วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง "พระเยซู" หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ สนทนาธรรมกับ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง "พระเยซู"

หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓
สนทนาธรรมกับ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

"ฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง พระเยซู ประมาณเมื่อ ๑๐ ปี เกือบ ๒๐ ปีแล้ว ได้ไปที่บางนกแขวกที่วัดคริสต์นั่นนะ คือว่าบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ แล้วก็ชอบๆกัน เพราะสมัยนั้นฉันเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ไอ้ที่เรียนคริสต์ ไม่ใช่ไปเรียนมี่โรงเรียน แต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุลีจีน เขามาคุยแลกเปลี่ยน แต่ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกันนะ ต่อไปก็ไปที่โน่นไปเยี่ยมเขา คุยไปคุยมาเขาถามว่า ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ไหน บอกว่า รู้
ถามว่า เคยคุยไหม ก็บอกฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน ก็ถามเขาว่า แล้วพระเจ้าของแกอยู่ที่ไหน เขาบอก ไม่รู้ ถามว่า เคยเห็นไหม บอก ไม่เคยเห็น เลยบอกว่า แหม?ไอ้คนโง่ๆ ประเภทนี้ก็มีด้วย ก็คุยสนุกๆก็บอก ไอ้นั่งอยู่ที่นี่ ๕-๖ คน มันโง่ทั้งนั้น นับถือส่งเดชไม่มีหลักฐาน เขาบอกมีคำสอน ใครสอนก็ไม่รู้ บอกต้องหาตัวคนสอนให้ได้ ก็คุยสนุกสนานไป เขาเลยถามว่าท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ บอกว่า ไม่เคยสนใจ แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป
แล้วต่อมาก็กลับมาที่พัก ธรรมดาของพระ พระก่อนจะนอนก็ทำงานของพระก่อน ทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่งั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดเลยพอโผล่พลุ้บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่องระหว่างพระจุฬามณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไปเดินป๋อที ่นั่น พอขึ้นไปเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางมา เดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า พระเยซูใช่ไหม?? ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์มันจะบอกชัด จะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็บอกใช่ครับ ถามว่า ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ละ บนสวรรค์เขาแต่งตัวอย่างนี้เรอะ ท่านบอกว่า เอ้า?ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้จะสงสัย
ถ้ายังงั้นสภาพความจริงของท่านเป็นยังไง ท่านก็ทำให้ดูภาพนั้นก็หายไป กลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวแพล้บเรียกว่าจับตาเลย เป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ ถามว่า อยู่ที่ไหน บอกว่า อยู่ชั้นดุสิตพอบอกอยู่ชั้นดุสิตเราตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แหงๆ เขาไม่ใช่ต่ำนะ ก็คุยไปคุยมาบอกว่าคำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ ถามว่า ผิดยังไง ก็บอกว่า ไอ้ล้างบาป ถ่ายบาป ซื้อบาป จำนำบาปนั่นนะ ไอ้คนที่มันทำความชั่วแล้ว มันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผลนี่ เราจะเอาเงินไปแลกเนื้อใครเขาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ ท่านบอกว่าความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ความจริงที่ผมสอนนั้น สอนให้สารภาพบาป แบบกับพระแสดงอาบัตินะ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป นี่คำสอนเขาแบบนี้นะ นี่ตอนหลังเขามาเซ็งลี้กัน พอล้างบาป สารภาพบาป พอจ่ายสตางค์แล้วบาปหายเลยบาปทั้งสองคน ไอ้คนก่อนก็ไม่หมดบาปเพราะโกหกโกงสตางค์เขาอีกด้วย ก็เลยเข้าใจ
พอกลับมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูนี่เป็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิตต้องมีบารมีเข้มแข็ งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นนี้เข้าได้ ๓ พวก คือพุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว แล้วก็พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะอยู่ชั้นนี้ได้ สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ว่าใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมมาอยู่ชั้นดุสิตได้ เขาต้องเป็นพระโพธิสัตว์ มาดูอารมณ์ของท่านตอนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่าไม้กางเขนนะ คือไม้กางแขน สระแอหายไป เหลือสระเอ มันลด คือกางแขนถูกตะปูตอก ถ้าจิตไม่ดีพอเขาจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่าถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ นั่นเขาถูกเจ็บขนาดนั้น เขายังไม่โกรธ คุณลองคิดดูให้ดี ไม่ใช่เรื่องเล็กนะเขาใหญ่มาก ใช่ไหม?
ไอ้จิตเศร้าหมองนิดเดียว ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยก็ต้องลงนรกหน่อย อย่างพระนางมัลลิกาเทวี นั่นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษแกไม่มี ถ้าจิตไม่เศร้าหมองก็ไม่ลง แต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วันในมนุษย์ต้องคิด ถ้า ๗ วันแรกนรกก็ซวยเลย"

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
จากหนังสือธรรมปฏิบัติ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม ๑๗

ในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาประทับสำราญอิริยาบถ
ท่านโกมารภัจจ์ได้ยินข่าวว่า เมืองทวาราวดี เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง
มีขนบธรรมเนียมประเพณีดี มีภาษาพูดเพราะ ก็อยากจะไปเที่ยว
เมืองทวาราวดีคือเขตไทยทางด้านนครปฐม แต่ว่าทวาราวดีเวลานั้น
ก็กินเขตแดนเกือบทั้งหมดของเมืองไทยนี่เอง

เวลานั้นเขาไม่เรียกเมืองไทย เขาเรียกตามชื่อเมืองว่า เมืองทวาราวดี
ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ทูลลาองค์สมเด็จพระชินสีห์
ไปเที่ยวที่เมืองทวาราวดีอยู่เกือบ ๒ ปี ตอนนั้นท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว
คือว่าการเป็นพระโสดาบันนี่เป็นไม่ยาก คือ

๑. นึกถึงความตายเป็นอารมณ์
๒. เคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์
๓. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
๔. จิตใจต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์

พระโสดาบันเขาเป็นกันแค่นี้นะ ทุกคนก็เป็นได้

เมื่อมาถึงทวาราวดี อยู่ประมาณเกือบ ๒ ปี ท่านก็กลับ กลับแล้วก็ไปเฝ้า
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าชาวเมืองทวาราวดีนี่มีภาษาพูดที่เพราะมาก
เป็นภาษาโดด คือพูดเป็นคำๆ อย่างคำว่าไปก็ไป กินก็กิน
อย่างเวลานั้นภาษาแขกหรือชาวมคธ คำว่า “ไป” เขาก็พูดว่า “คันตวา” มันเป็นคู่

“กิน” เขาก็พูดว่า“ภุญชติ” ภุญชติล่อไป ๓ คำ กลั้วกัน คันตวาล่อไป ๓ คำ
ของเราไป ของเรากิน มันเป็นคำโดด
พอกราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าภาษาทวาราวดีเขาพูดเพราะ พูดช้าๆ ฟังสบายๆ

และก็เป็นภาษาโดด พระพุทธเจ้าจึงถามว่า ทวารวดีเขาพูดกันอย่างไร ลองพูดให้ฟังซิ

ท่านโกมารภัจจ์ก็พูดให้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี
คุยกับท่านโกมารภัจจ์อยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าสนุกสนานมาก ท่านโกมารภัจจ์ก็สนุก
ทว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะสนุกหรือไม่สนุกก็ไม่ทราบ
แต่เวลาคุยกับท่านโกมารภัจจ์ท่านคุยเป็นกันเอง คงจะสนุกเป็นพิเศษ

คุยกันไปคุยกันมา ท่านโกมารภัจจ์นึกขึ้นมาได้ว่า สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดานี้

เป็นลูกชาวกรุงกบิลพัสด์ อยู่อินเดีย ที่พูดภาษาทวาราวดีนี่ได้เพราะอาศัยปฏิสัมภิทาญาณ
หรือความรู้เดิมกันแน่ แล้วความจริงปฏิสัมภิทาญาณนี่เขารู้ภาษาทุกภาษา แม้แต่ภาษาสัตว์ทุกประเภท
จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า

ที่พระองค์ตรัสภาษาทวาราวดีนี่ รู้มาเองหรือว่ารู้ด้วยอำนาจปฏิสัมภิทาญาณ
หรือว่ารู้ด้วยการพูดได้เป็นภาษาเดิม หรือเรียนมาจากไหน

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ตรัสว่า โกมารภัจจ์ ภาษาทวาราวดีนี่
เป็นภาษาเดียวกับชาวกรุงกบิลพัสด์ใช้เป็นภาษาพื้นเมือง
ฉะนั้นท่านโกมารภัจจ์ก็ทูลถามว่า ถ้าเช่นนั้น ชาวกรุงกบิลพัสด์
ก็เป็นเชื้อสายเดียวกับทวาราวดีใช่ใหม
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ตรัสว่าใช่ คือชาวกรุงกบิลพัสด์ก็ดี
ชาวกรุงทวาราวดีก็ดี เป็นเชื้อสายเดียวกัน คือพูดภาษาไทยเหมือนกัน
นี่ขอบรรดาท่านทั้งหลายได้โปรดทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านความจริงเป็นคนไทย เขาเรียกว่าไทยอาหม

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ถูกหวย 9 ล้านบาท เขาทำบุญอย่างไร? โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง

ถูกหวย 9 ล้านบาท เขาทำบุญอย่างไร?
โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง

ผู้ถาม : พอดีพูดถึงเรื่องถูกหวยไป เมื่อเดือนที่แล้วมีคนถูกถึง 9 ล้านบาท ลูกหลานถามมาว่า ทำบุญอะไรนะ ถูกตั้ง 9 ล้านบาท ทำบุญกับหลวงพ่อเยอะแยะไม่ถูกสักล้าน
หลวงพ่อ : ก็ทำไม่ถึง 9 ล้านนี่
ผู้ถาม : โอ้โฮ ! ยังงั้นต้องเริ่มตั้งต้นใหม่แล้ว
หลวงพ่อ : นั่นหมายถึงชาติก่อนของเขา การถูกหวยรวยโป อ้อ รวยโปไม่เกี่ยวนะ การพนันทุกอย่างไม่เป็น ยอมรับว่าโง่ การพนันกับน้ำเมา 2 อย่างนี่โง่แน่ โง่ 100 เปอร์เซ็นต์
ผู้ถาม : แล้วก็เรื่องผู้หญิงก็โง่หรือเปล่าครับ ?
หลวงพ่อ : เรื่องผู้หญิงก็โง่ เวลานี้ไม่รู้เรื่องเลย
ผู้ถาม : แหม…….หลวงพ่อเข้าใจเลี่ยง
หลวงพ่อ : ไม่ใช่เลี่ยง อย่าลืมนะ ฉันเป็นพระ ต้องพูดตรงไปตรงมานะ ” เวลานี้ ” นะ ไปทำอะไรเขาได้ละเป็นอันว่าคนที่พูดเมื่อกี้นี้เมื่อชาติก่อนเขาทำบุญโดยไม่ตั้งใจ ทำบุญไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน จึงถูกหวย เรียกว่า ” ลาภลอย ” คือว่าเรื่องนี้ก็เคยคิดเมื่อตอนหนุ่มๆว่าการร่ำรวยอย่างอื่นพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ แต่ว่าการถูกหวยทำไมไม่ตรัสไว้ ก็พอดีวันหนึ่งนั่งกรรมฐาน ไปพบท่าน
ท่านถามว่า ” สงสัยเรื่องนั้นหรือ ”
ก็บอกท่านว่า ” สงสัยครับ ”
ท่านบอกว่า ” พวกนี้ทำบุญไม่มีการเตรียมการ เจอะปุ๊บปั้บก็ทำเลย ”
ทำแล้วถูกมากแบบนี้เขาอาจจะไม่ทำมากก็ได้ อย่างสมมุติว่าไปเจอะเขาถวายสังฆทาน เรามีสลึงเดียวก็ร่วมถวายกับเขา อย่างพระสิวลี ผึ้งรวงเดียว เกิดมาชาติหลังลาภมหาศาล ต้องดูเขตของบุญ การลงทุนมากแต่ได้อานิสงส์น้อยก็มีอยู่ ให้ทานหรือทำทานแจกคนที่ไร้ศีลไร้ธรรม หรือบกพร่องในศึลในธรรม อย่างนี้ลงทุนมากแต่แต่ได้อานิสงส์น้อย ถ้าลงทุนน้อยแต่ได้อานิสงส์มาก เช่น ให้ทานกับคนที่มีศีลบริสุทธิ์บ้าง ทรงฌานบ้าง เป็นพระอริยเจ้าบ้าง เป็นพระพุทธเจ้าบ้าง โดยเฉพาะสังฆทานยอดอย่างยิ่ง สูงมาก ฉะนั้นเวลาไปเจอะเขาถวายสังฆทานที่ไหนควักเลย บาทครึ่งบาท ทำเลย อย่างนี้ก็รอชาติหน้า แต่ถ้าทำบ่อยๆ ชาตินี้ก็ได้นะ แต่ไม่ต้องทำมาก อย่าให้เดือดร้อนนะ แค่นิดหน่อยพอที่เราไม่เดือดร้อน ถ้าเจอะเมื่อไรทำเมื่อนั้น ถ้าทำบ่อยๆ ได้ผลชาตินี้
ผู้ถาม : แหม…ถ้างวดหน้าก็ดีแน่เลย
หลวงพ่อ : ขอยืนยันว่างวดหน้าดีแน่ แต่ใครจะถูกหวยหรือไม่ถูกหวย ฉันไม่ทราบ

พระเยซูเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

พระเยซูเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

“..ประมาณเกือบ ๒๐ ปีมาแล้วสมัยที่อาตมาไปวัดคริสต์
ที่บางนกแขวก มีบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ และ
ก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้นอาตมาเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์
ที่เรียนคริสต์ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียนแต่คุยกัน ตอนนั้นพวก
กุฎีจีนเขามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ความจริงนักศาสนาจริงๆ
เขาไม่ทะเลาะกัน เมื่อไปเยี่ยมเขาคุยไปคุยมา
เขาถามว่า “ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน”
อาตมาตอบว่า “รู้” เขาถามว่า “เคยคุยไหม” ก็บอกว่า
“ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน” จึงถามเขาว่า
“แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน” เขาตอบว่า “ไม่รู้” ถามว่า
“เคยเห็นไหม” เขาตอบว่า “ไม่เคยเห็น” เขาเลยถามว่า
“ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ” ตอบว่า “ไม่เคยสนใจ”
แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป
ต่อมากลับมาที่พัก ธรรมดาของพระก่อนจะนอนต้องทำจิตใจ
ให้สะอาดสบาย ไม่อย่างนั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับ
อารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่าง
พระจุฬามุณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น พอเดิน
ไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลย
ถามว่า “พระเยซูใช่ไหม” ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะ
บอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์
จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า “ใช่ครับ”
อาตมาถามว่า “ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขา
แต่งตัวแบบนี้เหรอ” ท่านบอกว่า “ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่า
ท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย” บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร” ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็น
ภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ
ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า “อยู่ที่ไหน”
ตอบว่า “อยู่ชั้นดุสิต”
พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ
คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า “คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อ
หนึ่งนะ” ท่านถามว่า “ผิดอย่างไรครับ” บอกว่า “ล้างบาปนั่นนะ
คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ”
ท่านตอบว่า “ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น
ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาป
คือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป” คำสอนของ
ท่านเป็นแบบนี้ มา ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย ก็เลยบาปทั้งสองคน คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลัง
บาปเพราะโกหก
ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต
พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต
ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้น
ดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ
๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า
๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว
๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้
สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น
ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้ มาดูอารมณ์ตอนหนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะ
เป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า
“ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ” นั่นเขา
เจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่อง
ใหญ่มาก ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อยอย่าง พระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่
ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน..”
อ้างอิง หนังสือ ตายแล้วไปใหน

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลวงพ่อเล่าเรื่อง...พระยายมราชเป็นพยาน โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

หลวงพ่อเล่าเรื่อง...พระยายมราชเป็นพยาน
โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

กระผมสงสัยเรื่องการอุทิศส่วนกุศล แล้วให้เทวดาหรือพระยายมเป็นสักขีพยาน ขอให้หลวงพ่อขยายความเป็นมาด้วยเถิดครับ......?
เอาอย่างย่อหรืออย่างพิสดาร ค่าครูมันไม่เท่ากัน
คือเรื่องเป็นอย่างนี้นะ เมื่อ พ.ศ. 2508 ตอนนั้นเริ่มสอน มโนมยิทธิ ลุงพุฒิ (พระยายม ราช) ท่านก็มา ท่านบอกว่าคุณอย่าคิดว่าคนที่มาเจริญพระกรรมฐานจะได้ดีทุกคน เวลาตายอาจจะเผลอไปก็ได้ ถ้าเผลอไปสำนักของผมก็ต้องว่ากันตามเหตุตามผล ใครนึกถึงบุญได้ไปสวรรค์ ใครนึกไม่ได้ไปนรก มันสุดแล้วแต่การนึกนะ
ท่านก็บอกว่า อาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลูกหลานท่านก็คือลูกหลานผม ท่านเคยมาเป็นพี่มาหลายแสนชาติ
ทีนี้เวลาเจริญพระกรรมฐานอย่าคิดว่าเวลาตายอารมณ์ใจเสมอกัน เพราะถ้าเป็นฌานโลกีย์อารมณ์ไม่แน่นอน อาจเผลอได้ทีนี้ขอให้ทุกคนเวลาอุทิศส่วนกุศลอ้างผมเป็นพยานไว้ ถ้าเขาถามเรื่องบุญกุศลถ้าบังเอิญนึกไม่ออก ผมจะเป็นพยานอ้างเองว่าทำอย่างนั้นๆไว้ แล้วก็ไล่ไปสวรรค์เป็นอย่างต่ำ นี่จุดหนึ่งนะ
แล้วก็ก่อนหน้าจะมา 4-5 วันก็นอนๆ ภาวนาอยู่ ตามธรรมดาของฉันเป็นอย่างนี้เวลาอยู่คนเดียว ถ้าว่างงานอื่น ไม่ว่างงานอื่นจะพิจารณา นี่ไม่ใช่อวดนะ ถือเป็นปกติเลย
ภาวนาก็ดี พิจารณาก็ดี จิตเป็นสุข คิดเรื่องอื่นไม่เป็นสุข เราต้องการจิตเป็นสุข
ภาวนาไปสัก 2 นาที จะถึงไม่ถึงไม่ทราบ จิตก็เริ่มเป็นสุขมาก ก็เห็นคนสองคนเดินมา นุ่งโสร่ง ผ้าขาวม้าคาดพุง อ้วน ถามท่านว่า เรื่องของร่างกายฉันเป็นอย่างไร ยืนยันไหมว่าหายหรือไม่หายโรค ถ้าไม่หายเป็นก็ไม่เป็นไร บ้านฉันมีอยู่ (นิพพาน)
ท่านบอกว่า เกณฑ์การตายของท่านยังไม่มี สมเด็จฯไม่อนุญาต เวลานี้เลยกาลมาแล้ว
ท่านก็พลิกบัญชีดูบอก คุณ....ไม่กี่วันก็จะถึงเวลานี้เวลานี้ตัวหนังสือยังแดงอยู่ ตัวหนังสือเขาเป็น 3 จุด สีแดงจัด สีน้ำเงิน กับสีทอง ถ้าสีแดงอยู่ในเกณฑ์เคราะห์ร้าย อันตรายมาก ของฉันนี่สีแดงแจ๋ สบายใจมาก
ที่นี้ไอ้ตัวหนังสือมันหมดไป เหลือแต่เส้นขยุกขยิก ก็เลยบอกว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไอ้ขยุกขยิกของท่านจะหมดไป จะเป็นเส้นเรียบคล้ายๆ เส้นบรรทัด การป่วยจะน้อยลง ถ้าถึงเวลาตัวหนังสือเป็นสีน้ำเงินเมื่อไร แต่ว่าตอนนั้นจะต้องปรับเรื่องร่างกายอีกชั่วระยะหนึ่ง เพราะว่าโทรมมากไป ใช่ไหม
ต่อไปไม่นานนักพอถึงสีน้ำเงินก็จะเป็นสีทอง อีตอนนี้จะมีโชคมาก เกี่ยวกับลูกหลานจะมีตังค์มาให้ ถ้ามันไม่รวยมันให้ไม่ได้ ก็ยุลูกหลานให้รวยไว้
ต่อมาท่านก็บอกว่า คุณ......ไปเที่ยวบ้านผม ถามว่าไปทำไมล่ะ ไม่มีธุระจะไป เพราะตั้งแต่ป่วยา 6 ปี ไม่เคยไปไหนเลย ออกจากตัวปั๊บก็ไปที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปหาโยม ไปนิพพานเลยไปแค่ 2 ที่ ที่อื่นไม่แวะ ก็แน่วแน่ว่ามันจะพังเมื่อไรร่างกายใช่ไหมจะเกาะมันทำไม
ท่านบอกว่า ไปได้แล้ว เลยบอก ยืนยันก่อนว่าไข้จะหายท่านบอกรับรอง ก็พอดีท่านย่ากับแม่ศรีมา ท่านบอกว่าคุณ...ตามท่านไปเถิด ฉันไปด้วย ก็พอดีที่ท่านย่าพูดสมเด็จฯ มาท่านบอก คุณ..ไปเถิด ฉันไปด้วยเหมือนกัน ก็เลยคิดเรื่องนี้คงเป็นเรื่องสำคัญ ก็เลยตามท่านไป สองคนก็เดินนำไปพอถึงก็เลี้ยวเข้าสำนัก แต่สำนักของท่านนายบัญชีและพระพยายมนั่งรออยู่ด้วยเหมือนกัน
ถามลุง นั้นใคร ท่านบอก ผมครับ
ถามนายบัญชี ลุง...นั้นใคร ผมครับ
ถาม นี่ ใคร ผมครับ

ถามว่า มันเป็นไปได้ยังไงบุคคลเดียวกัน ท่านก็ย้อนถามว่า คุณเวลาเจริญพระกรรมฐานกับลูกศิษย์ เมื่อพบเทวดากับพรหมที่มีบุญหลายร้อยองค์ ให้ขยายตัวเท่านั้นเข้าไปกราบ ทำไม ทำได้ ในเมื่อผมเป็นเทวดาเป็นพรหมทำไมผมทำไม่ได้ เพราะความเป็นทิพย์ เราก็โง่ไป
ก็รวมความว่าท่านก็พาไปเจอะคน 11 หมู่ คน11 กลุ่ม หนึ่งประมาณ 10000 คน ยืนหน้าเซียว เสี่ยว เสี้ยว เซี้ยว เสียว ต่างคนหน้าเซียวถึงเสียว เพราะแน่ใจว่าจะไปนรกหรือสวรรค์ แต่ละกลุ่มมีผู้ชายตัวใหญ่ๆ ถืออาวุธ 1 อัน คนทุกคนที่ยืนหัวแค่เอวอีตานั้นแหละ นั้นคือ นายนริยบาล แล้วก็เดินผ่านไป ท่านบอกพวกนี้รอการสอบสวน
พอผ่าน 11 กลุ่มไปแล้ว ก็เลยไปทางทิศตะวันออก ไม่ไกลนัก ถ้านับกันก็สัก 2-3 โยชน์ นี่นะ แต่สวรรค์ไม่ไกล ตอนไปหลังสารมจีน1 วัน ก็เดินไปปั๊บเจอะฝูงเป็ดกับฝูงไก่
ถามว่า ไก่ เท่าไร หัวหน้าเขารายงากว่าแสนกว่าครับ ถามเป็ดเท่าไร แสนกว่าครับ วัว ควาย เป็ด ไก่ ที่ถูกไก่เชือดเมื่อสาทรจีน มันคอยตอนรับคนเชือด เขาเข้าไปเป็นพยาน กับพยายมจะกล่าวโทษบุคคลนั้นทันที
เลยถามท่าน บอก สัตว์ตายแล้วย่อมเกิดเป็นเทวดาบ้าง เป็นคนบ้าง ทำไมจึงเป็นรูปสัตว์ได้ ในเมื่อมาไม่ได้ ท่านบอกว่าท่านแสดงแทน
แล้วต่อไป เดินไปอีกกลุ่มหนึ่ง มีเป็ด มีไก่ มีสัตว์หลายประเภท เยอะเหมือนกัน ถามว่า พวกคุณนี่ก็รวมความว่า ถ้าเราอ้างลุงเป็นพยาน เวลาที่เราตายไปแล้ว เวลาเข้าถามเรื่องบุญนึกไม่ออก ท่านจะกล่าวเป็นพยานว่าบุญอย่างนี้ๆ เขาทำช่วยนี่ ที่พูดให้ฟังตามนี้นะว่าพยานมันคอยอยู่อย่านึกว่าทุกอย่างมันลืม ไม่มีหมดหรอก

บวชชีตอนปลาย

ทีนี้เลี้ยวเข้ามาเจอะชีคนหนึ่ง ไปเที่ยวสำนักพระยายมคน 4 คนพาไป นุ่งแดงนะ พระยายมท่านก็เรียกไปสอบสวน เจ้าหน้าที่ก่อน
เอ็งฆ่าไก่ใช่ไหม จะเชือดก็กลัวไก่เจ็บ เลยเอาหัวฟาดกับเสาใช่ไหม เห็นเลือดแล้วใจไม่ดี ฟาดกับเสาเสียเลย หัวเละ ตายเลย แกก็บอกว่าเป็นความจริง ที่ฆ่าสัตว์เพราะว่ามีความจนมาตั้งแต่เด็ก
ต่อมาเมื่ออายุ 12 ปี มีไก่มาเลี้ยงประจำบ้านอยู่ ตัวอ้วนดี ก็มีคนบอกว่าถ้าแกงไก่ตัวนี้ให้จะได้ราคามากหน่อยให้สตาค์มากหน่อย แกก็จนนี่ ก็ต้องทำ แล้วเจ้าหน้าที่ ฝ่ายโจทก์คนที่อยู่เก้าอี้ข้างขวาน่ะนะบอกว่า บาปจริงๆของเอ็งมีอย่างเดียว
แหม.....ยายนี่จนจริงๆ จนบาป พุทโธ่....ชีวิตทั้งชีวิตฆ่าไก่ตัวเดียว แหม...ระยำหมาจริงๆ ก็รวมความว่าแกทำบาปครั้งเดียว
หลังจากนั้นแกก็สลดใจ แกบอกว่าแกสลดใจ เลยมาเป็นลูกจ้างเขา ให้มีข้าวพอมีพอกินก็แล้วกัน ให้มากให้น้อยไม่เป็นไร ต่อมาเป็นชาวนา ต่อมาเป็นลูกจ้างร้านค้า พออายุ 40 ปีเศษแกก็บวชชี ตายเมื่ออายุ 53 ปี อยู่จังหวัดฉะเชิงเทรา
ก็อันนี้เขาถามเท่านี้นะ ทำบุญอะไรบ้าง แต่เขาถามไม่ให้ตอบ เจ้าทำอย่างนั้นใช่ไหม เจ้าเคยใส่บาตร เจ้าเคยบูชาพระ ไม่ใช่บอกให้ตอบ ตรงจุดตามเป้าหมายหมด ในขั้นสุดท้าย เคยเจริญภาวนา
คุณลุงเลยถาม (เห็นบุญมากกว่าบาป) เจ้าทำไมจึงต้องมาสำนักพยายม ซึ่งไม่จำเป็นเลยถ้าบุญขนาดนี้จะต้องไปสวรรค์หรือพรหมโลกทันที
แกเลยบอกว่า เรื่องมันอย่างนี้เจ้าค่ะ ตอนต้นเวลาป่วยก็ดีนึกถึงกุศล ภาวนาบ้าง จิตใจก็สงบ ตอนใกล้ตายมีเสียงตึงตังครึกโครมครามที่ข้างฝาบ้าน จิตใจก็หวั่นไหวแว้บเดียวก็เห็น 4 มารับ พ่อยอดขมองอิ่มมารับไปเลย
ท่านลุงบอกว่า เรื่องมานเป็นอย่างนี้ก็พอดีไก่โผล่ ไอ้ไก่ตัวนั้นน่ะ บอกว่า ฉันเองเจ้าค่ะ ต้องการให้มาที่นี่ บอก ยายนี่ฆ่าฉัน จับฉันเอาหัวฟาดกับเสา ฉันทนไม่ไหวถึงขั้นตาย
ทีนี้แกกล่าวไว้ตอนหนึ่ง บอก ตั้งแต่อายุ 19 ปีทำบุญอะไรก็ตาม จะบูชาพระ ก็อุทิศส่วนกุศลให้ไก่ ขออโหสิกรรม
ลุงท่านก็ถามว่าเขาทำอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้า ตั้งแต่ 19 ปีจนอายุ 53 ปีมันก็หลายปี เจ้าไม่ได้บอกรึ บอกได้รับ
ถามว่า ได้รับแล้วเอ็งยังจองเวรจองกรรมอยู่รึ บอกไม่ได้จองเวรจองกรรม เอ็งมาเป็นโจทย์ รู้สึกเสียงจะดุๆ หน่อยนะ ไก่ก็เลยบอกว่า ที่ต้องการให้มาเพื่อจะบอกว่าอโหสิกรรมให้แล้ว เจ้าค่ะ
โอ้โฮใจแป้ว มันจะไปขุมไหนกันหว่า นี่ขนาดนี้นะอย่าลืมว่าการทำบุญทำกุศล เจริญคำภาวนามันเป็นได้ตามนี้นะอย่าประมาทนะ
หลังจากนั้นลุงก็บอกเทวดาที่อยู่ที่ข้างหลัง มีเทวดา 5 องค์ องค์ คอยส่งคนท่านบอกว่า คนนี้บุญบารมีเขาเจริญพระกรรมฐานมีสมาธิทรงตัว บารมีของเขาต้องต้องอยู่ชั้นยามา เวลานี้วิมานอยู่ชั้นยามา ท่านก็บอก อีหนูเจ้าต้องอยู่ชั้นยามา
คิดว่าแกจะสลดใจ แกกลับยิ้มแฮะ ชั้นยามามันสบาย ฉันนึกว่าแย่ล่ะซิ ท่านบอกว่าวิมานอยู่ที่นั้น แต่ไม่ใช่ลุงสร้างให้นะ ทานของเขา ศีลของเขาบ้าง การเจริญภาวนา เลยไปอยู่ยามา ถ้าถึงอุปจารสมาธินะ ถ้าฝึกกสิณจริงๆก็พรหม
ก็รวมความว่าแกไปชั้นยามา ฉันก็เลยลามาหมดเรื่องขี้เกียจตามไป

รูปภาพ ท่านพระยายมราช วัดวีระโชติธรรมาราม

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โลกธรรม ๘ กฏธรรมดาของโลก มันจะเกิดขึ้นมาประเภทไหน ก็ช่างมัน ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

โลกธรรม ๘ กฏธรรมดาของโลก
มันจะเกิดขึ้นมาประเภทไหน ก็ช่างมัน
ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง


ที่มา: https://www.facebook.com/#!/BuddhaSattha

คนที่เกิดมาแล้วทุกคนที่จะไม่มีทุกข์ไม่มี ถ้าหากว่าเรายังยึดถือว่าร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่าเราเกาะ ที่เรียกว่าอุปาทาน 

โดยเฉพาะโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ คือ
มีลาภ-ดีใจ ลาภสลายตัวไป-เสียใจ
มียศ-ดีใจ ยศสลายตัวไป-เสียใจ
มีความสุขในกามสุข-ดีใจ ความสุขหมดไป-ร้อนใจ
ได้รับคำนินทา-เดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญ-มีสุข


นี่ก็ถือว่าเป็นอารมณ์ของอุปาทาน สร้างความทุกข์ สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นกับเรา 

ทำอย่างไรเราจึงจะพ้นทุกข์? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้พวกเราถือว่าใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า กฎนี้เป็นกฎธรรมดาของโลก ที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันไปได้ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา ก็ถือว่าช่างมัน ตามศัพท์ภาษาบาลีท่านเรียกว่าขันติ ความอดทน ถ้าใช้คำว่าอดทนมันเข้าใจยาก ใช้ภาษาธรรมดาดีกว่า ว่ามันจะเกิดขึ้นมาประเภทไหนก็ช่างมัน

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อานิสงส์ทำความสะอาดวัด โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

อานิสงส์ทำความสะอาดวัด 
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

หลวงพ่อ : ตัวอย่างก็คือน้องสาวของพระอนุรุทธ น้องสาวของท่านเป็นโรคเรื้อน เวลาพระพุทธเจ้าไปเทศน์เธอก็ไม่ออกมาเพราะอาย
ต่อมาวันหนึ่งพระอนุรุทธก็ไปถามว่า
“พระพุทธเจ้ามาทำไมจึงไม่ฟังเทศน์”
เธอตอบว่า “เธอเป็นสาว เป็นโรคเรื้อนก็อาย”
... พระอนุรุทธก็บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นหาเวลาทำบุญให้ทำแบบนี้เวลาที่พระไปบิณฑบาตก็จัดสถานที่
กวาดสถานที่ จัดน้ำใช้น้ำฉันให้พระ”
เธอก็ทำแบบนั้นทุกวัน ทำไป ๆ ไม่ช้าโรคเรื้อนมันก็หายไปทีละหน่อย ๆ เพราะทำด้วยจิตใจเคารพ
ต่อมาก็หายสามารถมาไหว้พระได้ มาฟังเทศน์ได้
ต่อมาเธอก็ตาย ตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
ไปเกิดระหว่างวิมานของเทวดา ๔ องค์ เธอสวยมาก เพราะอานิสงส์กวาดพื้นที่ จัดพื้นที่
เพราะฉะนั้นใครที่ถวายไม้กวาดจะสวยเหมือนกัน อันนี้เรื่องจริงนะ ไม้กวาดทำให้พื้นที่สะอาด อานิสงส์มาสนอง”
จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม 4 (เครดิตเว็บแดนนิพพาน)
อานิสงส์ของการกวาดลานวัด
คนโบราณเขาเชื่อถือกันมาว่า ผู้ที่มีโรคผิวหนังพุพองหรือโรคเรื้อน ถ้าได้มาเก็บขยะเก็บใบไม้ที่ล่วงหล่นปัดกวาดลาดวัดให้สวยงามสอาดตาแล้วนั้น เชื่อกันว่าจะทำให้ผิวพรรณวรรณะงดงามและทำให้โรคร้ายหายไปได้ การกวาดวัดนี้มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่างคือ
๑. บุคคลเห็นเข้าก็เลื่อมใส
๒. เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใส
๓. จิตของผู้กวาดตั้งสมาธิได้เร็ว
๔. ผิวพรรณวรรณผ่องใส
๕. เมื่อตายดับสังขารจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปบังเกิดในภพภูมิสวรรค์
เป็นสิ่งที่เล่าขานกันมา ว่าบางคนเป็นโรคผิวหนังอันเกิดจากกรรมเก่า
ได้รับคำแนะนำให้ทำความสะอาดส้วมในวัดติดต่อกันเป็นเดือนๆ
หากทำด้วยจิตที่ผ่องใสและปลาบปลื้มใจเต็มกำลัง บุญใหม่ก็อาจมีกำลังมากพอจะละลายบาปเก่าให้เบาบางลงได้
กรรมวิบากเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องนำทั้งกายและจิตมาอธิบายควบคู่กันไป ขอให้คิดว่า การนำสิ่งสกปรกออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ก็คือการนำเอาความสะอาดอันศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่จิตใจ
แม้ไม่สามารถอธิบายตามหลักทางวิทยาศาสตร์ว่าความปลาบปลื้มที่ได้ทำความสะอาดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ไปกระตุ้นให้สารชนิดไหนหลั่งออกมา แต่คุณก็จะรู้สึกว่าสมเหตุสมผล เมื่อเห็นว่าจิตตัวเองสะอาดขึ้น
การขันอาสาเข้าไปล้างส้วมวัดด้วยความเต็มใจของตนเองนั้น ยังมีอานิสงส์อีกมาก เช่นทำให้เป็นผู้มีความคิดดี จิตใจห่างไกลจากความคิดสกปรกน่ารำคาญใจ เมื่อจะทำทานก็สามารถทำได้ด้วยใจบริสุทธิ์ ตลอดจนกระทั่งเป็นผู้มีกำลัง สามารถรักษาศีลได้ง่าย สรุปคือถ้าคิดเสียสละแรงกายแรงใจไปทำความสะอาดวัด คุณจะเป็นผู้มีกำลังในการทำทานและรักษาศีลให้เกิดผลยิ่งใหญ่ไพบูลย์ อาจเหมาะสำหรับคนที่รู้สึกว่ากายหรือจิตของตนเองสกปรกด้วยบาปเก่า ต้องการเครื่องทุ่นแรงในการละลายบาปสกปรกเก่าๆออกไปครับ