุตรลาพระพุทธเจ้าแล้ว ก็พาพระสาวกทั้งหมด ลูกศิษย์ท่าน ๕๐๐ องค์ไป พอไปถึงบ้านก็ถามแม่ว่า แม่ เมื่อฉันเกิดน่ะ เกิดห้องไหน คลอดห้องไหน แม่ก็บอก เอ้อ...อุปติสสะ ท่านไม่เรียกพระสารีบุตรหรอก นี่เอ็งเกิดห้องนี้ แม่ออกเอ็งห้องนี้ แก็ถือว่าเป็นแม่ แกไม่นับถือพระพุทธศาสนานี่ แต่ว่าวันนั้นก็รู้สึกว่าดีใจ ที่ลูกเป็นอรหันต์ ๗ คนไปบ้านหมด ดีอกดีใจว่าลูกไปพร้อมหน้าพร้อมตากัน แล้วก็มีพระอรหันต์ติดตามอีก ๕๐๐ องค์ พอถึงเวลากลางคืนมันจะค่ำ พระสารีบุตรก็เข้าไปในห้องนั้น ก็บอกกับแม่ บอกคืนนี้จะนอนห้องนี้ ท่านแม่ก็จัดให้

ทีนี้น้องชายท่านชื่อ ท่านจุน ก็นั่งหน้าประตู เป็นพระยาม เขาเป็นมหาเศรษฐีที่บ้านนั้นน่ะ บ้านใหญ่โตมาก พระ ๕๐๐ องค์น่ะพักสบาย

พอยามต้นนี่ เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็มาไหว้พระสารีบุตร เวลาลงจากฟ้าเห็นแสงสว่าง สวย ท่านเข้าไปในห้องแสงสว่างก็สว่างมาก ยิ่งกว่าตะเกียงมาก

ท่านแม่นั่งอยู่หน้าประตู ชะโงกเข้าไปดู เห็นท่านท้าวมหาราชกำลังไหว้พระสารีบุตร ก็ถามท่านจุน ห้องชายพระสารีบุตร

บอก "จุน ใครมาหาพี่เอ็งล่ะ...?"

ท่านจุนก็บอกว่า "ท่านท้าวจาตุมหาราช"

แกก็สงสัยถามว่า พี่เอ็งน่ะ โตกว่าท่านท้าวจาตุมหาราชอีกรึ ท่านมองไปน่ะ เห็นกำลังไหว้นี่ ท่านจุนก็บอก พี่โตกว่า และพระที่มาทุกองค์น่ะ โตกว่าจาตุมหาราชทั้งนั้นแหละ แกก็แปลกใจเพราะพระพวกที่ไปนี่เป็นอรหันต์หมด

พอใกล้ถึงยามที่สอง ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ก็กลับ ทีนี้ชั้นดาวดึงส์มา มีพระอินทร์นำขบวน ก็สว่างกว่า ใหญ่กว่า แล้วก็แสงสว่างก็สว่างมากกว่าจาตุมหาราช ไอ้แสงสว่างมันก็พุ่งออกมาหน้าประตู แกก็สงสัย ชะโงกเข้าไปดูอีก เห็นพระอินทร์กำลังไหว้พระสารีบุตร จึงถึงท่านจุนว่า

จุน "ใครมาหาพี่เอ็ง...?"

ท่านจุนก็บอกว่า "พระอินทร์"

แกก็เลยถามว่า ทำไมพี่เอ็งน่ะ โตกว่าพระอินทร์อีกรึ ฮึ...ชักสงสัยแล้วซิ พราหมณ์เขาถือว่าพระอิศวรนี่เก่งอยู่แล้วนะ ท่านจุนก็เลยบอกว่า โตกว่า

ทีนี้พอถึงยามสาม พรหมลงมา พราหมณ์เขาถือว่าพรหมน่ะสูงสุด ใช่ไหม พรหมลงมาแสงสว่างไสว ก็สว่างมากกว่าชั้นดาวดึงส์ แกก็ชะโงกหน้าไปดู เห็นพรหมเข้ามาไหว้ก็ถามท่านจุนว่า

"ใครมาหาพี่เอ็งล่ะ...?"

ท่านจุนบอก "พรหม"

แกก็ถามว่า เอ๊ะ...พี่เอ็งนี่โตกว่าพรหมรึ พรหมจึงมาไหว้ ท่านจุนบอก โตกว่า ท่านก็เลยบอก พระทุกองค์ในพระพุทธศาสนาที่เป็นอรหันต์แล้ว โตกว่าพรหมทั้งนั้นแหละ ที่มาทั้งหมดนี่น่ะ โตกว่าพรหม

แกก็แปลกใจ ก็พรหมณ์เขาถือว่าพรหมสูง

เทศน์จบเป็นพระโสดาบัน

พอพรหมกลับ พระสารีบุตรก็เรียกแม่เข้าไปในห้อง เทศน์โปรด ไอ้ความเลื่อมใสมันเกิดขึ้นแล้วนี่ เห็นว่าเอ๊ะ...ลูกนี่โตกว่าพรหม ก็พราหมณ์ถือว่าพรหมสูงสุด นี่ลูกสูงกว่าพรหมอีก ไอ้ศรัทธามันก็เกิด เห็นท่านจาตุมหาราชมาไหว้ พระอินทร์ก็มาไหว้ พรหมก็มาไหว้ เข้าไปก็เทศน์โปรดแม่ พอเทศน์จบ แม่ก็ได้พระโสดาบัน

เงินกตัญญูกตเวที

นี่เห็นไหม นั่นลูกเป็นอรหันต์ชั้นใหญ่ตั้ง ๗ องค์นะ แม่ยังด่าพระอยู่เลยนะ แล้วแม่เธอน่ะ จะไปเคี่ยวเข็ญนักไม่ได้นะ ใช้วิธีเอาทำบุญแบบย่อ

ก็หมายความว่าสตางค์แกมี เราก็ไปหยิบเอามา หยิบมาแต่ว่าอย่าให้เงินมันขาด เราเอาสตางค์ของเราวางไว้แทน ถือว่านั่นเงินน้ำพักน้ำแรงของแม่เราเอาไปทำบุญ แม่พลอยได้

แต่เงินที่เราใส่ไว้ให้แม่ นี่เป็นเงินกตัญญูกตเวที เราก็ได้ด้วย นี่มันได้สองชั้น แม่ได้บุญด้วย และแม่ก็ได้สตางค์จากเราไป แต่อย่าไปบอกแกนะ เดี๋ยวแกโมโห ถ้าโมโหแล้วมันบาป

แล้ววิธีช่วยน่ะมันมีเยอะแยะไป มันไม่จำเป็นต้องมานั่งเข็นกัน ไปนั่งเข็นกัน เกิดความขัดใจกัน ถ้าขัดใจกันก็ด่ากันซิคราวนี้ ลงนรกไปทั้งคู่ ฮึ...ว่าไงลุง

เราด่าหรือไม่ด่าก็ตาม เขาด่าเรา จิตเขามัวหมอง เขาจึงด่า เขาจะต้องตกนรกเพราะเรา ใช่ไหม นี่พูดถึงพ่อถึงแม่นะ ไอ้คนอื่นมันด่าเรา มันอยากลงนรกก็ปล่อยมัน ยุมันเลยก็ได้ ฉันชอบนะยุคน

คนมันลงตื้น ให้มันลงลึก ๆ จะได้ชื่นใจ ใครมันอยากเลว เลวก็ยุส่ง ไหน ๆ มันจะไปแล้วก็ช่วยมัน เดี๋ยววาสนามันน้อยมันลงตื้นเกินไป ใช่ไหม

ไม่เคี่ยวเข็ญใคร

ทีนี้ไอ้คนตกนรกนี่เคยไปดู เมื่อก่อนก็รู้สึกสลดใจสงสาร เดี๋ยวนี้ไม่สงสาร

ก็ความดีมีถมไป ทำไมจึงไม่ทำ ใช่ไหม แต่ก่อนที่เคี่ยวเข็ญ ทำบุญนั่นทำบุญนี่ เดี๋ยวนี้ไม่เคี่ยวเข็ญใคร ความดีเยอะแยะไป ก็รู้อยู่นี่ ทำไมถึงไม่ทำ

พอเห็นสัตว์นรกก็รู้สึกเฉย ๆ นอกจากสัตว์นรกนี่เราไม่มีโอกาสจะช่วยอยู่แล้วนะ สมมุติว่าเราเดินไปขอบนรกนี่น่ะ เขายกมือไหว้ก็ช่วยเขาไม่ได้ ไม่มีโอกาสจะช่วย อยู่ในขุมนรกนี่ไม่มีโอกาสช่วย ถ้าหากว่าเราจะช่วยได้ทั้งหมด ถ้าเขาช่วยกันได้ พระพุทธเจ้าก็คงเอาขึ้นมาจากขุมนรกหมด ใช่ไหม มันช่วยไม่ได้ กรรมหนักของเขา

ถ้าเราเห็นเขาตกนรก เราก็ต้องถือว่าเพราะเขาพอใจลงนรก เขาจึงลง เราเอาขึ้นมานี่ก็เท่ากับขัดใจเขานะ ไม่ดี ขัดใจก็ไม่เกิดประโยชน์ ใช่ไหม ก็คบมัน เกิดมามันรู้ดีรู้ชั่วด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่หัวหลักหัวตอ

แล้วทำไมจึงไม่สร้างความดี ทำไมจึงสร้างความชั่ว ไอ้นี่เราก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องความพอใจของเขา เมื่อเขาอยากจะลงนรกตามความพอใจของเขา เราจะไปขัดใจเขาทำไม

อักขาตาโร ตถาคตา

พระพุทธเจ้าบอกว่า

"ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก"

เราก็มีหน้าที่บอกตามที่พระพุทธเจ้าบอกเท่านั้น ใช่ไหม เมื่อเขายังอยากจะลงนรกอยู่เราก็ตามใจเขา เรื่องอะไร

ก็มีเมื่อก่อนนี้ก็เคยทดลองเขาดื้อแบบนั้น แล้วก็ชวนแล้วชวนเล่า หนัก ๆ เข้าเขาโมโห ด่าเอา ก็เลยไปช่วยให้เขาลงนรกลึกเข้าไปอีก มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ไอ้ที่มันลงไปแล้ว เราเดินไป ก็เฉย ๆ ถ้าเห็นไฟไหม้คึ่กคั่ก ๆ หอกสับหอกแทง มีดฟัน ภูเขาเหล็กกลิ้งทับ ไฟไหม้ ก็เฉย ๆ ที่เฉพาะเพราะอะไร เพราะว่าเราไม่มีโอกาสจะช่วยเขาได้

แล้วก็เราลงไปถาม สมัยเขามีพระไหม มันก็มีใช่ไหม แล้วทำไมเขาจึงไม่สร้างความดีหลีกเลี่ยงนรกล่ะ ทำไมเขาพอใจ นั่นมันเรื่องพอใจของเขาน่ะ ไอ้คนหนึ่งจะกินเหล้า เราไปชวนกินน้ำหวาน เดี๋ยวมันเตะเอาล่ะ ก็ปล่อยมันกินเหล้า ใช่ไหม บอกว่า ไอ้โง่อย่างมึง กินเหล้าอร่อยกว่า ใช่ไหม.

จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๑๓
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อย่าร่าเริงในความหลง ตั้งจิตตรงเฉพาะพระนิพพาน โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

“จิตของลูกอย่าร่าเริงในกามารมณ์ อย่าร่าเริงในโทสะ อย่าร่าเริงในความหลง ตั้งจิตตรงเฉพาะพระนิพพาน ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ความเกิด ความตายเป็นของธรรมดา เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็เป็นของยุ่งยาก ในที่สุดมันก็ต้องตาย ถ้ากิเลสเรายังไม่หมดเพียงใด ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ มาใช้ชีวิตที่ไม่มีความสุข”

ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี่ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ
“ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ”
อย่าเมากายจนเกินไป อย่าเมาชีวิต จงอย่าคิดว่าร่างกายของใครดี ดูร่างกายของเรานี้ มันสกปรกโสมม และมีความเสื่อมโทรมไปเป็นธรรมดา ในไม่ช้ามันก็พัง อยู่คนเดียวมีความสุข สุขอย่างมีคนเดียว แต่ก็ทุกข์อย่างมีขันธ์ ๕ ฉะนั้นขอลูกทุกคนจงตั้งหน้าตั้งตาปลงจิตคิดว่า อนิจจา วตสังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปปาทวยธัมมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็แก่ไปทีละน้อยคือทรุดโทรมไป อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วในที่สุดก็ตาย ให้เอาใจนึกถึงภาพคนตายว่าเวลานี้คนที่เขาตายมานอนอยู่ข้างหน้าเรา สภาพมันเป็นยังไง เตสัง วูปสโม สุโข ร่างกายที่เปื่อยเน่าอย่างนี้ ถ้าเรางดไม่มีเสียได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสว่า จะมีกายแก้ว คือ พระนิพพาน

พระราชพรหมยาน
คัดจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี “ตั้งเสาไฟฟ้า ไปใช้ในศูนย์ปฏิบัติธรรม” อานิสงส์ : ได้ชำระหนี้สงฆ์ แสงสว่างแห่งชีวิต ดวงตาเห็นธรรม และร่วมพิธีเททองหล่อ“หลวงพ่อโสธร ขนาด ๓๙ นิ้ว” พิธี “ยกช่อฟ้า ๕ ช่อ” อุโบสถแก้วกลางน้ำ ร่วมเวียนเทียนเนื่องในวันอาสาฬหบูชา ถวายเป็นพุทธบูชา ณ วัดวีระโชติธรรมาราม คลองหลวงแพ่ง เมือง ฉะเชิงเทรา วันอาสาฬหบูชา ที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๘

ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี “ตั้งเสาไฟฟ้า ไปใช้ในศูนย์ปฏิบัติธรรม”
อานิสงส์ : ได้ชำระหนี้สงฆ์ แสงสว่างแห่งชีวิต ดวงตาเห็นธรรม
และร่วมพิธีเททองหล่อ“หลวงพ่อโสธร ขนาด ๓๙ นิ้ว”
พิธี “ยกช่อฟ้า ๕ ช่อ” อุโบสถแก้วกลางน้ำ 
ร่วมเวียนเทียนเนื่องในวันอาสาฬหบูชา ถวายเป็นพุทธบูชา
ณ วัดวีระโชติธรรมาราม คลองหลวงแพ่ง เมือง ฉะเชิงเทรา
วันอาสาฬหบูชา ที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๘
***********************
เนื่องด้วยทางวัดวีระโชติฯ ได้รับบริจาคเนื้อที่ จำนวน ๓๕ ไร่ ซึ่งเป็นท้องนา ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ จึงจำเป็นต้องตั้งเสาไฟฟ้า เพื่อไปใช้ภายในศูนย์ปฏิบัติธรรมดังกล่าว งบที่ต้องใช้ประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ บาท 
จึงขอความเมตตาจากท่านทั้งหลาย ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าในครั้งนี้โดยพร้อมเพียงกัน ตามกำลังศรัทธาของทุกท่าน
เพื่อทำศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ไว้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนาอันยาวนานให้ลูกหลานมาสร้างความดีกันสืบไป
คณะผู้จัดทำ ขอขอบคุณทุกท่านในครั้งนี้ ขอความสำเร็จจงมีแก่ทุกคน ทุกท่าน ตลอดกาล เทอญ.
กำหนดการ เวลา ๑๐.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพล 
เวลา ๑๒.๐๙ น. พิธีถวายผ้าป่าสามัคคี
เวลา ๑๓.๑๙ น. พิธียกช่อฟ้าอุโบสถ ๕ ช่อ 
เวลา ๑๙.๓๙ น. พิธีเททองหล่อพระพุทธโสธร ขนาด ๓๙ นิ้ว 
เวลา ๒๐.๐๐ น. พิธีเวียนเทียนเนื่องในวันอาสาฬหบูชา ถวายเป็นพุทธบูชา
ประธานฝ่ายสงฆ์ : พระครูปลัดเฉลิมพล สุเมโธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส
: พระครูสังฆรักษ์บุญนำ ทานรโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาส

ประธานฝ่ายฆราวาส : คณะศิษย์วัดวีระโชติธรรมาราม

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ศีล ๘ กับศีลอุโบสถ ต่างกันไหม โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


ศีล ๘ กับศีลอุโบสถ ต่างกันไหม
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ที่มา 
หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม สนทนาธรรมกับ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ฉบับพิเศษ เล่ม ๓

ผู้ถาม - หลวงพ่อค่ะ ศีล ๘ กับศีลอุโบสถ ต่างกันไหมค่ะ
หลวงพ่อ - ต่างกันอยู่นิดหนึ่ง อุโบสถใช้อิมัญจรัตติง อิมัญจทิวสัง คือ กำหนดเวลาว่าวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง หรือว่า ๗ วัน กับ ๗ คืน หรือว่า ๓ เดือน ๕ เดือน แต่ศีล ๘ มีสิกขาบทเท่ากัน แต่ไม่กำหนดเวลา ถ้าเอาความเข้มข้นกันจริงๆ พวกรักษาศีล ๘ มีกำลังใจเข้มข้นมากกว่าพวกรักษาอุโบสถ เขาเก่งสิกขาบทเท่ากัน แต่กำหนดเวลาไม่เท่ากัน
คำว่า อุโบสถ เขาแปลว่า อยู่จำ ตั้งใจจะรักษาแค่ ๑ วัน กับ ๑ คืน หรือ ๗ วันกับ ๗ คืน หรือ ๑ เดือน ก็ว่าไป ทีนี้ถ้าหากว่าเราไม่กำหนดเวลา เราก็สมาทานแค่ศีล ๘ เมื่อไรก็ได้ สบาย

ผู้ถาม - รักษาช่วงไหนก็ได้ ใช่ไหมคะ??
หลวงพ่อ - ไม่ได้ๆ คือว่าตั้งแต่หลับถึงตื่นเขาห้ามรักษา ถ้าเราตั้งใจสมาทานดีแล้ว ในช่วงหลับเขาถือว่ามีศีล ในช่วงหลับมันไม่มีกังวลอยู่แล้ว ใช่ไหม
เมื่อตอนเด็กๆ ฉันก็รักษาศีล ๕ เหมือนกัน ก่อนจะหลับ ฉันก็สมาทานศีล ๕ แล้วบริสุทธิ์ตลอด มันจะไปขาดยังไง เพราะในช่วงหลับ ไม่มีการทำอะไรอยู่แล้ว ใช่ไหม เพราะฉันโกงมาแล้วเลยห้ามคนอื่นทำตามฉัน

ผู้ถาม - (หัวเราะ) แล้วอานิสงส์ ต่างกันไหมคะ
หลวงพ่อ - ต่างกันหนู เพราะเรียกไม่เหมือนกัน ตัวท้ายนะ
อานิสงส์ท่านว่าอย่างนี้
สีเลนะ สุคติง ยันติ สีเลนะ โภคสัมปทา
สีเลนะ นิพพุติงยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย
ท่านว่าอย่างนี้เหมือนกันหมด มันต่างกันตรงไหนละ

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การรับเงินของพระ เทศนาหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แก่ภิกษุสามเณร เรื่องวินัยสงฆ์เกี่ยวกับการรับเงินของพระ เมื่อ 17 ก.ย. 2518

การรับเงินของพระ
เทศนาหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แก่ภิกษุสามเณร
เรื่องวินัยสงฆ์เกี่ยวกับการรับเงินของพระ
เมื่อ 17 ก.ย. 2518
ทีนี้มาถึงสิกขาบทข้อที่ ๘. พระวินัยกล่าวว่า “อนึ่งภิกษุใดรับก็ดีให้รับก็ดีซึ่งทองเงินหรือยินดีทองเงินอันเขาเก็บไว้ให้เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์”
“สำหรับสิกขาบทนี้ขอท่านทั้งหลายจงใคร่ครวญให้ดี ทั้งนี้ในที่บางแห่ง หรือในเขตบางเขต เขาไม่มีโยมรับเงินรับทองกัน และชาวบ้านเขาก็เห็นกันว่าพระที่ไม่รับเงินรับทอง เป็นพระที่เคร่งครัดมัธยัสถ์ ถึงกับมีการรังเกียจพระที่รับเงินรับทอง แต่ตามความเข้าใจของผมหรือว่าพระมหาเถรานุเถระฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีความเข้าใจกันดี อันนี้เพราะอะไรเพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า รับเองก็ดี ใช้ให้คนอื่นรับก็ดี หรือมีความรู้สึกอยู่ว่าเขาเก็บไว้เพื่อเรา และเราก็ถือว่าทรัพย์สินส่วนนั้นมันเป็นของเรา ท่านจะพิจารณาเห็นว่าต้องอาบัติเสมอกันคือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ทีนี้พระบางท่านเวลาเขามาถวายไม่รับ ไม่รับเอง แต่ว่าให้ลูกศิษย์รับ ให้มอบไว้กับลูกศิษย์ แต่ว่าใส่ย่ามเถอะไม่ยอมรับ มือไม่รับ อันนี้ท่านทั้งหลายที่ฟังแล้วเห็นว่ามันพ้นไหม เห็นว่ามันพ้นหรือไม่พ้น มันพ้นตรงไหนกัน รับเองก็ดี ให้คนอื่นรับก็ดี หรือว่าคนอื่นที่เขาเก็บไว้ให้เราที่เรียกว่า ไวยาวัจกร
แต่เรามีความรู้สึกว่าทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นทรัพย์ของเราก็อาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์
นี่ที่ผมย้ำมากๆ ก็เพราะความเข้าใจผิดของปวงชนและพระมีมาก ถ้าตนเองไม่รับเงิน แล้วต่อหน้าคนไม่รับ ลับหลังคนรับ หยิบ หรือต่อหน้าคนไม่รับ ลับหลังคนไม่รับ คนอื่นเก็บเอาไว้ให้ ก็รู้ว่านั่นเงินของเรา มีจำนวนเท่านั้นเท่านี้ จิตใจยังผูกพันอยู่ ไม่ได้พ้นโทษไปเลย ถ้ามันยังไม่พ้นโทษอยู่ นี่ตามความรู้สึกของผม หรือว่าครูบาอาจารย์หลายท่านด้วยกัน ในสมัยโบราณ ผมเรียกว่าโบราณเพราะว่าเวลากาลผ่านมาประมาณ 40 ปีเศษ ในสมัยที่ผมบวชใหม่ๆ ที่พูดนี้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2518 ผมบวชผ่านเวลากาลผ่านมาได้ 40 ปีเศษ ถอยหลังไป 40 ปี ผมเรียกว่าโบราณ คือมันเก่าแล้ว คนสมัยนั้นหัวยังเก่าอยู่ ท่านบอกว่า การที่เราไม่รับต่อหน้าคน แต่ว่าให้คนอื่นรับ หรือว่าคนอื่นรับเงินแล้วเขาเก็บไว้เพื่อตนยินดีอยู่ แต่เราไม่ยอมรับ จิตคิดว่าเรามีความดีที่ไม่รับเงิน ท่านบอกว่าคนที่มี อารมณ์อย่างนั้นมีกิเลสหนาแน่นที่สุด เพราะว่าเป็นการหลอกลวงชาวบ้านเขา ทำตนเป็นคนดี แต่ความจริงไม่ได้ดีตามนั้นแต่จิตใจกับเลวทราม
กับท่านผู้รับเองให้ชาวบ้านเขารู้ ไหนๆ เราจะรับแล้ว เราก็ยอมรับเสียต่อหน้าชาวบ้าน เพื่อว่าชาวบ้านเขาจะได้ทราบว่าพระองค์นี้รับเงิน ในเมื่อเขารู้ว่าแล้วเรารับเงิน เขาจะนิยมเราหรือไม่นิยม เป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยว เราเปิดเผยให้เขารับรู้เลยดีกว่า ว่าเรารับเงินรับทอง ถ้าหากว่าเราไม่รับต่อหน้าชาวบ้านแต่ว่าภายหลังเราเก็บเอง หรือบุคคลอื่นเก็บ แล้วก็ทราบว่าเงินของเรา เรามีอยู่ เงินและทองของเรามีอยู่ เราถือสิทธิ์อยู่ ยินดีอยู่ ถ้าชาวบ้านเขาทราบทีหลัง เราจะเสียสองชั้น คือเสียในเรื่องหลอกลวงชาวบ้าน และก็ต้องโทษที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้
ดังนั้นในการรับเงินและทองเอง แต่ทว่าจงอย่ายินดีในเงินและทองนั้นว่าเป็นทรัพย์สินของเราโดยเฉพาะ พึงทำใจของเราให้มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเวลานี้เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เงินและทองที่เขาจะถวายเรา เขาก็ถวายเราในฐานะที่เป็นพระ ดังนั้นเวลาที่เขาจะถวายเขาก็บอกว่า ใช้ตามสมควรแก่สมณบริโภค คือเราต้องคิดไว้เสมอว่าเงินทองทั้งหลายเหล่านี้เราจะใช้บำรุงตัวเราเองตามความจำเป็น ถ้าเหลือนอกจากนั้นเราจะเอาเงินจำนวนนี้
ไปสร้างบุญสร้างกุศล ให้เป็นประโยชน์แก่บรรดาสาธารณชน เป็นส่วนสาธารณะ นี่เรียกว่า แม้จะก่อสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา หรือสร้างสิ่งตามความจำเป็นเพื่อความสะดวกของบรรดานักบวชทั้งหลายหรือว่านักบุญทั้งหลาย อย่างนี้จิตใจของเราไม่ยึดถือว่าเงินนี้มันเป็นของเราโดยเฉพาะ ถือว่าเป็นเงินของพระพุทธศาสนา เป็นเงินของพระ เขาถวายพระ ถ้าเราไม่บวชไม่มีใครเขาให้ จะไปเอาเงินจากเขา บางทีต้องมีโฉนดที่ดินไปให้เขารับรอง ดีไม่ดีเขาก็ไม่ยอมให้ นี่ทำใจของเราให้สบายแบบนี้ จงอย่าติดในลาภ อย่าติดในเงินและทอง อย่างนี้ผมถือว่า เราทนหน้าด้านแต่ว่าใจของเราไม่ด้าน ยอมรับต่อหน้าชาวบ้าน เพื่อเป็นการประกาศความจริงว่าเรามีความจำเป็นจะต้องใช้
สิกขาบทนี้แหล่ะท่านบรรดาสหธรรมิกทั้งหลาย ตามความเข้าใจของผม ผมคิดว่าท่านสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่าต่อไปในภายภาคหน้าคนที่จะพะเน้าพะนอพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เหมือนในสมัยที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ไม่มี องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสในสมัยก่อนหน้าพระปรินิพพาน ว่า
“อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว สิกขาบทบางสิกขาบทซึ่งไม่ใหญ่โตนัก ถ้าหากว่าไม่เหมาะกับกาลสมัย ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจะเห็นว่าไม่สมควร จะเพิกถอนเสียก็ได้”
นี่เป็นพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา แต่ด้วยว่าในเมื่อเป็นคำดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครที่ไหนจะยอมเพิกถอน ก็มีความเคารพในพระองค์ เราสู้เอาหน้าด้านแต่ใจสะอาดดีกว่า ดีกว่าต่อหน้าคนไม่รับ แต่ลับหลังรู้ค่าของเงิน รู้ค่าของทอง รู้จักใช้เงินและทองให้เป็นประโยชน์ส่วนตนและเป็นประโยชน์ส่วนรวม อย่างนี้เขาเรียกว่าหน้าดี แต่ใจด้าน ขอให้ท่านทั้งหลายเลือกเอาอย่างหนึ่ง จะยอมหน้าด้านแต่ว่าใจดี หรือว่าจะเอาหน้าดีแต่ใจด้านกัน ท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า ถ้าเราตายไปแล้ว ร่างกายหรือหน้าก็ดี ตัวก็ดี มันไม่ได้ไปกับเราด้วย ส่วนที่จะไปจริงๆ มันก็คือใจ แต่จะไปเสวยความสุขหรือความทุกข์มันก็อยู่ที่ใจ หน้าด้านแต่ใจดี แสดงว่าใจสะอาด หน้าดีแต่ใจด้านแสดงว่าหน้าสะอาดแต่ว่าใจเสีย ใจสกปรก ทีนี้ถ้าใจของเราสกปรกเวลาตายเราก็เอาความสกปรกไป ส่วนที่สกปรกชาวสวรรค์เขาไม่ชอบ ชาวสวรรค์เขาต้องการความสะอาด เราอยู่ไม่ได้ คนสกปรกต้องไปอยู่ในอบายภูมิทั้ง 4 คือ ในนรก หรือไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน
นี่ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายพากันวินิจฉัยตามนี้ แล้วก็เลือกปฏิบัติเอา แต่สำหรับผมน่ะขอยอมรับว่าผมหน้าด้านแน่ ในเรื่องการรับเงินรับทอง แต่ใจของผมผมไม่ยอมด้านในเรื่องนี้ เพราะว่าผมไม่ยอมเอาเงินที่เขาเอามาถวายเป็นประโยชน์ส่วนตน ซื้อไร่ซื้อนาซื้อบ้านให้เขาเช่า อะไรพวกนี้ผมไม่มี ออกเงินให้กู้ผมไม่มี ได้มาเท่าไรเหลือกินเหลือใช้ สร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา และให้ความสะดวกกับบรรดานักบุญทั้งหลาย อย่างนี้ผมยอมหน้าเสียเพื่อรักษากำลังใจของตัวเอง ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ยกยอตัวเอง พูดตามความเป็นจริง ครูบาอาจารย์ท่านก็ปฏิบัติมาแบบนี้ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ แล้วทำไมเราจะมาทำหน้าดีใจเสียใจเพื่อประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา “ธรรมทั้งหลาย มีใจถึงก่อนมีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ”
ถ้าใจของเราเลวแต่ว่าหน้าดีมันจะมีประโยชน์อะไร สู้ทำหน้าของเราให้เป็นหน้าด้านแต่ใจสะอาด ดีกว่าหน้าสะอาดใจด้าน เลือกกันเอานะ ผมไม่ได้บังคับ ยังไงๆ ก็บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาเราเป็นปูชนียบุคคล อย่าหลอกลวงชาวบ้านเขาเลยบรรดาเพื่อนทั้งหลาย
ต่อไปเป็นสิกขาบทข้อที่ 9 ...............”

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรม เวียนเทียน ถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในวันสำคัญของโลก “วันวิสาขบูชา” ณ สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดแห่งที่ ๒๘ วัดวีระโชติธรรมาราม เมือง ฉะเชิงเทรา ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม - ๑ มิถุนายน ๒๕๕๘




ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรม เวียนเทียน ถวายเป็นพุทธบูชา
เนื่องในวันสำคัญของโลก “วันวิสาขบูชา”
ณ สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดแห่งที่ ๒๘
วัดวีระโชติธรรมาราม เมือง ฉะเชิงเทรา
ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม - ๑ มิถุนายน ๒๕๕๘


ติดต่อสอบถาม โทร. ๐๘๔ ๙๗๗ ๓๓๓๙

วันที่ ๑ มิ.ย. พิธีสะเดาะเคราะห์ ต่อดวงชะตา
โดยเขียน ชื่อ นามสกุล วันเดือนปี(เกิด) ร่วมพิธี

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ธรรมะ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง "..หนีนรก.."

ธรรมะ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
"..หนีนรก.."
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้เป็นตอนที่ ๒
ก็มาพูดถึงลักษณะแห่งการหนีบาปกันต่อไป
แต่ขอย้ำไว้ก่อนว่าการที่จะหนีอบายภูมิทั้ง ๔ คือ ความไม่เกิดเป็นสันต์นรก
เป็นเปรต เป็นอสรูกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่อไปนั้น
ต้องกำจัดสังโยชน์ที่เป็นอารมชั่ว ๓ ประการ ให้พ้นจากใจ
อารมชั่วทั้ง ๓ ประการ ขอย้ำไว้ตอนนี้ก่อน ตอนต้น จะได้ไม่เผลอ
ข้อที่ ๑ สักกายทิฏฐิ คือมีความรู้สึกว่าชีวิตนนี้มันจะไม่ตาย
ให้ตัดทิ้งไป ให้มีความรู้สึกว่ามันจะต้องตายแน่
และไม่ประมาทในชีวิต คิดทำความดีต่อไป
ข้อที่ ๒ วิจิกิจฉา ความสงสัยในความดีของ พระพุทธเจ้า พระธรรม
และพระอริยสงฆ์ ข้อนี้ตัดทิ้งไป ให้ยอมรับนับถือ พระพุทธเจ้า พระธรรม
และพระอริยสงฆ์
ข้อที่ ๓ สีลัพพตปรามาส คือ การปฏิบัติในศีลไม่แน่นอน ไม่จริงจัง
อันนี้ให้ตัดทิ้งไป หันกลับมาปฏิบัติในศีลให้แน่นอน ให้จริงจัง
ฆารวาทเพียงแค่ ศีล ๕ หรือ กรรมบท ๑๐ ใช้ได้แล้ว
สำหรับภิษุสำเณรก็เป็นศีลของท่าน ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้ทุกคน
ขอบรรดาท่านพุทธสาสนิกชล มีความมั่นใจได้ว่า
จะตายเมื่อไหร่ก็ตามที เราไม่ลงอบายภูมิเป็นแน่

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

การทำหมันสุนัข โดย พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง อุทัยธานี

การทำหมันสุนัข
โดย พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง อุทัยธานี

ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ อย่างทำหมันหมาบาปไหมคะ
หลวงพ่อ : ทำหมันหมา ฉันฟังนึกว่าจับหมัดหมา ทำหมัดเขาทำกันยังไง
ผู้ถาม : การตอนน่ะคะ
หลวงพ่อ : ตอนก็ตอนบอกทำหมัน เอ..ต้องไปถามหมามันก่อนซิ หมามันพอใจไหมล่ะ
ผู้ถาม : (หัวเราะ)
หลวงพ่อ : เอ้า จริงๆ ต้องไปถามมันก่อน ถ้าหมาพอใจอันนี้ไม่บาป
ผู้ถาม : แล้วจะรู้ได้ยังไงคะว่าหมามันพอใจ
หลวงพ่อ : อ้าว ก็ต้องไปเรียนภาษาหมาก่อนซิ
ผู้ถาม : (หัวเราะ)
หลวงพ่อ : การตอนสัตว์นี่น่ะ ท่านพูดไว้ใน ตติยสามน ตายแล้วต้องตกนรกก่อน เพราะเป็นการทรมานสัตว์ พอออกจากนรกก็มาเป็นเปรต ออกจากเปรตมาเป็นอสุรกาย ออกจากอสุรกายก็มาเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะถูกทำลายเพศ ใช่ไหม
พอพ้นจากนั้นแล้วก็มาเป็น บัณเฑาะก์ มี 2 เพศ มีทั้งเพศผู้ชาย และ ผู้หญิง จากนั้นก็มาเป็นกะเทย แล้วจึงมาเป็นคนปกติ
ผู้ถาม : แล้วถ้าเราทำหมันตัวเองจะบาปไหมคะ
หลวงพ่อ : ทำหมันตัวเองใครเขาจะไปว่าล่ะ ไม่บาปหรอก อันนี้เราพอใจต่างหากล่ะ ช่วยทำหมันให้ทีเถอะ ฉันลูกมากๆ ไม่เป็นเรื่องแล้ว

ผู้ถาม : ถ้ากันหมาไม่ให้ผสมกันเล่าคะ
หลวงพ่อ : นี่ล่ะ ไฟไหม้บ้านกันหลายหนก็แบบนี้แหละ มีตากับยายคู่หนึ่งเขาฝากคนไปถามปัญหา พระกาฬ ว่า เขาทั้งสองทำอะไรมา ไฟมันจึงไหม้บ้านอยู่เสมอ
พระกาฬ ก็บอกคนที่ไปถามว่า
สมัยชาติก่อนแกมีลูกสาว แต่ว่าหวงไม่ยอมให้แต่งงาน ใครมาขอก็ไม่ให้ เหตุเพราะอาศัยการตัดทอนกำลังใจในด้านความรักของเขา ชาตินี้มาไฟจึงไหม้บ้านเรื่อยๆ
ฉะนั้น คุณก็ต้องระวังนะ

ที่มา : หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 371 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2555 หน้าที่ 96

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

คาถามหาเสน่ห์  โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) จาก หนังสือ แนะวิธีหนีนรกแบบง่ายๆ

คาถามหาเสน่ห์ 
โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
จาก หนังสือ แนะวิธีหนีนรกแบบง่ายๆ

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๑๖ สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๑๖ สำหรับตอนที่ ๑๖ นี้ ก่อนจะพูดเรื่องอื่นก็ขอเตือนกันไว้ก่อน ว่ารายการนี้เป็นรายการ "หนีนรก" ตอนที่ ๑๕ หนีสิมพลีนรก แต่ตอนที่ ๑๖ นี้ หนีทุกขุม ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าเป็นเรื่องของวาจาที่ต้องพูด แต่ก่อนจะพูดถึงวาจาก็บอกลีลาการหนีนรกกันก่อน การหนีนรกขอถือตามแบบฉบับขององค์สมเด็จพระชินวร คือ พระพุทธเจ้า ที่ตรัสว่า

"ถ้าบุคคลใดละสังโยชน์ ๓ ประการได้ หรือว่าตัดสังโยชน์ ๓ ประการได้ ท่านผู้นั้นบาปเก่าทั้งหมดตามไม่ทัน ไม่สามารถลงโทษได้ แล้วก็ท่านผู้นั้นจะไม่มีการตกนรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่อไปอีกทุกชาติที่เกิด จะเกิดเมื่อไร จะตายเมื่อไรก็ตาม จะวนเวียนแต่เฉพาะเป็นมนุษย์ เทวดากับพรหม และต่อไปถ้ามีกำลังเต็มก็ไปนิพพาน"

การตัดสังโยชน์ ๓ ประการ ก็ขอบอกกันแบบง่ายๆ ย่อๆ พูดมากก็ฟังยาก วิธีตัดง่ายๆ ก็คือ

๑. ให้มีความรู้สึกเสมอว่าชีวิตนี้มันต้องตาย เราไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ และก็เวลาเดียวกันนั้นก็ตั้งอารมณ์แห่งความดีทางไปสวรรค์ คือเกาะสิ่งที่มีกำลังใหญ่ คือพระพุทธเจ้า ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ ยอมรับนับถือพระธรรมและพระอริยสงฆ์ด้วยความจริงใจ หลังจากนั้นก็ทรงศีลห้าให้บริสุทธิ์ ถ้ามีกำลังใจละเอียดดีขึ้น ค่อยทรงกรรมบถ ๑๐ ให้บริสุทธิ์ อย่างนี้เวลาท่านเป็นมนุษย์ท่านก็มีความสุข ตายจากความเป็นมนุษย์ก็ไม่พบความทุกข์ เพราะเทวดากับพรหมไม่มีความทุกข์ ถ้ามีกำลังเต็มเมื่อไรไปนิพพานเมื่อนั้น ก็พูดกันไว้แค่นี้ก็แล้วกัน เป็นการเตือนใจบรรดาท่านพุทธบริษัท

สำหรับวันนี้ก็จะแนะนำ "คาถามหาเสน่ห์" ถ้าถามว่า "พระมีคาถามหาเสน่ห์ด้วยหรือ?" ก็ต้องตอบว่า "มี" ถ้าถามว่า "ใครเป็นครู" ก็ต้องตอบว่า "พระพุทธเจ้าเป็นครู" ถ้าจะมีคนถามว่า "พระพุทธเจ้าทรงตัดกิเลสได้แล้ว ยังมีเสน่ห์ด้วยหรือ?" ก็ต้องตอบว่า "คนไหนถ้าตัดกิเลสได้มาก เสน่ห์ก็มาก ตัดกิเลสได้น้อย เสน่ห์ก็น้อยลงมา ถ้ายังตัดกิเลสไม่ได้ไม่ได้เลย ระงับสิ่งที่ไม่เป็นเสน่ห์พยายามสร้างสิ่งที่เป็นเสน่ห์ขึ้นมา ก็มีเสน่ห์เหมือนกัน"
คำว่า "เสน่ห์" แปลว่า "ความรัก" ความรักซึ่งกันและกัน เป็นเยื่อใยแห่งความรัก ที่ดึงกำลังใจของบุคคลอื่นให้มารักเรา และก็เราเอง ถ้าคนอื่นเขาทำ เราก็รักเขาเหมือนกัน ถ้าต่างคนต่างมีเสน่ห์ บรรดาท่านพุทธบริษัท โลกนี้จะมีแต่ความสุข จะหาความทุกข์ไม่ได้ ความทุกข์จะมีบ้างก็แค่เรื่องของขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือร่างกาย มันก็ต้องแก่ มันป่วย เป็นเรื่องธรรมดาของขันธ์ ๕ คือร่างกาย แล้วมันก็ตาย เราจะมีทุกข์อยู่บ้างเมื่อความแก่เข้ามาถึง เพราะร่างกายไม่ทรงตัว กำลังไม่ดี ความเชื่องช้าก็ปรากฎก็หนักใจอยู่นิดหนึ่ง ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น มันก็มีความลำบากอยู่บ้าง มีความทุกข์อยู่บ้าง ความตายจะเข้ามาถึงก็มีความทุกข์บ้าง เพราะมีทุกขเวทนามาก แต่นอกจากอาการทั้ง ๓ อย่างนี้แล้ว เราจะมีแต่ความสุข เพราะคนที่มีเสน่ห์มากก็มีคนรักมาก ถ้าเราพบปะสังสรรค์กับสมาคมใด บุคคลใด เราเป็นคนมีเสน่ห์ สมาคมนั้นเขาไม่เกลียด ผู้ที่เกลียดก็คือว่า คนที่มีเสน่ห์ไม่เท่า เขามีเสน่ห์น้อยเกินไปมีคนรักน้อยเกินไป อาจจะมีการอิจฉาริษยากันได้ นี่เป็นของธรรมดา แต่ถ้าพบหน้ากันเข้าจริงๆ บ่อยๆ อาการอิจฉาริษยาก็จะหมดไป เหลือแต่ความรัก คาถามหาเสน่ห์นี่มีอยู่ ๔ ข้อ ๔ คำ คือ

๑. ไม่พูดปด ๒. ไม่พูดคำหยาบ
๓. ไม่พูดส่อเสียด ๔. ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

นี่แหละเป็นคาถามหาเสน่ห์ คำว่า "คาถา" นี่มาจากภาษาบาลี แปลว่า "วาจาเป็นเครื่องกล่าว" ก็หมายถึงคำพูดที่เราพูดไปเอง คำพูดที่เราพูดออกไปนี่ ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า "คาถา" (แต่คนไทยพูดเข้าเลยหาว่าเป็นคาถามหานิยมไปเลย เป็นการเสกคาถาไป) ความจริงไม่ใช่ นี่พระพูด ไม่ใช่หมอไสยศาสตร์ หมอเสน่ห์เล่ห์ลมพูด พระพูดถือบาลีเป็นพื่นฐานเป็นหลัก คาถาในที่นี้ถือว่า วาจาเป็นเครื่องกล่าว คือ คำพูด
อาตมาจำถ้อยคำของท่านสุนทรภู่ไว้ได้ตอนหนึ่ง ท่านกล่าวว่า

"คนเราจะชั่วหรือดีอยู่ที่ปาก จะได้ยากหิวโหยเพราะชิวหา"

หมายความว่า จะชั่วหรือดีอยู่ที่ปากพูด เสียงที่พูดออกไป จะได้ยากหิวโหยเพราะชิวหา คือลิ้นเป็นเครื่องแต่งเสียง (วันนี้ร่างกายไม่ดีมาก แต่ขอทำงานตามหน้าที่ เพราะปล่อยร่างกายดีก็ไม่ได้พูด ถ้าไม่ได้พูดงานก็ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ ก็ขอพูดทั้งๆ ที่เสียงก็ไม่ดีร่างกายก็ไม่ดี เพลียมากเหลือเกิน)
ก็รวมความว่า คนเราจะดีจะชั่วอยู่ที่ปาก การพูด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าต้องการมีเสน่ห์

๑. อย่าพูดปดมดเท็จ แต่คนพูดปดมดเท็จนี่ ถ้าเขาจับไม่ได้มันก็ดี การยอมรับนับถือยังมีอยู่ ถ้าจับคำพูดปดมดเท็จได้เมื่อไรเมื่อนั้นแหละความเป็นที่เคารพนับถือก็ดี ความเป็นมิตรสหายซึ่งกันและกันก็ดี ก็ต้องสลายตัวไป เพราะอะไร? เพราะเราเป็นคนทำลายประโยชน์เขา ในเมื่อเราเป็นคนพูดปด คนที่จะคบหาสมาคมด้วยก็หายาก เพราะว่าถ้าพูดกิจการงานกับเขา เขาก็หวังไม่ได้ว่าเราจะพูดตามความเป็นจริง เรียกว่าเราจะต้องเป็นคนมีทุกข์มาก ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย

สำหรับคำพูดปดนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาลองซ้อมดูแล้ว ความจริงข้อนี้ก็เป็นทั้งศีลทั้งธรรมนะ ศีลมีแค่พูดปด กรรมบถ ๑๐ ก็เติมพูดหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ข้อนี้ก็รวมทั้งศีลและก็กรรมบถ ๑๐ ด้วย
สำหรับวาจานี่ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาเคยถามว่าการรักษาศีลห้า ระวังตอนไหน ส่วนมากจริงๆ บอกว่า หนักใจที่ มุสาวาท เขาว่าเขาจำเป็นต้องโกหก เขาถือว่าจำเป็น อย่างการค้าขายนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าไม่โกหกมันก็ขายไม่ค่อยจะได้ บางทีไม่จำเป็นต้องโกหกก็ต้องโกหก เดี๋ยวพ่อค้าฟังแล้วเขาจะเกลียดนี่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ความจริงที่ว่าหนักใจก็ได้แก่พวกพ่อค้าแม่ค้า บรรดาท่านสตรีทั้งหลายนี่หนักใจมาก ว่าศีล ๔ ข้อพอรักษาได้ บอกว่าข้อมุสาวาทนี่หนักใจ แต่ความจริงถ้าเราไม่พูดโกหกจะได้ไหม ลองไม่พูดโกหกดู ดูซิจะขายของได้หรือไม่ได้ ของดีเราก็บอกว่า "นี่ของดีจริงๆ นะ" ไม่ได้หลอกลวงกัน ไอ้ที่ดีขนาดกลางก็บอกว่า นี่ดีขนาดกลาง ไอ้ที่ดีขนาดเลวก็บอกว่านี่ดีขนาดเลว ถ้าถามว่าขนาดเลวทำไมจึงว่าดี ก็เพราะยังเป็นของดีไม่แตกสลาย ผ้าไม่ขาด ขันไม่แตก แก้วไม่แตก ก็เป็นของดี แต่ว่าอัตราของมันเป็นของเลวหยาบไปหน่อย สวยน้อยไปนิด เนื้อละเอียดน้อยไปหน่อย อย่างนี้เป็นต้น ก็เรียกว่าดีขนาดเลว เราก็บอกตามความเป็นจริง ข้อนี้หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงคงไม่หนักใจ

มาอีกตอน เรื่องราคาของของ ราคาของของนี่จำเป็นต้องโกหกกัน ถ้าไม่โกหกมันขายราคาแพงไม่ได้ แล้วก็มีปัญหาอยู่ว่า สมมุติว่าของชิ้นนี้ในท้องตลาดเขาขายราคา ๑๐ บาท แต่ว่าต้นทุนจริงๆ มันเป็นบาทหรือสองบาทเท่านั้นไม่มาก ถ้ามีคนเขามาขอซื้อ เขาขอลด ไม่ใช่ต่อ บอก ๑๐ บาท เขาขอลด ๙ บาทหรือ ๘ บาท ถ้าต่อนั้นหมายความว่าต้องเป็น ๑๑ บาทหรือ ๑๒ บาท คงไม่มีคนซื้อคนใดเขาต่อให้มันสูงขึ้น มีแต่ว่าขอลดลง ว่าขอลดลงมาอย่างนี้ ถ้าเราขายไปเราก็เสียราคาท้องตลาด ถ้าขายถูกเกินไปนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่อาตมาเคยพบมา ตอนนั้นยังอยู่วัดประยุรวงศาวาส จะไปเทศน์ที่นครปฐม ข้ามสะพานพระพุทธยอดฟ้ามาที่พาหุรัด เพื่อขึ้นรถยนต์ที่นั่น รถโดยสาร ไปเจอกระเป๋าถือลูกหนึ่งชอบใจ ก็เข้าไปซื้อ ตกลงกับเจ็ว่าตอนเย็นจะมาเอา เขาปิดราคาไว้ ถามเขาบอกว่า จะเอาไปแต่เอาไปไม่ได้เพราะไปเทศน์ จะให้สตางค์ก่อนเอาไหม? เถ้าแก่ก็บอกว่าไม่ต้อง เห็นหน้ากันเกือบทุกวัน เขาไว้วางใจ แต่พอกลับมาปรากฎว่าของในร้านทั้งหมด เขาเขียนราคาสูงขึ้นไปหมด ราคาเดิมก็ไม่มี สมมุติว่าราคาเดิมเป็น ๑๐ บาท ตอนเช้ามองดูแล้วมันเป็น ๑๐ บาท แต่ว่าตอนเย็นกลับมามัยกลายเป็น ๑๓ บาทไป ของบางอย่าง กระเป๋าลกนั้นประเภทเดียวกัน ถามเขาเวลานั้นค่าเงินมันสูงเขาเอา ๒๐ บาท ตอนเช้าเขียนราคา ๒๐ บาท ในฐานะที่ชอบกันก็บอกว่า "ฉันเอาลูกหนึ่งฉันไม่ขอลดล่ะ เถ้าแก่จะลำบากเพราะรู้จักกันดี"

เถ้าแก่เลยบอกว่า "ท่านไม่ขอลดผมจะลดให้ ผมเอา ๑๘ บาท" แต่ตอนเย็นพอมาถึง ปรากฎว่ากระเป๋าประเภทนั้น ราคาขึ้นไปเป็น ๒๕ บาท ก็เลยถามว่า

"เถ้าแก่ เมื่อเช้านี้มัน ๒๐ บาทน่ะ นี่แค่ตอนเย็นมัน ๒๕ บาท ฉันจะเอาสตางค์ที่ไหนมาซื้อ"

เถ้าแก่ก็เลยบอกว่า "กระเป๋าของท่านอยู่ข้างในครับ ผมไปเก็บไว้ข้างในแล้ว ราคาผมก็เขียนเท่านี้เหมือนกัน แต่ผมรับสตางค์จริงๆ แค่ ๑๘ บาท"

ก็ถามว่า "ทำไมจำเป็นต้องขึ้นราคากันตามนี้ด้วยเล่า มันไวเกินไป"

เถ้าแก่ก็บอกว่า "หลังจากท่านขึ้นรถไปแล้วไม่นานนัก ประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษ ก็มีเจ้าหน้าที่เขามาแจ้งบอกให้ขึ้นราคาของไปเท่านั้นเท่านี้ ต้องขึ้นราคาตาม เขาว่าของขึ้นไปกี่เปร์เซ็นต์ก็แล้วกัน ให้ข้นราคาของไปอย่างละกี่เปอร์เซ็นต์ ต้องทำตามเขา"

ก็เลยถามว่า "ถ้าเราไม่ขายตามเขาล่ะ เราขายถูกเราจะขายได้ดี เขาขายแพงขายไม่ได้ดี"

เถ้าแก่บอกว่า "ไม่ได้หรอกขอรับ ถ้าไม่ขายตามเขา เราขายถูกเขาจะส่งคนมาซื้อหมด เมื่อซื้อหมดแล้วเราก็ไม่สามารถจะหาของราคาเท่านั้นมาขายได้อีก เพราะเขาขายแพงขึ้น"

มันมีความจำเป็นต้องขายตามเขา แต่ในที่สุดท่านเถ้าแก่ก็เอากระเป๋าให้มาแล้วรับเงิน ๑๘ บาทตามเดิม เขามีความซื่อสัตย์ดี แต่ว่าป้ายที่เขียนไว้นั้นเป็นราคา ๒๕ บาท เถ้าแก่แกก็สั่งไว้ว่า "ถ้าใครเขาถามท่านให้บอกว่าเขาขายราคา ๒๕ บาทนะครับ ไม่งั้นผมเสียแน่"

แต่ความจริงอาตมามาถึงวัดคนนั้นถาม คนนี้ถามก็บอกว่า "อย่าบอกราคากันเลย ราคาไม่ต้องบอกกัน ป้ายเขาเขียนเท่านี้ก็เชื่อเท่านี้ก็แล้วกัน ผมจ่ายเท่าไรเป็นเรื่องของผม ให้ถือว่าป้ายเขาเขียนไว้เท่านี้ก็แล้วกัน"

แต่นั้นมา ถึงญาติโยมพุทธบริษัทที่จะต้องบอกราคาเกิน ความจริงถ้าบอก ของราคา ๒ บาท เราขาย ๑๐ บาท เขาขอลด ๘ บาท แล้วก็บอกว่า
"ไม่ได้หรอก ฉันซื้อมา ๙.๕๐ บาท แล้วนี่ฉันได้ ๕๐ สตางค์เท่านั้นเอง ถ้าจะลดก็ลดได้เพียง ๒๕ สตางค์ อย่างนี้โกหก เป็นมุสาวาท"

ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นมุสาวาท? ก็ต้องตอบเขาเฉยๆ ว่า "ของต้นทุนมันแพงต้องขายเท่านี้ ถ้าจะลดได้ก็ลดได้แค่ ๕๐ สตางค์ หรือ ๒๕ สตางค์ ลดเกินกว่านั้นไม่ได้เพราะต้นทุนมันแพง" ถ้าเขาถามว่า "ต้นทุนแพงราคาเท่าไร?" ก็ตอบเฉยๆ ว่า "ของมันหลายชิ้นด้วยกัน ตอบยาก มันต้องเปิดตำรา" เท่านี้ก็หมดเรื่องหมดราว ไม่เป็นมุสาวาท

ก็รวมความว่า คนที่พูดมุสาวาทเป็นคนไร้สัจจะ คนเกลียด แต่พูดตามความเป็นจริง บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ไปที่ไหนใครก็ชอบ คนทุกคนต้องการรับฟังวาจาที่ตรงตามความเป็นจริง แต่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงก็ต้องระวังเหมือนกัน

การพูดตามความเป็นจริงนั้นต้องเลือกเวลา อย่าพูดจนกระทั่งเขามีความเสียหายต่อหน้าประชาชนเกินไป ต้องใช้ปัญญาด้วย ความจริงข้อนี้เราควรจะพูดที่ไหน แล้วเวลาพูดนั้นเป็นเวลาควรจะพูดแล้วหรือยัง? ถ้าเป็นเครื่องสะเทือนใจของบุคคลผู้รับฟัง เวลาที่เขาอารมณ์ไม่ดีอย่าเพิ่งพูดความจริง รอเวลาอารมณ์ดีจิตใจเขาสบาย พูดอ้อมหน้าอ้อมหลังไปก่อน เห็นท่าว่าเขาจะยอมรับแล้วก็ไม่โกรธจึงควรพูด ถ้าพูดไปแล้วผู้รับฟังโกรธ บรรดาท่านพุทธบริษัท นั่นหมายถึงความตายจะเข้ามาถงผู้พูด ตามที่เขาพูดกันว่า "วาจาจริงเป็นวาจาไม่ตาย แต่คนพูดตามความเป็นจริงอาจจะตายได้" นี่ต้องระวังให้มาก ก็ถือว่าถ้าเราพูดตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง เลือกเวลาเหมาะเวลาสม ใช้ปัญญาหน่อย อย่างนี้ถือว่า วาจาเป็นทิพย์ ท่านจะมีความสุขมาก ในฐานะที่คนทั้งหลายมีความไว้วางใจในท่าน

สำหรับกรรมบถ ๑๐ และศีลข้อนี้อธิบายกันยาว เพราะนี่มันยาวไปหน่อยนะ
ต่อไปข้อหนึ่ง คือ "วาจาหยาบ" วาจาหยาบ เป็นเครื่องสะเทือนใจบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าไม่จำเป็นอย่าพูดเลย แต่ความจริงบางโอกาสก็จำเป็นต้องพูด จำเป็นต้องใช้ แต่ควรใช้เฉพาะบุคคลที่มีความจำเป็นของเรา อย่างคนที่อยู่ในปกครอง จะเป็นลูกหรือจะเป็นใครก็ตามเถอะ เพราะคนเรามีนิสัย ๒ อย่าง คนที่มีนิสัยละเอียด นี่เป็นคนดีมาก คนประเภทนี้ชอบปลอบ และค่อยพูดค่อยจามีเหตุผล รับฟังแล้วปฏิบัติตาม คนประเภทนี้พูดจาหยาบตึงตังไม่ได้ เสียหายกันเลย ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะเธอมาจากสวรรค์ ถ้าบางคนเป็นคนนิสัยหยาบ เธอมาจากอบายภูมิ ถ้าพูดอ่อนโยน อ่อนหวาน เสร็จแก ขี่คอแน่ คนประเภทนี้ไม่ต้องการวาจาดี ต้องใช้วาจาหยาบ ตึงตังโครมคราม นี่เฉพาะคนในปกครองของเรา มีความจำเป็นต้องใช้ให้เหมาะกับนิสัย แต่สำหรับกับเพื่อนบ้าน บรรดาญาติโยมทั้งหลาย อาตมาคิดว่าใช้วาจาอ่อนโยนดีกว่า วาจาอ่อนโยน และอ่อนหวานนี้เป็นประโยชน์มาก ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าจะพูดที่ไหนใครก็ชอบ จะพูดที่ไหนใครก็รัก

แต่ว่าสำหรับเพื่อนที่คบหาสมาคมกันสนิทก็ไม่แน่นัก บางทีพูดเพราะๆ เข้าแกด่าเอาเลย หาว่าดัดจริต ฉะนั้น คำว่า "วาจาหยาบ" นี่ต้องดูเฉพาะบุคคล บางคนถ้าเป็นเพื่อน คบหาสมาคมมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก อาตมาพบท่านๆ หนึ่ง สมัยที่ยังไม่แก่นัก อาตมาก็ยังไม่แก่เกินไปนะเวลานั้น เวลานี้มันหาหนุ่มไม่ได้อยู่แล้ว มีแรงมาพูดได้ก็บุญตัว เวลานั้นยังไม่แก่เกินไป ไปพบคนๆ หนึ่งเคยเรียนหนังสือชั้นประถมมาด้วยกัน เธอเป็นอธิบดีกรมๆ หนึ่งๆ พอไปพูดจาหวานๆ เข้า แกชักกระชากเสียงว่า "ทำไมต้องพูดอย่างนี้ เมื่อสมัยเป็นเด็กอย่าลืมนะว่าเรียนหนังสือโต๊ะเดียวกัน ความเป็นใหญ่เป็นโต สำหรับเพื่อนรักไม่มีสำหรับเรากับท่าน" เขาว่าอย่างนั้น ว่าเพื่อนกันไม่มีอะไรใหญ่กว่ากัน ห้ามยกย่องสรรเสริญกันแบบนั้น นี่แบบนี้เขาก็มีนะ

แล้วก็มีคนอีกคนหนึ่งเพื่อนกัน เขาเป็นฆราวาส เขาก็ไปพบเพื่อนของเขาเหมือนกัน คนนี้ออกมาจากโรงเรียนแล้วก็ไม่มีงานราชการทำ เธอไม่อยากจะทำ อยากจะทำงานส่วนตัว ก็เดินไปเดินมาแบบพ่อค้าหาบเร่ แต่ความจริงไม่เสียหาย ติดต่อของที่โน่นเอามาขายที่นี่ ติดต่อที่นี่ไปขายที่โน่น รู้สึกว่ารายได้ดี รายได้ของเธอดีมาก บางวันสมัยนั้นค่าของเงินยังแพงอยู่ ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๕ สตางค์ บางวันเธอได้กำไรเป็นร้อยๆ นับเป็นร้อยๆ บางวันถึงพัน อย่างไม่ได้เลยก็ ๒-๓ ร้อยบาท นี่แค่เฉพาะกำไร รวยมาก ดีกว่ารับราชการ เธอไปพบเพื่อนคนหนึ่งเป็นอธิบดีเหมือนกัน (คำว่า "เหมือนกัน" ก็เหมือนกับเพื่อนอาตมาอีกคนหนึ่ง) มาถึงก็ยกมือไหว้ "ท่านครับ" ครับผมเข้าให้ อธิบดีหันมาด่าเลย บอก "นี่..มึงอย่ามาพูดกับกูแบบนี้ กูไม่ใช่นายมึง กูเป็นเพื่อนของมึง ทีหลังห้ามพูดนะ" นายนั่นก็บอกว่า "ท่านเป็นอธิบดี" แกก็เลยกระชากเสียงมาใหม่บอก "กูเป็นอธิบดีสำหรับคนอื่น ไม่ใช่อธิบดีของมึง มึงเป็นเพื่อนกู ไปกินเหล้าด้วยกัน" ชวนไปกินเหล้ากันเลย

รวมความว่า วาจาหยาบต้องดูเฉพาะบุคคลที่ควรไม่ควร รวมความว่า แหม..ถ้าใช้หวานๆ เกินไป สำหรับเพื่อนก็ไม่ดีเหมือนกัน ถ้ากร้าวเกินไปสำหรับเพื่อนบางคนก็ไม่ดีเหมือนกัน ต้องเลือกวาจาใช้ รวมความว่าใช้วาจานิ่มนวลไม่หยาบคายมีประโยชน์กว่า เป็นที่รักของบุคคลทั่วไป นี่ว่าสำหรับคนทั่วไปนะเป็น "คาถามหาเสน่ห์" เหมือนกัน

เวลามันเหลือน้อย ย้ำไปมาก ซอยไปมาก มันจะยุ่งแล้วหลวงตา มันจะจบไม่ทัน เสียงก็แห้งลงมาทุกที แรงมันหมด มันยังไม่ตายก็พูดไปก่อน พูดให้มันขาดใจตายไปเลย

ก็รวมความว่า ต่อไป "วาจาส่อเสียด" เรื่องการยุแยงตะแคงแสะ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อย่าให้มีเด็ขาด อันนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเราเลยท่าน เรายุให้เขาแตกแยกกันก็อย่าลืม หอกนั้นมันจะสนองเรา อย่าลืมว่าคนทุกคนนะเขามีปัญญา ทีแรกถ้าเขายังไม่พบหน้าซึ่งกันและกัน เขาอาจจะเชื่อเรา และคนที่มีปัญญาเบาคือจิตทรามไร้ปัญญาก็แล้วกัน เมื่อรับฟังแล้วก็เชื่อเลยประเภทนี้ก็มี แบบนี้สร้างความแตกร้าวให้เกิดขึ้นมาเยอะ คนบางคนเขาใช้ปัญญาก็มีเหมือนกัน ถ้าบังเอิญเขาพบกันเข้า ไต่สวนกันเข้าเมื่อไร วาจาที่เรายุแยงตะแคงแสะไว้มันไม่ตรงตามความเป็นจริง ตอนนี้แหละ ญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง เรื่องร้ายก็ตกกับเรา เขาเกลียดน้ำหน้า ดีไม่ดีแทนวาจาจะต่อว่า กลายเป็นอาวุธไปก็ได้ เขาอาจจะจ้างคนมาฆ่าให้ตาย หรือเขาจะฆ่าเองก็ได้ ข้อนี้อย่าทำ

แล้วสำหรับอีกวาจาหนึ่ง คือ "วาจาเพ้อเจ้อเหลวไหล" คือวาจาไร้ประโยชน์ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าให้มีเป็นอันขาด พูดไปมันก็เหนื่อยเปล่า ถ้าคนเลวเขารับฟังก็ฟังได้ แต่ถ้าเป็นการเล่านิทานไม่เป็นไร ไม่ไร้ประโยชน์ สร้างความรื่นเริงบันเทิงใจให้เกิดแก่ผู้รับฟัง นิทานใครๆ ก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่วาจาที่พูดกับเพื่อน ถึงแม้ว่าไม่ใช่วาจาที่เป็นงานเป็นการ แต่พูดไปไร้เหตุไร้ผลนี่ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนอย่าพูดเลย ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะพูดไปเราก็เป็นคนเสีย วันหลังถ้าไปเจอะหน้ากันเข้าหรือเข้าไปพบกัน เขาไปพบกับคนอื่นใดเขาจะกล่าวว่า "ไอ้หมอนั่น อีหมอนี่มันไม่ดี พูดส่งเดชไร้ประโยชน์" ต่อไปข่าวนี้กระจายมากไปเท่าไรก็ตามที เราก็เป็นคนเสียเท่านั้น ทีหลังจะพูดอะไรกับใครเขา เขาก็ไม่อยากจะฟัง ถ้ามีความทุกข์ปรารถนาจะขอความช่วยเหลือ เขาก็ไม่อยากช่วย เพราะเขาไม่เชื่อวาจาของเรา

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่ท่านสุนทรภู่ท่านว่าไว้ว่า "จะชั่วหรือดีอยู่ที่ปาก จะได้ยากหิวโหยเพราะชิวหา" นี่เป็นความจริง ถ้าเราเป็นคนพูดที่

๑. พูดตามความเป็นจริง
๒. ไม่พูดหยาบคาย ใช้วาจาไพเราะ
๓. ไม่ส่อเสียด ไม่ยุยงส่งเสริมเขาให้แตกร้าวกัน
๔. ใช้วาจาเฉพาะที่วาจาที่เป็นประโยชน์

ทั้ง ๔ ประการนี้ คำว่า "โทษ" ไม่มีกับเรา มีแต่คุณเท่านั้น จะไปที่ไหน จะพูดที่ไหน ใครก็อยากรับฟัง เขาถือว่า วาจาเป็นทิพย์

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี่แรงก็จะหมดพอดี พูดไปเสียงก็กลั้วไปเสียงก็แห้งไป เวลาก็หมดก็ขออำลาแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธบริษัทศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี