วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเล่าเรื่อง...พระยายมราชเป็นพยาน โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

หลวงพ่อเล่าเรื่อง...พระยายมราชเป็นพยาน
โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

กระผมสงสัยเรื่องการอุทิศส่วนกุศล แล้วให้เทวดาหรือพระยายมเป็นสักขีพยาน ขอให้หลวงพ่อขยายความเป็นมาด้วยเถิดครับ......?
เอาอย่างย่อหรืออย่างพิสดาร ค่าครูมันไม่เท่ากัน
คือเรื่องเป็นอย่างนี้นะ เมื่อ พ.ศ. 2508 ตอนนั้นเริ่มสอน มโนมยิทธิ ลุงพุฒิ (พระยายม ราช) ท่านก็มา ท่านบอกว่าคุณอย่าคิดว่าคนที่มาเจริญพระกรรมฐานจะได้ดีทุกคน เวลาตายอาจจะเผลอไปก็ได้ ถ้าเผลอไปสำนักของผมก็ต้องว่ากันตามเหตุตามผล ใครนึกถึงบุญได้ไปสวรรค์ ใครนึกไม่ได้ไปนรก มันสุดแล้วแต่การนึกนะ
ท่านก็บอกว่า อาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลูกหลานท่านก็คือลูกหลานผม ท่านเคยมาเป็นพี่มาหลายแสนชาติ
ทีนี้เวลาเจริญพระกรรมฐานอย่าคิดว่าเวลาตายอารมณ์ใจเสมอกัน เพราะถ้าเป็นฌานโลกีย์อารมณ์ไม่แน่นอน อาจเผลอได้ทีนี้ขอให้ทุกคนเวลาอุทิศส่วนกุศลอ้างผมเป็นพยานไว้ ถ้าเขาถามเรื่องบุญกุศลถ้าบังเอิญนึกไม่ออก ผมจะเป็นพยานอ้างเองว่าทำอย่างนั้นๆไว้ แล้วก็ไล่ไปสวรรค์เป็นอย่างต่ำ นี่จุดหนึ่งนะ
แล้วก็ก่อนหน้าจะมา 4-5 วันก็นอนๆ ภาวนาอยู่ ตามธรรมดาของฉันเป็นอย่างนี้เวลาอยู่คนเดียว ถ้าว่างงานอื่น ไม่ว่างงานอื่นจะพิจารณา นี่ไม่ใช่อวดนะ ถือเป็นปกติเลย
ภาวนาก็ดี พิจารณาก็ดี จิตเป็นสุข คิดเรื่องอื่นไม่เป็นสุข เราต้องการจิตเป็นสุข
ภาวนาไปสัก 2 นาที จะถึงไม่ถึงไม่ทราบ จิตก็เริ่มเป็นสุขมาก ก็เห็นคนสองคนเดินมา นุ่งโสร่ง ผ้าขาวม้าคาดพุง อ้วน ถามท่านว่า เรื่องของร่างกายฉันเป็นอย่างไร ยืนยันไหมว่าหายหรือไม่หายโรค ถ้าไม่หายเป็นก็ไม่เป็นไร บ้านฉันมีอยู่ (นิพพาน)
ท่านบอกว่า เกณฑ์การตายของท่านยังไม่มี สมเด็จฯไม่อนุญาต เวลานี้เลยกาลมาแล้ว
ท่านก็พลิกบัญชีดูบอก คุณ....ไม่กี่วันก็จะถึงเวลานี้เวลานี้ตัวหนังสือยังแดงอยู่ ตัวหนังสือเขาเป็น 3 จุด สีแดงจัด สีน้ำเงิน กับสีทอง ถ้าสีแดงอยู่ในเกณฑ์เคราะห์ร้าย อันตรายมาก ของฉันนี่สีแดงแจ๋ สบายใจมาก
ที่นี้ไอ้ตัวหนังสือมันหมดไป เหลือแต่เส้นขยุกขยิก ก็เลยบอกว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไอ้ขยุกขยิกของท่านจะหมดไป จะเป็นเส้นเรียบคล้ายๆ เส้นบรรทัด การป่วยจะน้อยลง ถ้าถึงเวลาตัวหนังสือเป็นสีน้ำเงินเมื่อไร แต่ว่าตอนนั้นจะต้องปรับเรื่องร่างกายอีกชั่วระยะหนึ่ง เพราะว่าโทรมมากไป ใช่ไหม
ต่อไปไม่นานนักพอถึงสีน้ำเงินก็จะเป็นสีทอง อีตอนนี้จะมีโชคมาก เกี่ยวกับลูกหลานจะมีตังค์มาให้ ถ้ามันไม่รวยมันให้ไม่ได้ ก็ยุลูกหลานให้รวยไว้
ต่อมาท่านก็บอกว่า คุณ......ไปเที่ยวบ้านผม ถามว่าไปทำไมล่ะ ไม่มีธุระจะไป เพราะตั้งแต่ป่วยา 6 ปี ไม่เคยไปไหนเลย ออกจากตัวปั๊บก็ไปที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปหาโยม ไปนิพพานเลยไปแค่ 2 ที่ ที่อื่นไม่แวะ ก็แน่วแน่ว่ามันจะพังเมื่อไรร่างกายใช่ไหมจะเกาะมันทำไม
ท่านบอกว่า ไปได้แล้ว เลยบอก ยืนยันก่อนว่าไข้จะหายท่านบอกรับรอง ก็พอดีท่านย่ากับแม่ศรีมา ท่านบอกว่าคุณ...ตามท่านไปเถิด ฉันไปด้วย ก็พอดีที่ท่านย่าพูดสมเด็จฯ มาท่านบอก คุณ..ไปเถิด ฉันไปด้วยเหมือนกัน ก็เลยคิดเรื่องนี้คงเป็นเรื่องสำคัญ ก็เลยตามท่านไป สองคนก็เดินนำไปพอถึงก็เลี้ยวเข้าสำนัก แต่สำนักของท่านนายบัญชีและพระพยายมนั่งรออยู่ด้วยเหมือนกัน
ถามลุง นั้นใคร ท่านบอก ผมครับ
ถามนายบัญชี ลุง...นั้นใคร ผมครับ
ถาม นี่ ใคร ผมครับ

ถามว่า มันเป็นไปได้ยังไงบุคคลเดียวกัน ท่านก็ย้อนถามว่า คุณเวลาเจริญพระกรรมฐานกับลูกศิษย์ เมื่อพบเทวดากับพรหมที่มีบุญหลายร้อยองค์ ให้ขยายตัวเท่านั้นเข้าไปกราบ ทำไม ทำได้ ในเมื่อผมเป็นเทวดาเป็นพรหมทำไมผมทำไม่ได้ เพราะความเป็นทิพย์ เราก็โง่ไป
ก็รวมความว่าท่านก็พาไปเจอะคน 11 หมู่ คน11 กลุ่ม หนึ่งประมาณ 10000 คน ยืนหน้าเซียว เสี่ยว เสี้ยว เซี้ยว เสียว ต่างคนหน้าเซียวถึงเสียว เพราะแน่ใจว่าจะไปนรกหรือสวรรค์ แต่ละกลุ่มมีผู้ชายตัวใหญ่ๆ ถืออาวุธ 1 อัน คนทุกคนที่ยืนหัวแค่เอวอีตานั้นแหละ นั้นคือ นายนริยบาล แล้วก็เดินผ่านไป ท่านบอกพวกนี้รอการสอบสวน
พอผ่าน 11 กลุ่มไปแล้ว ก็เลยไปทางทิศตะวันออก ไม่ไกลนัก ถ้านับกันก็สัก 2-3 โยชน์ นี่นะ แต่สวรรค์ไม่ไกล ตอนไปหลังสารมจีน1 วัน ก็เดินไปปั๊บเจอะฝูงเป็ดกับฝูงไก่
ถามว่า ไก่ เท่าไร หัวหน้าเขารายงากว่าแสนกว่าครับ ถามเป็ดเท่าไร แสนกว่าครับ วัว ควาย เป็ด ไก่ ที่ถูกไก่เชือดเมื่อสาทรจีน มันคอยตอนรับคนเชือด เขาเข้าไปเป็นพยาน กับพยายมจะกล่าวโทษบุคคลนั้นทันที
เลยถามท่าน บอก สัตว์ตายแล้วย่อมเกิดเป็นเทวดาบ้าง เป็นคนบ้าง ทำไมจึงเป็นรูปสัตว์ได้ ในเมื่อมาไม่ได้ ท่านบอกว่าท่านแสดงแทน
แล้วต่อไป เดินไปอีกกลุ่มหนึ่ง มีเป็ด มีไก่ มีสัตว์หลายประเภท เยอะเหมือนกัน ถามว่า พวกคุณนี่ก็รวมความว่า ถ้าเราอ้างลุงเป็นพยาน เวลาที่เราตายไปแล้ว เวลาเข้าถามเรื่องบุญนึกไม่ออก ท่านจะกล่าวเป็นพยานว่าบุญอย่างนี้ๆ เขาทำช่วยนี่ ที่พูดให้ฟังตามนี้นะว่าพยานมันคอยอยู่อย่านึกว่าทุกอย่างมันลืม ไม่มีหมดหรอก

บวชชีตอนปลาย

ทีนี้เลี้ยวเข้ามาเจอะชีคนหนึ่ง ไปเที่ยวสำนักพระยายมคน 4 คนพาไป นุ่งแดงนะ พระยายมท่านก็เรียกไปสอบสวน เจ้าหน้าที่ก่อน
เอ็งฆ่าไก่ใช่ไหม จะเชือดก็กลัวไก่เจ็บ เลยเอาหัวฟาดกับเสาใช่ไหม เห็นเลือดแล้วใจไม่ดี ฟาดกับเสาเสียเลย หัวเละ ตายเลย แกก็บอกว่าเป็นความจริง ที่ฆ่าสัตว์เพราะว่ามีความจนมาตั้งแต่เด็ก
ต่อมาเมื่ออายุ 12 ปี มีไก่มาเลี้ยงประจำบ้านอยู่ ตัวอ้วนดี ก็มีคนบอกว่าถ้าแกงไก่ตัวนี้ให้จะได้ราคามากหน่อยให้สตาค์มากหน่อย แกก็จนนี่ ก็ต้องทำ แล้วเจ้าหน้าที่ ฝ่ายโจทก์คนที่อยู่เก้าอี้ข้างขวาน่ะนะบอกว่า บาปจริงๆของเอ็งมีอย่างเดียว
แหม.....ยายนี่จนจริงๆ จนบาป พุทโธ่....ชีวิตทั้งชีวิตฆ่าไก่ตัวเดียว แหม...ระยำหมาจริงๆ ก็รวมความว่าแกทำบาปครั้งเดียว
หลังจากนั้นแกก็สลดใจ แกบอกว่าแกสลดใจ เลยมาเป็นลูกจ้างเขา ให้มีข้าวพอมีพอกินก็แล้วกัน ให้มากให้น้อยไม่เป็นไร ต่อมาเป็นชาวนา ต่อมาเป็นลูกจ้างร้านค้า พออายุ 40 ปีเศษแกก็บวชชี ตายเมื่ออายุ 53 ปี อยู่จังหวัดฉะเชิงเทรา
ก็อันนี้เขาถามเท่านี้นะ ทำบุญอะไรบ้าง แต่เขาถามไม่ให้ตอบ เจ้าทำอย่างนั้นใช่ไหม เจ้าเคยใส่บาตร เจ้าเคยบูชาพระ ไม่ใช่บอกให้ตอบ ตรงจุดตามเป้าหมายหมด ในขั้นสุดท้าย เคยเจริญภาวนา
คุณลุงเลยถาม (เห็นบุญมากกว่าบาป) เจ้าทำไมจึงต้องมาสำนักพยายม ซึ่งไม่จำเป็นเลยถ้าบุญขนาดนี้จะต้องไปสวรรค์หรือพรหมโลกทันที
แกเลยบอกว่า เรื่องมันอย่างนี้เจ้าค่ะ ตอนต้นเวลาป่วยก็ดีนึกถึงกุศล ภาวนาบ้าง จิตใจก็สงบ ตอนใกล้ตายมีเสียงตึงตังครึกโครมครามที่ข้างฝาบ้าน จิตใจก็หวั่นไหวแว้บเดียวก็เห็น 4 มารับ พ่อยอดขมองอิ่มมารับไปเลย
ท่านลุงบอกว่า เรื่องมานเป็นอย่างนี้ก็พอดีไก่โผล่ ไอ้ไก่ตัวนั้นน่ะ บอกว่า ฉันเองเจ้าค่ะ ต้องการให้มาที่นี่ บอก ยายนี่ฆ่าฉัน จับฉันเอาหัวฟาดกับเสา ฉันทนไม่ไหวถึงขั้นตาย
ทีนี้แกกล่าวไว้ตอนหนึ่ง บอก ตั้งแต่อายุ 19 ปีทำบุญอะไรก็ตาม จะบูชาพระ ก็อุทิศส่วนกุศลให้ไก่ ขออโหสิกรรม
ลุงท่านก็ถามว่าเขาทำอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้า ตั้งแต่ 19 ปีจนอายุ 53 ปีมันก็หลายปี เจ้าไม่ได้บอกรึ บอกได้รับ
ถามว่า ได้รับแล้วเอ็งยังจองเวรจองกรรมอยู่รึ บอกไม่ได้จองเวรจองกรรม เอ็งมาเป็นโจทย์ รู้สึกเสียงจะดุๆ หน่อยนะ ไก่ก็เลยบอกว่า ที่ต้องการให้มาเพื่อจะบอกว่าอโหสิกรรมให้แล้ว เจ้าค่ะ
โอ้โฮใจแป้ว มันจะไปขุมไหนกันหว่า นี่ขนาดนี้นะอย่าลืมว่าการทำบุญทำกุศล เจริญคำภาวนามันเป็นได้ตามนี้นะอย่าประมาทนะ
หลังจากนั้นลุงก็บอกเทวดาที่อยู่ที่ข้างหลัง มีเทวดา 5 องค์ องค์ คอยส่งคนท่านบอกว่า คนนี้บุญบารมีเขาเจริญพระกรรมฐานมีสมาธิทรงตัว บารมีของเขาต้องต้องอยู่ชั้นยามา เวลานี้วิมานอยู่ชั้นยามา ท่านก็บอก อีหนูเจ้าต้องอยู่ชั้นยามา
คิดว่าแกจะสลดใจ แกกลับยิ้มแฮะ ชั้นยามามันสบาย ฉันนึกว่าแย่ล่ะซิ ท่านบอกว่าวิมานอยู่ที่นั้น แต่ไม่ใช่ลุงสร้างให้นะ ทานของเขา ศีลของเขาบ้าง การเจริญภาวนา เลยไปอยู่ยามา ถ้าถึงอุปจารสมาธินะ ถ้าฝึกกสิณจริงๆก็พรหม
ก็รวมความว่าแกไปชั้นยามา ฉันก็เลยลามาหมดเรื่องขี้เกียจตามไป

รูปภาพ ท่านพระยายมราช วัดวีระโชติธรรมาราม

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โลกธรรม ๘ กฏธรรมดาของโลก มันจะเกิดขึ้นมาประเภทไหน ก็ช่างมัน ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

โลกธรรม ๘ กฏธรรมดาของโลก
มันจะเกิดขึ้นมาประเภทไหน ก็ช่างมัน
ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง


ที่มา: https://www.facebook.com/#!/BuddhaSattha

คนที่เกิดมาแล้วทุกคนที่จะไม่มีทุกข์ไม่มี ถ้าหากว่าเรายังยึดถือว่าร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่าเราเกาะ ที่เรียกว่าอุปาทาน 

โดยเฉพาะโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ คือ
มีลาภ-ดีใจ ลาภสลายตัวไป-เสียใจ
มียศ-ดีใจ ยศสลายตัวไป-เสียใจ
มีความสุขในกามสุข-ดีใจ ความสุขหมดไป-ร้อนใจ
ได้รับคำนินทา-เดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญ-มีสุข


นี่ก็ถือว่าเป็นอารมณ์ของอุปาทาน สร้างความทุกข์ สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นกับเรา 

ทำอย่างไรเราจึงจะพ้นทุกข์? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้พวกเราถือว่าใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า กฎนี้เป็นกฎธรรมดาของโลก ที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันไปได้ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา ก็ถือว่าช่างมัน ตามศัพท์ภาษาบาลีท่านเรียกว่าขันติ ความอดทน ถ้าใช้คำว่าอดทนมันเข้าใจยาก ใช้ภาษาธรรมดาดีกว่า ว่ามันจะเกิดขึ้นมาประเภทไหนก็ช่างมัน

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อานิสงส์ทำความสะอาดวัด โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

อานิสงส์ทำความสะอาดวัด 
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

หลวงพ่อ : ตัวอย่างก็คือน้องสาวของพระอนุรุทธ น้องสาวของท่านเป็นโรคเรื้อน เวลาพระพุทธเจ้าไปเทศน์เธอก็ไม่ออกมาเพราะอาย
ต่อมาวันหนึ่งพระอนุรุทธก็ไปถามว่า
“พระพุทธเจ้ามาทำไมจึงไม่ฟังเทศน์”
เธอตอบว่า “เธอเป็นสาว เป็นโรคเรื้อนก็อาย”
... พระอนุรุทธก็บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นหาเวลาทำบุญให้ทำแบบนี้เวลาที่พระไปบิณฑบาตก็จัดสถานที่
กวาดสถานที่ จัดน้ำใช้น้ำฉันให้พระ”
เธอก็ทำแบบนั้นทุกวัน ทำไป ๆ ไม่ช้าโรคเรื้อนมันก็หายไปทีละหน่อย ๆ เพราะทำด้วยจิตใจเคารพ
ต่อมาก็หายสามารถมาไหว้พระได้ มาฟังเทศน์ได้
ต่อมาเธอก็ตาย ตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
ไปเกิดระหว่างวิมานของเทวดา ๔ องค์ เธอสวยมาก เพราะอานิสงส์กวาดพื้นที่ จัดพื้นที่
เพราะฉะนั้นใครที่ถวายไม้กวาดจะสวยเหมือนกัน อันนี้เรื่องจริงนะ ไม้กวาดทำให้พื้นที่สะอาด อานิสงส์มาสนอง”
จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม 4 (เครดิตเว็บแดนนิพพาน)
อานิสงส์ของการกวาดลานวัด
คนโบราณเขาเชื่อถือกันมาว่า ผู้ที่มีโรคผิวหนังพุพองหรือโรคเรื้อน ถ้าได้มาเก็บขยะเก็บใบไม้ที่ล่วงหล่นปัดกวาดลาดวัดให้สวยงามสอาดตาแล้วนั้น เชื่อกันว่าจะทำให้ผิวพรรณวรรณะงดงามและทำให้โรคร้ายหายไปได้ การกวาดวัดนี้มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่างคือ
๑. บุคคลเห็นเข้าก็เลื่อมใส
๒. เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใส
๓. จิตของผู้กวาดตั้งสมาธิได้เร็ว
๔. ผิวพรรณวรรณผ่องใส
๕. เมื่อตายดับสังขารจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปบังเกิดในภพภูมิสวรรค์
เป็นสิ่งที่เล่าขานกันมา ว่าบางคนเป็นโรคผิวหนังอันเกิดจากกรรมเก่า
ได้รับคำแนะนำให้ทำความสะอาดส้วมในวัดติดต่อกันเป็นเดือนๆ
หากทำด้วยจิตที่ผ่องใสและปลาบปลื้มใจเต็มกำลัง บุญใหม่ก็อาจมีกำลังมากพอจะละลายบาปเก่าให้เบาบางลงได้
กรรมวิบากเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องนำทั้งกายและจิตมาอธิบายควบคู่กันไป ขอให้คิดว่า การนำสิ่งสกปรกออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ก็คือการนำเอาความสะอาดอันศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่จิตใจ
แม้ไม่สามารถอธิบายตามหลักทางวิทยาศาสตร์ว่าความปลาบปลื้มที่ได้ทำความสะอาดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ไปกระตุ้นให้สารชนิดไหนหลั่งออกมา แต่คุณก็จะรู้สึกว่าสมเหตุสมผล เมื่อเห็นว่าจิตตัวเองสะอาดขึ้น
การขันอาสาเข้าไปล้างส้วมวัดด้วยความเต็มใจของตนเองนั้น ยังมีอานิสงส์อีกมาก เช่นทำให้เป็นผู้มีความคิดดี จิตใจห่างไกลจากความคิดสกปรกน่ารำคาญใจ เมื่อจะทำทานก็สามารถทำได้ด้วยใจบริสุทธิ์ ตลอดจนกระทั่งเป็นผู้มีกำลัง สามารถรักษาศีลได้ง่าย สรุปคือถ้าคิดเสียสละแรงกายแรงใจไปทำความสะอาดวัด คุณจะเป็นผู้มีกำลังในการทำทานและรักษาศีลให้เกิดผลยิ่งใหญ่ไพบูลย์ อาจเหมาะสำหรับคนที่รู้สึกว่ากายหรือจิตของตนเองสกปรกด้วยบาปเก่า ต้องการเครื่องทุ่นแรงในการละลายบาปสกปรกเก่าๆออกไปครับ

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

ฝันกลางวันที่เยอรมัน( ผีอิตเลอร์พาไปดูอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดของโลกในเยอรมัน) โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จากหนังสือบันทึกของชาโดว์ รวมเล่ม 3-4 หน้า 5-7


ฝันกลางวันที่เยอรมัน( ผีอิตเลอร์พาไปดูอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดของโลกในเยอรมัน)
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือบันทึกของชาโดว์ รวมเล่ม 3-4 หน้า 5-7

ฝันกลางวันที่เยอรมันตะวันตก
เสาร์ 25 มิถุนายน 2531 หลังจากเช้าแล้วออกเดินทางจากลูเซิร์น โดยผ่านน้ำตกไรน์
ข้าพเจ้านั่งง่วงนอนมากแบบฝืนตัวเองไม่อยู่เหมือนถูกบังคับ
คุณทนงพูดอะไรไม่รู้เรื่องจับใจความไม่ได้รู้แต่ว่ารถแล่นเข้าถ้ำบ่อย
เขาสร้างทางลัดไม่ต้องอ้อมเขา นั่งครึ่งหลับครึ่งตื่นกำลังงีบอยู่ ตกใจใครนะตัวใหญ่ยืนข้างหน้า
ลืมตาดูเห็นว่ารถกำลังแล่นในอยู่ในอุโมงค์ที่ไหนไม่รู้ ผีคงมีเรื่องอยากให้ทราบล่ะมั้ง จึงหลับตาทำสมาธิมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลัง คือแค่อุปจารสมาธิ เห็นผีกราบหลวงพ่อท่านซึ่งนั่งเก้าอี้ข้างหน้าของข้าพเจ้า มีคุณโชติวุฒิกับผู้การสถาพรนั่งคั่นที่นั่งเดียว ถามท่านว่าเป็นใคร ท่านบอกว่าเป็นฮิตเลอร์
ท่านบอกว่าเวลานี้เยอรมัน มีอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงและทันสมัยที่สุดในโลก ไม่ใช่รัสเซียหรืออเมริกา นึกแผ่ส่วนบุญที่ทำมาแล้วในอดีตชาติปัจจุบันและจะทำอีกจนกว่าจะถึงพระนิพพานให้ท่านโมทนา คุยกับท่านแบบเอาใจ(อทิสสมานกาย)ถามเองตอบเอง แต่ท่านยังอยู่ข้างหน้า ท่านพาไปดูอาวุธ
ทีนี้ก็เหมือนฝันกลางวันยังรู้ตัวว่าในรถเราทำอะไรกันบ้าง แต่ไม่สนใจเท่านั้นเอง โดยอาวุธอยู่ใต้ดินใกล้ภูเขาแบบซอกเขา เพราะมันไม่ใช่เขาลูกเดียว ฝาปิดเปิดแบบอะไรดีเรียกไม่ถูก ลองเอามือ สองข้าง กางนิ้วออกแล้วเอานิ้วสอดเข้าชนกันสลับนิ้วหนีบนิ้วสองมือก็จะติดแน่น เวลาที่จะเปิดก็เลื่อนนิ้วออกจากกันแนวตรงนะ ไม่ใช่กระดกขึ้น อาวุธที่อยู่ในนั้นลอยขึ้นมา แต่ละอย่างไม่ใหญ่อย่างที่เราเคยเห็น
ตอนนั้นรู้ว่ามีอะไรจำนวนเท่าไรด้วย แต่ตอนนี้ลืมหมดแล้วเพราะเป็นความลับของเขาและคิดว่าเราไม่รู้จริงจึงไม่จดไว้ ข้าพเจ้ายังถามฮิตเลอร์ว่า หนุ่มเยอรมันที่ขับเครื่องบินเล็กไปจอดที่จัตุรัสแดง ในกรุงมอสโคว์โดยเรดาร์จับไม่ได้ ไปเอาแร่ที่ดาว......นั่นใช่ไม๊ ท่านตอบว่าใช่ หลวงพ่อท่านเคยเขียนในหนังสือ จุไรท่องเที่ยวดวงดาวต่างๆ ท่านเขียนบอกว่า สงสัย คือไม่พูดตรงๆเกรงคนจะบาป ข้าพเจ้าเชื่อว่าจริงแต่ไม่แน่ใจ วันนั้นฮิตเลอร์ว่าจริง ท่านจึงพาไปดูอาวุธลับ 2-3 อย่างเท่านั้น ไม่เห็นมีกระบอกปืน มีแต่ปุ่มๆกดเอา มีคนนั่งได้อย่างมาก 2 คนเช่นจานบิน บางอย่างไม่มีที่นั่งยังกับของเด็กเล่น แต่สะอาดมันเป็นวับเลย
ถามท่านว่าทำไมไม่มีกระบอกปืน แบบที่เราเคยเห็นทั่วไป ท่านบอกว่าเขาใช้แสงเอา ตอนที่ลงทานอาหารกลางวัน หลวงพ่อท่านคุยกับผู้การสถาพร กับคุณโชติวุฒิ ว่าท่านก็ง่วงนอนมาก ระหว่างที่นั่งรถ ฮิตเลอร์กับสตาร์ลินก็มาคุยกับท่านด้วยว่าอะไรบ้างข้าพเจ้าไม่ได้ฟังเพราะพอลงจากรถได้ก็รีบๆ เดินหาซื้อมีดตราตุ๊กตาคู่ รู้มาตั้งแต่เด็กว่ามีดของเยอรมัน คมดีมาก เข้าร้านนั้นออกร้านนี้พี่ชอด้วย มีขายไม่กี่อันตั้งใจจะซื้อ หลายๆอันฝากแม่บ้าน ทั้งหลาย ไม่ได้ ขนาดเข้าไปนั่งโต๊ะอาหาร ยังรีบๆกินแล้วออกไปหาใหม่
ร้านอาหารเมืองนอกถ้าไม่นั่งโต๊ะเขาไม่เสิร์ฟซะด้วย ดีที่ว่าร้านติดๆ ที่กินข้าว มีมีดขายรีบบอกกล่าวกัน ต้องแลกเงินเยอรมันอีกวุ่นวายน่าดูเหมือนกัน ผู้หญิงดูท่าจะซื้อกันทุกคน มีดที่วางไว้ในตู้หมดเลย เศรษฐีไทยเหมาเกลี้ยง มีด กรรไกร เป็นของกุลสตรีไทยมิใช่หรือ จะได้ช๊อปปีงที่เยอรมันก็ตรงระหว่างทางนั้น แห่งเดียว ร้านมีอยู่ 5-6 ร้าน เท่านั้น จ้ำเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ ข้าพเจ้าได้รถเบนซ์ สองคัน เป็นแบบนั่งธรรมดากับแบบสปอร์ตของวัยรุ่นเอาไว้คุยเล่นโก้ๆ ว่าไปเยอรมันทีเดียวซื้อเบนซ์ สองคันเลย ( เราก็อย่าบอกเขาว่ารถใส่ตู้โชว์) วันนั้นนั่งรถระยะยาวอาหารเย็นระหว่างทาง ถึงแฟรงค์เฟิร์ตค่ำแล้ว เข้าที่พักอยู่นั่นคืนเดียว กว่าจะนอนได้ก็ดึกแล้ว รื้อกระเป๋า จัดกระเป๋า ทุกวันชำนาญแน่ทัวร์ครั้งนี้
พวก ยุโรป เขาพิถีพิถันกันในเรื่องแต่งกาย ไม่เหมือนไปอเมริกา เราจึงต้องหล่อไว้บ้างไม่ให้ขายหน้าชาติไทย
คืนนั้น ก่อนนอนสวดมนต์ แบบย่อๆ หน่อย เอาบทไหนดี กันหลอกผี สงสัยผีมีเยอะโรงแรมเก่า ๆแบบนี้ เยอรมันนี่ตอนสงครามโลกตายกันมาก ผู้มีบุญคงไม่ค่อยมานอนต้องกันไว้ก่อนดีๆ หนักเข้าพุทโธ ดีกว่าง่ายดี ทำสมาธิขั้นถึงที่สุดแล้วแผ่ส่วนบุญให้หมดเลยมีมากจริงๆ อย่ามากวนให้นอนไม่หลับนะท่าน ไม่งั้นเอาคืนด้วย ขอให้เจ้าที่ช่วยหลับให้สนิทๆ ด้วย แถมด้วยคาถา ภะสัมสัมวิสะเทภะ ขับไล่ด้วย ต่อด้วยบทเมตตาอีกเผื่อเราไม่แข็งจริง
คาถาที่หลวงปู่ปานใช้เป็นประจำคือ พระอะระหังสุคโต ภะคะวา นะเมตตาจิต หลวงพ่อท่านบอก คืนนั้น หลับสนิทไม่ฝันด้วย ตื่นตามเวลาคือตีห้ากว่า ๆ พอดีกันที่ตั้งใจไว้ก่อนหลับ เข้าห้องน้ำล้างหน้าแต่งตัวจัดกระเป๋า แล้วเข็นออกไปไว้หน้าห้อง ลงไปทานอาหารเช้าตามเวลานัด หลวงพ่อท่านและพระติดตามไปฉัน ที่ห้องอาหาร ของโรงแรมทุกเช้าเหมือนกัน ที่นั่งเป็นชุดๆจำกัด ผู้หญิงจึงไม่เหมาะจะเข้าไปใกล้ จึงไม่ค่อยได้ยินว่าหลวงพ่อท่านคุยอะไรบ้างเรื่องในอดีตชาติ
ท่านเคยพูดก่อนเดินทางว่า ท่านไปยุโรปจะฝื้นอดีต ข้าพเจ้ากับพี่ชอคิดกันว่า ท่านคงหมายถึงไปโปรด พวกบริวารเก่าที่เคยเกิดร่วมกันในอดีตชาติที่ยังตกค้างอยู่ เพราะชาตินี้ท่านลาพุทธภูมิแล้ว ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูกนะ
เช้านั้นท่านฉันสร็จไปนั่งที่เก้าอี้หมู่ คอยเวลารถไปรับที่ห้องรับแขก ของโรงแรม ข้าพเจ้าเดินย่อตัวผ่านท่านจะไปดูของขายเผื่อจะมีถูกใจบ้าง ท่านเรียกเข้าไปหาถามว่าเมื่อคืนฝันว่าไงบ้าง ฝันของท่านหมายความถึงเห็นผี เห็นเทวดา ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนท่านว่า เมื่อคืนไม่ฝันเจ้าค่ะ หลับสนิท ฝันตอนกลางวันเมื่อวานนี้

ท่านให้เล่าให้ฟัง จึงเรียนท่านว่า ฮิตเลอร์พาไปดูอาวุธลับ มีอะไรบ้าง พูดหมด ถามท่านด้วยความสงสัยว่า รถถังของเขาคันไม่ใหญ่แล่นบนดิน ปีนเขาได้ ลอยได้ด้วย ท่านว่าใช่ แล้ว ลอบยด้สูง ร้อยเมตร ท่านว่าเห็นถูกต้อง สงสัยที่ข้าพเจ้าไปกับฮิตเลอร์ ท่านก็คงไปด้วยเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นท่าน ท่านเห็นเรา สรุปเห็นตรงกันแสดงว่า ฝันกลางวันเป็นความจริง แต่ไม่ควรพูดเปิดเผยเป็นความลับของเขา จากที่สงสัยว่าปืนเขาไม่เป็นกระบอก ไม่มีกระสุนนั้นอีกเกือบปี ข้าพเจ้าดูทีวีเห็นข่าวอเมริกาทดลองยิงเครื่องบิน เร็วกว่าเสียงด้วยแสง อะไรไม่รู้ลืม เห็นกดปุ่มเป็นควันแล่นออกไปเร็วมาก เป็นสายบนท้องฟ้า อ้อ แบบนี้เองเยอรมันเขามีเก็บซ่อนไว้ตั้งนานแล้ว ฮิตเลอร์ว่าเยอรมันมีอาวุธเก่งที่สุดในโลกเป็นจริงอีก

วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

คนกับมนุษย์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

คนกับมนุษย์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ความจริงคนกับมนุษย์นี่ไม่เหมือนกัน
รูปร่างอย่างเดียวกัน แต่ว่าความรู้สึกของจิตใจไม่เท่ากัน

"คน" นี่แปลว่า "ยุ่ง" คือ ไม่ยอมรับนับถือใครจริงๆ
ไม่ยอมปฏิบัติในด้านของความดีจริงจัง
อย่างที่จะรักษาศีล ก็รักษาไม่จริง
ทำเป็นศีลหัวเต่าผลุบเข้าผลุบออก รักษาบ้าง ไม่รักษาบ้าง
สิกขาบทแค่ ๕ ประการ ก็ถือว่าอย่างนั้นจำเป็น
อย่างนี้จำเป็นแก่สังคม ถ้าปฏิบัติตามศีลก็ขาดสังคม
คนในสังคมนั้นไม่คบหาสมาคม อย่างนี้ เข้าเรียกว่า "คน"

สำหรับ "มนุษย์" แปลว่า "ใจสูง"
คนนี่แปลว่ายุ่ง ถ้าปฏิบัติในศีลในธรรมไม่ได้ ก็มีแต่ยุ่ง
สำหรับมนุษย์ แปลว่าใจสูง
คนที่มีใจสูงคือมีกรรมบท ๑๐ ประการครบถ้วน
คือ "มีทั้งศีลทั้งธรรมครบถ้วน ทางกายไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์
ไม่ประพฤติผิดในกาม ทางวาจาไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด
และไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดจาเหลวไหลไร้ประโยชน์
ทางใจไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของคนอื่นใด
ไม่คิดจองล้างจองผลาญใคร มีความเห็นตรงตามความจริง
ยอมรับนับถือความจริง
ที่เป็นเหตุบันดาลให้มีความสุขอารมณ์อย่างนี้ท่านเรียกว่ามนุษย์"
ขอประทานอภัยเถอะบรรดาท่านพุทธบริษัท
ที่ท่านทั้งหลายกำลังฟังอยู่นี่
ท่านลองวัดกำลังใจของท่านดูซิว่า
เวลานี้นะท่านเป็นมนุษย์หรือว่าท่านเป็นคน
หากว่าท่านเป็นคน ก็รู้สึกว่าความสุขของท่านยังน้อยเกินไป
เมื่อกำลังใจของท่านเป็นมนุษย์
ความสุขของท่านจะมีมากมายเหลือเกิน
เกือบจะหาอารมณ์ของความทุกข์ไม่ได้

คัดลอกจาก.....หนังสือแนะวิธีหนีนรกแบบง่ายๆ

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร


ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร
พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือที่ประชาชนชาวไทยรู้จักดี ในนาม “หลวงพ่อทองคำ”  นั้น มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจคือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘  ได้มีการเชิญพระระพุทธรูปปูนปั้นองค์หนึ่งจาก วัดพระยาไกรมาประดิษฐานอยู่ ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม  จนกระทั่งอีก ๒๐ ปีต่อมา ในปีพ.ศ. ๒๔๙๘  เมื่อทางวัดเคลื่อนย้ายองค์พระจากศาลาหลังคาจากชั่วคราวขึ้นไปประดิษฐานในอาคารหลังเล็กข้างพระอุโบสถปูนที่หุ้มองค์ พระไว้กะเทาะหลุดออกจึงปรากฏว่า แท้จริงแล้วองค์พระพุทธรูปปูนปั้นเป็นศิลปะสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย หล่อด้วยทองคำเนื้อเจ็ดน้ำสองขา น้ำหนักประมาณ ๕.๕ ตัน  ประชาชนชาวไทยและชาวจีนในขณะนั้นถือเป็นเหตุมหัศจรรย์ พ้องกับการเริ่มต้นรัชสมัยภายหลังพระราชพิธี บรมราชาภิเษกไม่นานนัก
ในปีพ.ศ. ๒๔๙๙  สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมีพระราชศรัทธาเสด็จพระราชดำเนิน  พร้อม ด้วย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อทรงนมัสการและทรง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ยอดพระเกตุมาลา  ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานนามว่า พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.  ๒๕๓๕ ซึงรัฐบาลและ ประชาชนถือว่าเป็นพระพุทธรูปสำคัญของชาติคู่บ้านคู่เมืองอีกองค์หนึ่ง โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีนถือเป็น นิมิตหมายพ้องกับการที่วัดไตรมิตรวิทยาราม ตั้งอยู่ที่หัวถนนเยาวราช ซึ่งเป็นแหล่งค้าทองคำที่ใหญ่ที่สุดใน ประเทศ และต่อมาหนังสือกินเนส บุค เวิร์ล ออฟ เรคคอร์ด ฉบับค.ศ. ๑๙๙๑ หน้า ๒๒  ยังได้บันทึกไว้ด้วยว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ที่สุดในโลก
โอกาสเดียวกันนี้ วัดได้ดำเนินการจัดสร้างระฆังจำนวน ๒ ใบ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว  และถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนแรกเริ่มในการจัดสร้าง  อีกทั้งยังทรงเจิมแผ่นทอง นาค เงิน เพื่อร่วมในพิธีเททองหล่อจัดสร้างระฆังนี้ด้วย ระฆังที่จัดสร้างขึ้นนี้เป็นระฆังตามแบบ ศิลปะสมัยอยุธยา ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นยุคสมัยที่สร้างระฆังได้สวยงามที่สุดยุคหนึ่ง ประดิษฐานไว้ที่บริเวณชั้นที่ ๔ ในศาลารายด้านหน้าของพระมหามณฑป 
และในโอกาสมหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ รัฐบาลได้ร่วมกับวัดไตรมิตรวิทยาราม สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตลอดจน ผู้มีจิตศรัทธาดำเนินโครงการจัดสร้างพระมหามณฑปประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรใหม่ให้สง่างาม แทนอาคารประดิษฐานเดิม  โดยมีพลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ สาขาสถาปัตยกรรมไทย และอดีตอธิบดีกรมศิลปาก เป็นผู้ออกแบบพระมหามณฑป ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยควบคู่กับพุทธสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดยแบ่งเป็น 4 ชั้น ได้แก่ ชั้น 1 เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ชั้นที่ 2 จัดนิทรรศการศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช ชั้นที่ 3 จัดนิทรรศการพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร และ ชั้นที่ 4 คือที่ประดิษฐานองค์พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  ซึ่งปัจจุบันการก่อสร้างได้ดำเนินการแล้วเสร็จสวยงาม
เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๑  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสุหร่าย ทรงเจิม และทรงปิดทอง ยอดฉัตรของพระมหามณฑป ณ วังไกลกังวล  หลังจากนั้นได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ยอดพระมหามณฑปแห่ง   นี้  และเมื่อการก่อสร้างพระมหามณฑปแล้วเสร็จ ซึ่งใช้ระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น ๒๒ เดือน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พร้อมด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ไปทรงสวมพระเกตุมาลาพระพุทธมหา สุวรรณปฏิมากร ในพิธีสมโภชพระมหามณฑป เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม  ๒๕๕๒

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงยกฉัตรขึ้นประดิษฐานถวายพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร วัดไตรมิตรวิทยาราม

วันนี้ (๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕) เวลา ๑๗.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระราชทานฉัตรเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์  พระบรมราชินีนาถ  เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ เพื่อทรงยกฉัตรขึ้นประดิษฐานถวายพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร โดยมีคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อการบริหารจัดการพระมหามณฑปประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  คณะกรรมการบริหารกองทุน คณะกรรมการจัดงาน และพสกนิกรทุกหมู่เหล่าเฝ้ารับเสด็จ
ร้อยตำรวจตรี เกรียงศักดิ์ โลหะชาละ ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อการบริหารจัดการพระมหามณฑปประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร เปิดเผยว่า  เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ  ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔  และในโอกาสมหามงคลที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ นี้  วัดไตรมิตรวิทยารามได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานฉัตรเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร (หลวงพ่อทองคำ) พร้อมกับขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างเหรียญที่ระลึก เนื่องในโอกาสพิธียกฉัตรในครั้งนี้ด้วย
สำหรับฉัตรพระราชทานองค์นี้ เป็นฉัตร ๕ ชั้น มีความสูงจากกำพูถึงยอดฉัตร ๓ เมตร ๓๑ เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางระบายฉัตร ๒ เมตร ถือเป็นฉัตรเหนือพระพุทธปฏิมาที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ  เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสทวิมหามงคล และเพื่อความเป็นสิริมงคล  เจริญรุ่งเรืองในหมู่ประชาชนชาวไทย
ภายหลังสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงประกอบพิธียกฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  ทรงพระราชทานพระราชานุญาตให้คณะกรรมการและผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินในการทำนุบำรุงพระมหามณฑปเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทรับพระราชทานของที่ระลึก  ต่อจากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ  เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร และศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช ในชั้นที่ ๓  และชั้นที่ ๒ ต่อไป
——————————————————
ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร

พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือที่ประชาชนชาวไทยรู้จักดี ในนาม “หลวงพ่อทองคำ”  นั้น มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจคือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘  ได้มีการเชิญพระระพุทธรูปปูนปั้นองค์หนึ่งจาก วัดพระยาไกรมาประดิษฐานอยู่ ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม  จนกระทั่งอีก ๒๐ ปีต่อมา ในปีพ.ศ. ๒๔๙๘  เมื่อทางวัดเคลื่อนย้ายองค์พระจากศาลาหลังคาจากชั่วคราวขึ้นไปประดิษฐานในอาคารหลังเล็กข้างพระอุโบสถปูนที่หุ้มองค์ พระไว้กะเทาะหลุดออกจึงปรากฏว่า แท้จริงแล้วองค์พระพุทธรูปปูนปั้นเป็นศิลปะสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย หล่อด้วยทองคำเนื้อเจ็ดน้ำสองขา น้ำหนักประมาณ ๕.๕ ตัน  ประชาชนชาวไทยและชาวจีนในขณะนั้นถือเป็นเหตุมหัศจรรย์ พ้องกับการเริ่มต้นรัชสมัยภายหลังพระราชพิธี บรมราชาภิเษกไม่นานนัก
ในปีพ.ศ. ๒๔๙๙  สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมีพระราชศรัทธาเสด็จพระราชดำเนิน  พร้อม ด้วย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อทรงนมัสการและทรง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ยอดพระเกตุมาลา  ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานนามว่า พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.  ๒๕๓๕ ซึงรัฐบาลและ ประชาชนถือว่าเป็นพระพุทธรูปสำคัญของชาติคู่บ้านคู่เมืองอีกองค์หนึ่ง โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีนถือเป็น นิมิตหมายพ้องกับการที่วัดไตรมิตรวิทยาราม ตั้งอยู่ที่หัวถนนเยาวราช ซึ่งเป็นแหล่งค้าทองคำที่ใหญ่ที่สุดใน ประเทศ และต่อมาหนังสือกินเนส บุค เวิร์ล ออฟ เรคคอร์ด ฉบับค.ศ. ๑๙๙๑ หน้า ๒๒  ยังได้บันทึกไว้ด้วยว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ที่สุดในโลก
โอกาสเดียวกันนี้ วัดได้ดำเนินการจัดสร้างระฆังจำนวน ๒ ใบ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว  และถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนแรกเริ่มในการจัดสร้าง  อีกทั้งยังทรงเจิมแผ่นทอง นาค เงิน เพื่อร่วมในพิธีเททองหล่อจัดสร้างระฆังนี้ด้วย ระฆังที่จัดสร้างขึ้นนี้เป็นระฆังตามแบบ ศิลปะสมัยอยุธยา ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นยุคสมัยที่สร้างระฆังได้สวยงามที่สุดยุคหนึ่ง ประดิษฐานไว้ที่บริเวณชั้นที่ ๔ ในศาลารายด้านหน้าของพระมหามณฑป 
และในโอกาสมหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ รัฐบาลได้ร่วมกับวัดไตรมิตรวิทยาราม สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตลอดจน ผู้มีจิตศรัทธาดำเนินโครงการจัดสร้างพระมหามณฑปประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรใหม่ให้สง่างาม แทนอาคารประดิษฐานเดิม  โดยมีพลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ สาขาสถาปัตยกรรมไทย และอดีตอธิบดีกรมศิลปาก เป็นผู้ออกแบบพระมหามณฑป ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยควบคู่กับพุทธสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดยแบ่งเป็น 4 ชั้น ได้แก่ ชั้น 1 เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ชั้นที่ 2 จัดนิทรรศการศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช ชั้นที่ 3 จัดนิทรรศการพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร และ ชั้นที่ 4 คือที่ประดิษฐานองค์พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร  ซึ่งปัจจุบันการก่อสร้างได้ดำเนินการแล้วเสร็จสวยงาม
เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๑  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสุหร่าย ทรงเจิม และทรงปิดทอง ยอดฉัตรของพระมหามณฑป ณ วังไกลกังวล  หลังจากนั้นได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ยอดพระมหามณฑปแห่ง   นี้  และเมื่อการก่อสร้างพระมหามณฑปแล้วเสร็จ ซึ่งใช้ระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น ๒๒ เดือน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พร้อมด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ไปทรงสวมพระเกตุมาลาพระพุทธมหา สุวรรณปฏิมากร ในพิธีสมโภชพระมหามณฑป เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม  ๒๕๕๒