วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

“ต่อบุญบารมี”...โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

“ต่อบุญบารมี”...โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่มที่ 22 หน้า 112-113 บางส่วน

ทางด้านการภาวนา การภาวนานี้แปลว่าเจริญ คือใช้สติปัญญาให้เกิดขึ้น อันดับแรก ทำจิตให้เป็นสมาธิ ในเมื่อจิตเราพอใจในการให้ทาน พอใจในการรักษาศีล การพอใจและการนึกถึงอยู่เขาเรียกว่าสมาธิ เมื่อ สมาธิเกิดขึ้นปัญญาก็เกิด นี่ตัวภาวนานะ ตัวปัญญาก็เกิดว่าเรารักษาศีลเพราะอะไร ก็เพราะว่าเราเกิดมาแล้วไม่ได้อยู่ตลอดกาลตลอดสมัย ร่างกายของคนทุกคนและสัตว์ก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีเกิดขึ้นในเบื้องต้น และก็มีความแปรปวนในท่ามกลางมีการแตกสลายคือในที่สุด ในที่ความตายก็เข้ามาถึงเรา อันนี้เป็นมรณานุสสติกรรมฐาน ทำทีเดียวได้หลายอย่าง
ในเมื่อเราคิดอย่างนี้แล้วว่า ถ้าเราตายไปชาตินี้เราเป็นคนให้ทาน ทานจะเป็นปัจจัยให้เราได้มีความสุขในด้านทรัพย์สิน เราเป็นคนมีศีล ศีลจะทำให้เรามีความสุขในด้านร่างกายและความเป็นอยู่ตามที่กล่าวมาแล้ว การเจริญภาวนาเป็นเหตุทำให้คนมีปัญญา ถ้าปัญญาเราน้อยก็สามารถเกิดเป็นเทวดานางฟ้าก็ได้ เป็นพรหมก็ได้ตามความพอใจ ถ้ามีปัญญามีมากถึงที่สุดก็ไปนิพพานได้
ก็รวมความว่าทั้งสามอย่างนี้ให้มีไว้ในใจไว้เสมอ ทีนี้มาว่าถึงภาวนา จะใช้อะไร เมื่อกี้ว่าภาวนาว่า พุทโธ เป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ การนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ การนึกถึงพระพุทธเจ้านี่บรรดาพุทธบริษัท ทุกคนนึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน เวลานี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่นิพพาน ความรู้ทั้งหมดที่เราใช้เป็นของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ถ้าเรานึกพระพุทธเจ้า ก็ชื่อว่าเราเชื่อพระพุทธเจ้า มีศรัทธาท่าน มีความเชื่อท่าน ในเมื่อมีความเชื่อมีความศรัทธาในท่าน เราก็ปฏิบัติตามท่าน

๑.การให้ทาน เราทำแล้ว
๒.การสมาทานศีล เราทำแล้ว
๓.การเจริญภาวนา เราทำแล้ว
และถ้าบุญบารมีของท่านยังอ่อนต้องเร่ร่อนไปในวัฏสงสาร อย่างน้อยที่สุดก็เกิดเป็นคนรวย เป็นคนสวย เป็นคนมีปัญญา หรือมิฉะนั้นก็เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม แต่ว่าเราเกิดทุกชาติเราจะไม่พลาดพระพุทธเจ้า ไม่พลาดจากพระพุทธศาสนา จะมีการต่อบุญบารมีกันเรื่อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น