วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

ความดีที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกันและกันนั้นพระพุทธเจ้าตรัสเพื่อ ฆราวาสปฏิบัติ ท่านเรียกว่า สังคหวัตถุคือการสงเคราะห์ ซึ่งกันและกัน ปัญหาธรรมของฆราวาสผู้ครองเรือน โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) จาก หนังสือ หลวงพ่อ ตอบปัญหา เล่ม ๒

ความดีที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกันและกันนั้นพระพุทธเจ้าตรัสเพื่อ ฆราวาสปฏิบัติ ท่านเรียกว่า สังคหวัตถุคือการสงเคราะห์ ซึ่งกันและกัน

ปัญหาธรรมของฆราวาสผู้ครองเรือน
โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
จาก หนังสือ หลวงพ่อ ตอบปัญหา เล่ม ๒

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ความดีที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกันและกัน เหมาะที่จะปฏิบัติสำหรับฆราวาส ควรจะใช้ธรรมะข้อใดครับ.....................?

หลวงพ่อ : ความดีที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกันและกันนั้นพระพุทธเจ้าตรัสเพื่อ ฆราวาสปฏิบัติ ท่านเรียกว่า สังคหวัตถุคือการสงเคราะห์ ซึ่งกันและกันมี ๔ ข้อด้วยกันคือ

๑. ทาน การให้ การแบ่งปันของที่มีและพอจะมีให้กัน ได้แก่ ผู้ที่ขาดแคลน ถึงแม้จะไม่ครบถ้วน แต่ก็เป็นเหตุให้เกิดความรักแก่ผู้ที่ได้รับ

๒. ปิ ยิวาจา คือพูดเพราะ อ่อนหวาน ทำให้ผู้รับฟังให้สบายใจเป็นเหตุ

๓. สมานัตตตา ไม่ถือตัวเกินไป ทำตนเสมอ ไม่รังเกียจซึ่งกันและกันโดยฐานะ โดยตระกูล โดยความรู้ เป็นต้น เมื่อไม่ถือตัววางตัวสนิทสนม ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก ความสามัคคี

๔. อัตตถจริยา ช่วยงานที่เพื่อนทำไม่ไหว ด้วยความเต็มใจจะสงเคราะห์ ไม่ทวงความดีที่ทำให้ อย่างนี้ก็เป็นเหตุให้เกิดความรัก ความสามัคคี
เมื่อต่างคนต่างรัก สนิทสนมกัน ด้วยอาศัยเหตุ ๔ ประการนี้ ต่างก็มีความสุข ความสบายทั้งกายและใจ

ผู้ถาม : องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้เช่นไรในเรื่องการแต่งงาน ขอหลวงพ่อช่วยโปรดอธิบายด้วยครับ และฤกษ์ดีของพระพุทธเจ้าให้ทำเช่นไรจะเป็นมงคลครับ....?

หลวงพ่อ : เรื่อง ฤกษ์การแต่งงาน พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสท่านได้แต่เพียงแนะนำผู้แต่งงานว่าสามีควรปฏิบัติต่อ ภรรยา คือ

ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา
ไม่เหยียดหยามดูหมิ่น ภรรยา
ไม่นอกใจภรรยา คือไม่เจ้าชู้
มอบความเป็นใหญ่ในบ้านให้ แต่คอยเตือนเมื่อเธอเผลอตัว
ให้เครื่องแต่งตัวตามฐานะ ผู้หญิงชอบยกย่องและรางวัลแม้มีค่าน้อยก็พอใจ
ถ้าทำได้อย่างนี้ ไม่มีเรื่องทะเลาะกัน

ส่วนภรรยาต้องปฏิบัติต่อสามีเช่นกัน คือ
จัดงานดี ต้องดีตามที่ตนเห็นว่าดี และเป็นความดีที่มีความพอใจร่วมกันทั้งสามี และผู้ใหญ่และญาติโยม ของสามีด้วย ถ้าดีคนเดียวประเดี๋ยวพัง
สงเคราะห์คนข้างเคียงสามีด้วย
ไม่เจ้าชู้นอกใจสามี
รักษาทรัพย์ดี รู้จักเก็บหอมรอมริบ ไม่สุรุ่ยสุร่าย
และขยันไม่เกียจคร้านในการงานทุกอย่าง
ถ้าสามี ภรรยาคู่ใดทำได้อย่างนี้ ฤกษ์ดีตลอดเวลา แต่งตามพิธีหรือแต่งกันเองก็ฤกษ์ดี ไม่ต้องไปหาหมอให้ฤกษ์หรอกนะ

ผู้ถาม : ลูกขอกราบรบกวนหลวงพ่อ คือว่าเวลาก่อนจะออกจากบ้านไปทำงานหรือไปไหน ก็ต้องกราบพระและพ่อแม่อธิษฐานขอให้ลูกปลอดภัย และเวลาทำวัตรเช้า - เย็น ก็บอกพ่อและแม่ให้ฟัง หรือบางทีก็พูดถึงแม่บ่อย ๆ ด้วยความคิดถึง แต่มีคนทักท้วงว่า "ไม่ควรจะพูดถึง เพราะจะทำให้แม่กังวลและเป็นห่วง" ก็เลยมีปัญหาอยากจะถามหลวงพ่อว่า ควรจะทำอย่างไรคะ......?

หลวงพ่อ : ปฏิปทาที่บอกมาทำถูกแล้ว เรื่องที่คนพูดว่า เป็นการรบกวนพ่อแม่ ที่จริงเป็นการ กตัญญู ที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญมากกว่า การสนองความดีของท่านด้วยการนึกถึง หรือกล่าววาจาถึงท่านเป็นการสรรเสริฐความดี ไม่ลือความดีที่ท่านอุปการะมาเป็นความดีอย่างเลิศ และถ้ายิ่งปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านด้วยเช่นกันทั้ง ๒ ประการ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า เป็นยอดของคนดี ตามพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า

นิมิต ตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา
แปลว่า ท่านผู้ใดท่านอุปการะมาในกาลก่อน การตอบสนองท่านด้วยความดี พระองค์ตรัสว่า เราเรียกคนนั้นว่าเป็นคนดี

เมื่อคุณทำความดีแล้ว ทำไมจะต้องคิดว่ารบกวนท่านล่ะการนึกถึง การกราบไหว้ ไม่ใช่รบกวน เป็นการทำความดีที่หาได้ยาก ขอให้ทำต่อไปนะ จะได้มีกำลังใจเป็นสุข

คนที่ไม่ลืมความดีของท่านผู้มีคุณ คนประเภทนี้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง หาทางตกต่ำยาก เป็นที่รักของสังคมคนดีนะ

ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณค่ะ" (อีกท่านหนึ่งถามว่า)
หลวงพ่อคะ หลวงพ่อเคยบอกว่า กลุ้มนี่ลงนรกใช่ไหมคะ......?

หลวงพ่อ : ใช่

ผู้ถาม : ถ้าหากว่าเรากลุ้มกับผู้มีพระคุณ อย่างเช่นบิดา มารดา เวลาท่านป่วย อย่างนี้ล่ะคะ......?

หลวงพ่อ : กลุ้มเวลาปกติไม่เป็นไร ถ้ากลุ่มเวลาใกล้จะตายนี่ซิหมายถึงว่าเวลาใกล้จะตาย อย่าให้ใจมันกลุ้ม ถ้าจิตมันจะออกจากร่าง ถ้ากลุ้มจุดนี้ มีจุดเดียว ที่ท่านบอกว่า

จิต เต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา
ถ้าก่อนตายจิตกลุ้มอารมณ์ เศร้าหมองก็ไปทุคติ ความกลุ้มนี่ มันต้องกลุ่มทุกคนละ ใช่ไหม.......คนที่ไม่กลุ้มเมื่อยามปกติมีคนเดียวคือพระอรหันต์ ในเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วไม่กลุ้ม อย่างพระโสดาบันก็ต้องกลุ้ม พระสกิทาคาก็ยังมีกลุ้ม พระอนาคตมีก็ยังกลุ้ม แต่ท่านว่ากลุ้มในยามปกติแต่เวลาจะตายจริง ๆ ท่านไม่กลุ้ม ใช่ไหม...

การ กลุ้มในฐานะเราหวังดีต่อบิดามารดา แต่บังเอิญไปขัดใจกับท่าน ก้เป็นของธรรมดา แต่ว่าเวลาที่เราจะตาย จุดนั้นน่ะเขาถือ เวลาที่จะตายอย่างเดียวนะ แล้วก็ตายทันที ถ้าหากว่าเรากลุ้มอยู่เป็นปกตินี่ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หายไป ใช่ไหม........ฉะนั้นก็ฝึกระบายความกลุ้มซิ

อารมณ์กลุ้มจงพยายามอย่า ให้มันมี พยายามแก้ไขอารมณ์นั้นให้เสมอ ๆ ถ้ากลุ้มมันมีอยู่ พยายามฝืนความกลุ้ม ถือว่ามันเป็นกฎธรรมดาของการเกิด ถ้าเกิดมาแล้ว มีใครบ้างไหมที่ไม่พบอารมณ์อย่างเรา ทุกคนต้องประสบทั้งนั้น
ทีนี้ เราก็หาทางตัดมัน ถือว่าเป็นของธรรมดา สิ่งใดควรจะต้องทำเราต้องทำ สิ่งที่มันจะต้องกระทบ เราต้องหาทางแก้ไขเท่าที่มันจะทำได้ ต้องพยายามฝึกไว้เสมอ ๆ ถ้าไม่ฝึกแบบนี้ไว้มันต้องพบกับอารมณ์ขัดใจแน่นอน ทุกคนต้องมี
ถ้าเป็นลูกบ้านกลุ้มแค่ลูกบ้าน
เป็นพ่อบ้านแม่ บ้านก็กลุ้มมากกว่าลูกบ้าน
ถ้าเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็กลุ้มมากกว่าพ่อบ้านแม่บ้าน
ถ้าเป็นกำนันก็กลุ้มมากกว่า เพราะภาระมันหัก

ทีนี้เราก็ต้องคิด ถ้าอะไรมันเกิดขึ้นมันเป็นความทุกข์สำหรับเรา อย่างเราขัดข้องทางการเงิน เราก็ต้องมองคนที่เขาต่ำกว่าว่า คนที่จนกว่าเรามันมี อย่างนี้จะสร้างความภูมิใจให้ดีขึ้น อย่าไปมองคนสูงเสมอ มองที่เขาสูงกว่าเราก็ใจเสีย ต้องมองจุดที่ต่ำกว่าเรา ถ้าเรากลุ้มเราลำบากขนาดนี้ คนที่กลุ้มคนที่ลำบากกว่าเรายังมีอยู่ และถือว่าเราก็ยังดีอยู่

รวมความแล้วไม่มีอะไร ที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้คนรู้จักกฎของธรรมดา คือยอมรับนับถือกฎของธรรมดา เมื่อยอมรับทราบมัน ถ้าสิ่งนั้นมากระทบ เราจะได้ไม่กลุ้ม

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

"อย่าคิดว่าเราดีกว่าหมา" โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

"อย่าคิดว่าเราดีกว่าหมา"
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ลพ. ฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี)
คัดลอกบางตอนจาก หนังสือ "หลวงพ่อเล่าให้ฟังเล่ม ๒" หน้า ๕๙-๖๒


...แต่ความจริงพวกสัตว์ประเภทนี้นะ เวลาตายจริงๆ มันก็ได้เปรียบเราเหมือนกัน โยม! ถ้าเป็นสุนัขที่คนเลี้ยงแล้ว คนสงเคราะห์นี่ บาปเก่ามันเริ่มหมด พวกนี้ตายปุ๊บลงไปมี ๒ ทาง ถ้าไม่ไปเป็นเทวดาหรือพรหม ก็เป็นมนุษย์ มันไม่ลงล่าง ได้เปรียบมากกว่าเรา เรามาถึงขั้นเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าไม่ดีตีตั๋วลงนรกใช่ไหม ใช่ไหม
พวกนี้ชำระหนี้มาเพื่อหมด นี่เราเสียท่ามันอีกนะ ถ้าไม่ปฏิบัติดียิ่งเสียท่าหนัก หมาดันไปสวรรค์เป็นเทวดา เรากลับไปเป็นสัตว์นรกอีก แหม ..(หัวเราะ)
อ้าวนี่พูดตามความเป็นจริงนะ คือว่า คนเหยียดหยามสุนัข บางทีก็รู้สึกสลดใจนะโยม คนนี่มันไม่แน่ ตายแล้วอาจจะลงนรกได้ พวกหมานี่ไม่ลงแน่ ถ้าเขาใช้หนี้กรรมของเขายังไม่หมด เกิดเป็นหมาชาตินี้ ชาติหน้าเป็นหมาใหม่ก็ได้ ใช่ไหม
แต่ว่าหมาตัวไหนที่ชาวบ้านเลี้ยง เลี้ยงก็แบบเราเลี้ยงธรรมดานี่แหละ มีการให้กินข้าวใช่ไหมล่ะ
ถ้าคนสงเคราะห์แสดงว่ากรรมเก่าเริ่มหมด
ถ้าไอ้ตัวไหนยังต้องเดินอดเดินอยากอยู่ อันนี้ก็ต้องเกิดอีกต่อไปอีก
เขาอยู่กับคนจนหรือคนรวยไม่สำคัญ คือว่าเจ้าของมีโอกาสให้ข้าวกิน นั่นแสดงว่า ทานบารมี เดิมกับ เมตตาบารมี เดิมของเขาเริ่มให้ผลใช่ไหม
ฉันสังเกตุดูหลายตัว ถ้าหมาในวัดตายทีไร ไม่เป็นเทวดาก็พรหม เพราะมันชอบใจในพระ พระสงเคราะห์ พระให้อาหารหมา อาหารแค่ไหนไม่สำคัญ ให้มันผูกจิตใจกับพระ
อย่าง โฆษกเทพบุตร ท่านไม่ได้ทำอะไรมาก ท่านรักพระปัจเจกพุทธเจ้า ตายแล้วก็เป็นเทวดา เป็น โฆษกเทพบุตร ตอนนั้นเป็นหมาใช่ไหม นี่หมาอยู่กับวัดได้เปรียบ
แต่ว่าตัวไหนถ้าอยู่ที่บ้าน ชาวบ้านเขาสงเคราะห์ ก็สงเคราะห์อย่างเราให้กินน้ำข้าวบ้าง กินข้าวบ้าง อาหารเหลือบ้าง อันนี้น่ะ เมตตาบารมี กับ ทานบารมี เดิมของเขาเริ่มสนองแล้ว
ทีนี้ถ้าตายแล้วไปสวรรค์หมด ถ้าไม่ไปสวรรค์ก็ไปเป็นคน ถามว่าไปสรรค์ชั้นไหน อันนี้ก็ต้องบอกแล้วแต่บุญเดิม บุญเดิมที่ทำไว้ของเขาทำอะไรไว้ใช่ไหม
นั่นก็หมายความว่า ก่อนที่เขาตายจากความเป็นคน บาปทำให้เขาไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าที่ที่สุดแล้วชำระหนี้บาปหมด ก็เหลือแต่บุญ ซึ่งตรงข้ามกับคน
คนสร้างบาปอกุศลไว้ในตอนต้น แล้วมาตอนหลังสร้างบุญบารมีดี ตายจากความเป็นคน เป็นเทวดาหรือพรหม ถ้าหมดบุญวาสนาบารมี พุ่งหลาวเลย ลงนรกไปเลย มันก็ต้องสนองกันแบบนี ไม่ใช่ว่าเราเกิดเป็นคนแล้วต้องเกิดเป็นคนตลอดไป มันหวังอยากเหมือนกัน...

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

ถวายข้าวพระพุทธรูป ถวายข้าวต่อหน้ารูปพระสงฆ์ อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ถวายข้าวพระพุทธรูป ถวายข้าวต่อหน้ารูปพระสงฆ์ อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
ที่มา : หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม (การปฏิบัติธรรม)

"ถวายข้าวพระพุทธรูป ถวายข้าวต่อหน้ารูปพระสงฆ์ อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง ไม่งั้นก็เป็นพรหมเลย

ถ้าบังเอิญคนที่ถวายประเภทนั้นเขาเกิดไม่นิยมร่างกาย

เมื่อใกล้จะตาย พอป่วยแล้วเจ็บโน่น ปวดนี่รำคาญ ขึ้นมา

เอ๊ะ..นี่ร่างกายเลวๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก

ไปนิพพานทันทีเหมือนกัน นิพพานนี่ไปไม่ยาก

ถ้าฉลาดนี่ไปไม่ยาก"

หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม

ผู้ ถาม : โดยปกติหนูต้องถวายอาหารรูปเหมือนหลวงพ่อเป็นประจำ บางครั้งต้องไปค้างที่อื่น จึงบอกกับรูปเหมือนหลวงพ่อว่า พรุ่งนี้ไม่อยู่นิมนต์หลวงพ่อไปฉันที่บ้านอื่นก่อนนะ ขอถามว่าที่หนูพูดอย่างนี้ จะผิดหรือเปล่าเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : มิน่าเล่าบางวันท้องกิ่วหิว ไม่ผิดล่ะ ถูก ก็มีอะไรผิดบ้าง ก็พูดตัวเอง ได้ยินฟังรู้เรื่องก็ถูก

ผู้ถาม : หลวงพ่อได้ยินหรือเปล่าไม่รู้?

หลวง พ่อ : อ้าว...ไอ้นั่นไม่ใช่ทานนะ มันเป็นการบูชา คำว่าบูชาเป็นการยอมรับนับถือ ถวายข้าวกับพระพุทธรูปนี่ไม่ใช่ถวายทาน เป็นการบูชาพระพุทธรูปใช่ไหม ถวายข้าวต่อหน้ารูปพระสงฆ์ ก็เป็นการบูชาพระสงฆ์ บูชา นี่แปลว่า การยอมรับนับถือ เป็นความดีของเขาเป็นอนุสสติ ถ้าประเภทนี้ตายแล้วลงนรกยาก โอกาสลงนรกนี่ยากจริงๆ เพราะว่าจิตไปจับทุกวันจิตเกาะอยู่ จิตต้องเกาะอยู่ ที่นี่เขาถือว่าเป็นฌาน

ถวาย ข้าวพระพุทธรูปพอถึงเวลา เราจะให้อะไรนะ หาอะไรไปถวายใช่ไหม ถวายข้าวพระพุทธรูป พระสงฆ์ถึงเวลาเราจะถวาย จิตมันคิดเสมอ นึกถึงพระสงฆ์ที่เราจะถวาย เป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธรูป เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน และนึกไว้เป็นประจำวันนี่ก็เป็นฌานด้วย นี่อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง ไม่งั้นก็เป็นพรหมเลย ถ้าบังเอิญคนที่ถวายประเภทนั้นเขาเกิดไม่นิยมร่างกาย เมื่อใกล้จะตาย พอป่วยแล้วเจ็บโน่น ปวดนี่รำคาญ ขึ้นมา เอ๊ะ..นี่ร่างกายเลวๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก ไปนิพพานทันทีเหมือนกัน นิพพานนี่ไปไม่ยาก ถ้าฉลาดนี่ไปไม่ยาก

ผู้ถาม : แค่เบื่อร่างกายตัวเดียวหรือครับ?

หลวงพ่อ : ก็เขาตัดตัวเดียวคือ สักกายทิฏฐิไง

ผู้ถาม : อ๋อ...ไม่ต้องไปไล่ตัวอื่นหรือครับ?

หลวง พ่อ : โอ้ย...ไปไล่นะซวย มันเหนื่อย การบรรลุมรรคผลน่ะเขาไม่ได้ไล่ตามลำดับหรอก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระอริยเจ้านะมี ๔ อันดับ พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ส่วนใหญ่จริงๆ ฟังเทศน์ พระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นอรหันต์ทันทีเยอะแยะ เห็นไหมล่ะ ตามพระสูตรที่เรียนมานะ บางท่านก็ติด แหงแก๋แค่พระโสดาบัน อย่างพระอานนท์นี่ ล่อพระโสดาบันซะเกือบ ๔๐ ปี ปี้ดป๊าดทีเดียวไปเป็นปฏิสัมภิทาญาณเลย และเก่งมากด้วย ใช่ไหม ก็มีหลายท่านอยู่ปุ๊บปั๊บเป็นอรหันต์ กันเป็นแถวๆ อย่างลูกศิษย์ของพระสารีบุตร เป็นอรหันต์หมดใช่ไหม ก็เยอะแยะไป ไม่จำเป็นต้องบรรลุตามลำดับ ชื่อของพระอริยะ ขั้นของพระอริยะมี ๔ ขั้นจริง แต่ไม่จำเป็นต้องบรรลุตามขั้น นี่การปฏิบัติพระกรรมฐานขอทุกคน ถ้าหวังตามขั้นก็โง่เต็มที นี่การปฏิบัติจริงเขาไม่หวังตาม ขั้นหรอก อันดับแรกสุด ถ้ากำลังเราไม่มั่นใจแน่นอนต้องยึดอารมณ์พระโสดาบันก่อน ถ้าได้ไอ้นี่แล้วก็จับพระอรหันต์ทันที
ผู้ถาม : อ๋อ...ตีข้ามกระโดดไปเลย
หลวง พ่อ : ไม่กระโดด นั่งเฉยๆ ตามแบบจริงๆ ท่านก็แนะนำแบบนั้น อย่างท่านพุทธโฆษาจารย์ ที่รจนาวิสุทธิมรรค ท่านก็บอกไว้ตรงว่า “บุคคลใดถ้าถึงพระโสดาบันในที่นั่งใด ให้ทำจิตเข้าถึงอรหันต์ใน ที่นั่งนั้นทันที” คือว่าไม่ยากอรหันต์นี่ แค่ไม่ต้องการร่างกายเท่านั้นล่ะ ถ้าไม่ต้องการจริงๆ ก็เป็นอรหันต์ ตัดตัวเดียวคือการตัดกิเลสจริง เขาตัดสักกายทิฏฐิ ที่พระไปถามพระสารีบุตรว่า "ผมเป็นปุถุชน จะเป็นพระโสดาบันเป็น อย่างไร" ก็พิจารณาร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ใช่ไหม เป็นสกิทาคามีล่ะ ก็ไอ้ตัวนี้ถ้าละเอียด ก็เป็นสกิทาคามี ถ้าผมจะเป็นอนาคามี ก็ปฏิบัติไอ้ตัวนี้จิตละเอียดลงไปอีก เบื่อหน่ายร่างกายก็เป็นอนาคามี ต้องการเป็นอรหันต์ก็ไอ้ตัวนี้ ถ้าจิตวางเฉยได้ก็เป็นอรหันต์ พระองค์นั้นก็แน่เหมือนกัน ถามอีกว่าเป็นอรหันต์แล้วไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม พระขี้เกียจนี่ พระสารีบุตรบอก ไม่ใช่ คือพระอรหันต์ทำเป็นปกติเพื่อความเป็นอยู่เป็นสุข..

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

รักพระนิพพาน หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม

รักพระนิพพาน
หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม

ผู้ถาม :- กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกรักพระนิพพานมาก ก่อนนอนชอบภาวนาว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง แต่ทำสมาธิไม่ดีเลย อย่างนี้ลูกจะไปนิพพานได้ไหมคะ ?

หลวงพ่อ :- คำว่า สมาธิ นี่มันจำเป็น แต่คนถามไม่รู้จักตัวสมาธิ ไอ้ตัวสมาธิเขาแปลว่าตามนึกถึง ถ้านึกถึงนิพพาน เขาเรียกว่าอุปสมานุสสติกรรมฐาน ทีนี้ถ้านึกถึงพระนิพพานอย่างเดียว เรารักพระนิพพาน ภาวนาว่า นิพานัง ปรมัง สุขัง บ้าง นิพพานสุขัง บ้าง นิพพานัง สุขัง บ้าง แต่ว่าก็ต้องดูอารมณ์ใจ ฝึกไว้อีกส่วนหนึ่ง คนที่จะไปนิพพานได้ต้องไม่ห่วงร่างกาย อันนี้ต้องฝึกไว้ด้วยนะ ต้องฝึกไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายมันเป็นสภาพของความทุกข์ ที่เรามีความทุกข์เกิดขึ้นทุกอย่าง

๑. ความหิว ถ้าเราไม่มีร่างกายมันก็ไม่หิว มันหิวเพราะมีร่างกาย
๒. หนาวเกินไป ร้อนเกินไป ก็เพราะร่างกาย
๓. ป่วยไข้ไม่สบาย ก็เพราะร่างกาย
๔. ต้องมีงานหนัก ก็เพราะร่างกาย
๕. การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ก็เพราะมีร่างกาย
๖. ความตายมาถึงก็เพราะร่างกาย

ก็ใช้ปัญญาทบทวนไปว่า คนระดับชั้นไหนบ้างที่มีร่างกายไม่ทุกข์ ถ้าเราจะเกิดอีกกี่ชาติ ถ้าเรามีร่างกายอย่างนี้มันก็ทุกข์อย่างนี้ แล้วขึ้นชื่อว่ามีร่างกาย มีขันธ์ ๕ แบบนี้เราจะไม่มีกับมันอีก เราต้องการจุดเดียว คือนิพพาน ทำใจแน่นอนแล้ว ภาวนาว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง ก็ได้ นิพพานัง สุขัง ก็ได้ ต้องคิดอย่างนี้ก่อนแล้วภาวนา คิดแล้วก็ภาวนาต่อไป อย่างนี้ใช้ได้

ถ้าเป็นอย่างนี้เวลาใกล้จะตายจริง ๆ อารมณ์จิตที่เราพิจารณามันจะมารวมตัว มันจะมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในร่างกาย และวางเฉยในร่างกาย จะมีความรู้สึกว่า การตายมีความสุขกว่า อย่างนี้ก็ไปนิพพาน

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558

ชายเจ้าชู้ถูกฆ่าตายไปสำนักพระยายมราชแล้วไปเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 82 หน้า 192 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

ชายเจ้าชู้ถูกฆ่าตายไปสำนักพระยายมราชแล้วไปเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์
คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 82 หน้า 192 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

     "..วัน ที่ 16 กันยายน 2531 เวลา 6.00 น. วันนี้ท่านลุงพุฒิ นุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนเป็นผ้าไหมสวยมาก ท่านมาตามอาตมาให้ไปที่สำนักงานของท่านเพราะมีเรื่องด่วน อาตมาจึงตามท่านลุงไป พอไปถึงท่านพระยายมราชก็เข้าประจำที่ ท่านเรียกชายคนหนึ่งเข้ามา ขอสมมติว่าชื่อนายจันทร์ การสอบสวนคนนี้แปลกเพราะไม่ผ่านเจ้าหน้าที่สอบสวน ท่านลุงเรียกมาหาท่านโดยตรงคงจะเป็นเพราะเวลามีน้อย ชายคนนี้ผอมหน้าตาซีดเซียว ท่าทางอิดโรยมาก ตอนหลังการสอบสวนแล้วชายผู้นี้ทำภาพเมื่อเป็นมนุษย์ให้ดู เป็นชายล่ำสัน ผิวเนื้อสองสีค่อนข้างขาว มีขี้แมลงวันขนาดเล็กมากอยู่ระหว่างคิ้วทั้งสอง แต่ใกล้คิ้วขวามาก เรื่องไฝหรือขี้แมลงวันใกล้คิ้วขวานี้เป็นสัญลักษณ์บอกว่า เป็นคนที่ได้รับความเมตตาจากผู้หญิงมาก ตามีเสน่ห์หรือมองหญิงแล้วหญิงงงทุกราย ชายคนนี้ก็มีกรรมอย่างนี้เหมือนกัน เธอตายเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2531 บ้านอยู่อีสานแต่มาทำงานกรุงเทพฯ ตายเพราะอุบัติเหตุคือ ถูกตียัดกระสอบตาย เพราะความมีเสน่ห์ของเธอ ปกติสาวชอบมาหา เธอก็เมตตาทุกราย

     และ ที่เหตุร้ายเกิดขึ้นถึงตายก็เพราะไปยุ่งกับสาวคือ เมียของนายเข้าถึงต้องตายและศพก็ถูกยัดใส่กระสอบฝังดินกลางทุ่งนา ไกลตาคนไปพบเห็น เสน่ห์มากก็มีภัยอย่างนี้ อาตมาถามเธอว่า "ทำไมทำรุ่มร่ามอย่างนี้" เธอตอบว่า "เห็นใจหญิงเธอมีความต้องการ ถ้าไม่ได้ตามความประสงค์เธอก็กลุ้ม" ถามว่า "เข้ามากรุงเทพฯ ทำงานอะไร" เธอตอบว่า "ทำทุกประเภท ก่อนตายทำงานรับจ้างเป็นงานก่อสร้าง นายเธอไม่ใช่ผู้รับเหมาแต่รับช่วงของงานมา เห็นจะเป็นหัวหน้าหน่วยงาน นายเอาเธอไปใช้ที่บ้าน เห็นทำงานคล่องและสุภาพเรียบร้อย ความสุภาพและงานดีทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ หญิงในบ้านทุกคนเมตตามีความสุข ในที่สุดเมียนายก็เมตตาด้วย เป็นเหตุให้ได้เงินใช้มากขึ้นเพราะเมียนายเมตตานี่เอง ในที่สุดก็กลายเป็นผี"

     เมื่อ ท่านลุงเรียกเข้าไป รูปร่างหน้าตาของเธอเลอะเทอะเหมือนถูกทูบตีแบบยับเยิน ท่านลุงถามว่า "เอ็งชอบไปยุ่งกับลูกเขาเมียเขาใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่" ท่านลุงถามว่า "ทำไมถึงทำเช่นนั้น" เธอตอบว่า "เห็นใจหญิง เมื่อเธอมาหาแล้วก็ไม่อยากให้เธอผิดหวัง" ท่านลุงบอกว่า "เอ็งมีบาปแต่เวลาเอ็งไปฝึกกรรมฐาน เอ็งบอกให้ข้าเป็นพยานทุกคราว ต่อไปถ้าขอให้ข้าเป็นพยานละก็ จงอย่าทำบาปนะ มันผิดระเบียบของเขา แต่เมื่อให้เป็นพยานก็จะเป็นพยานให้" ท่านพูดต่อไปว่า

ลูกศิษย์ที่ใจบุญแต่เจ้าชู้


     1) เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ ต้นเดือน เอ็งไปรับศีลแปดและปฏิบัติศีลแปดตลอด 3 วันใช่ไหม เธอตอบว่า "ใช่"

     2) เธอถวายสังฆทานถังเล็กถังละ 100 บาท รวม 17 ถังใช่ไหม เธอตอบว่า "ใช่" จากนั้นภาพสังฆทานถังเล็กก็ปรากฎตั้งเป็นแถว

     ท่าน ลุงบอกว่า "เท่านี้พอแล้วเอ็งดีมาก แต่เอ็งทำบาปวันอื่นนอกจากนั้นเล่นกาเมนอกบ้านทุกวัน เอ็งมีบาปมาก เอ็งเคยฆ่าปลา กบ เขียด งู ไก่ โกหกก็เก่ง พบสาวโสดหรือสาวมีผัวรูปร่างต้องใจเมื่อไรเป็นโกหกทุกที กลับมาบ้านยังโกหกเมียอีก ลักขโมยเธอไม่เป็น สุราเมรัยดื่มนิดหน่อยแต่มันก็เป็นบาปเขาต้องเอาลงนรก"

     พอ ท่านลุงพูดจบ เธอทำท่าจะล้ม ท่านลุงเตือนให้ยืนตรง ๆ แล้วบอกว่า "ข้ายังพูดไม่จบเลย ทำท่าจะตายแล้ว ให้พูดจบก่อนซิ" แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า "เมื่อเอ็งให้ข้าเป็นพยานบุญ ข้าก็ต้องเป็นและเบิกความให้ ข้าเป็นพยานให้แล้ว ถวายสังฆทานและรักษาศีลแปดเดือนละ 3 วัน ศีลขาดเดือนละ 27 วัน เจริญกรรมฐานเดือนละ 3 วัน ทำกาเมเดือนละ 27 วัน ไม่เลือกกลางวันหรือกลางคืน ในเมื่อมีอารมณ์เศร้าหมองสลับกับอารมณ์แจ่มใส บุญอย่างนี้ปกติไปอยู่ชั้นนิมมานรดี แต่เพราะศีลขาดมากกว่าศีลดี จิตผ่องใสน้อยกว่าจิตเจ้าชู้ วิมานเอ็งอยู่แค่ดาวดึงส์ เอ็งไปรับผลของความดีก่อนตามกำลังบุญของเอ็งก็แล้วกัน" เมื่อเธอได้ฟังอย่างนั้น รู้สึกว่าร่างกายผ่องใสขึ้นทันที สวยขึ้น ๆ ในที่สุดก็แต่งกายเป็นเทวดาสวยงามมาก ท่านลุงจึงให้เทวทูตนำไปส่งที่วิมานของเธอ

     เมื่อ เสร็จภารกิจของท่านลุงแล้ว ท่านก็มาพูดว่า ที่ท่านไปตามอาตมามาในยามเช้าก็เพราะชายผู้นี้เนื่องกับอาตมาคือเป็นลูก ศิษย์ที่ใจบุญแต่เจ้าชู้.."

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

เรียนเชิญท่านสมาชิกในกลุ่ม ร่วมเป็นเจ้าภาพฉัตรทอง ประดิษฐานบนยอดอุโบสถแก้วกลางน้ำ จำนวน ๑ ฉัตร ในนามคณะชมรมลูกหลานศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดวีระโชติธรรมาราม

เรียนเชิญท่านสมาชิกในกลุ่ม ร่วมเป็นเจ้าภาพฉัตรทอง ประดิษฐานบนยอดอุโบสถแก้วกลางน้ำ จำนวน ๑ ฉัตร ในนามคณะชมรมลูกหลานศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดวีระโชติธรรมาราม
เนื่องด้วยเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ทางหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้แจ้งว่า ฉัตรนั้นมี ๙ ฉัตร ๆ ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ยังขาดเจ้าภาพอีก ๒ ฉัตร
* หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง กล่าวว่าการสร้างเจดีย์และยกฉัตรนั้นมีอานิสงส์สูงมากแม้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็จักสำเร็จได้ในอนาคต
ดังนั้นทางอาตมาภาพพร้อมคณะศิษย์พร้อมกับคณะชมรมลูกหลานศิษย์ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน" จึงขอร่วมเป็นเจ้าภาพ ๑ ฉัตร
จึงขอเชิญชวนทุกท่านในกลุ่มร่วมเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ตั้งแต่ ๑ บาท เป็นต้นไปหรือตามกำลังศรัทธานะ
รวมบุญได้ตั้งแต่วันนี้ รวบรวมถวายปัจจัยในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๘
วัดวีระโชติธรรมาราม
มากน้อยไม่สำคัญขอให้ได้ทำก็เป็นบุญแล้วโยม
ติดได้ที่ คุณเอ็ม https://www.facebook.com/mrangsiya.rangsiya?fref=ts

ใส่บาตรแทนนาย หลวงพ่อ(ฤาษี) ตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๙

ใส่บาตรแทนนาย
หลวงพ่อ(ฤาษี) ตอบปัญหาธรรม
ฉบับพิเศษ เล่ม ๙

ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ หนูเป็นลูกจ้างเจ้านายจะต้องให้
หุงหาอาหารใส่บาตรตอนเช้าเป็นประจำ ถ้าลูกจะอธิษฐาน
ก่อนใส่บาตรโดยสมมุติตัวเองว่าเป็นเจ้าของไม่ทราบว่าลูกควร
อธิษฐานหรือเปล่า คำถวายในใจว่าอย่างไร
หลวงพ่อ : ไม่ต้องอธิษฐานหรอก บุญมันได้เต็มที่อยู่แล้ว
ได้แล้วสมบูรณ์แบบ อธิษฐานอย่างนี้ซิ “ที่ข้าพเจ้าใส่บาตร
อานิสงส์ผลการใส่บาตรนี้น่ะ ขอคำว่าไม่มีจงอย่ามีกับข้าพเจ้า
จนกว่าจะเข้านิพพาน”
ผู้ถาม : ของ ๆ เจ้านายนะครับ ไม่ใช่เป็นเจ้าของเอง
หลวงพ่อ : ของใครก็ช่างเถอะ เราใส่บาตร ไวยาวัจกร
และปิติก็ไม่เสมอกันนายอยู่ในบ้าน เราเห็นพระเรามีธรรมปิติมากกว่า
ได้กำไรมากกว่า นึกว่าต่อไปคราวหน้าไม่ได้ใส่ เจ้านายใส่เอง
เราก็สาธุซะ ยินดีด้วย นี่ยังได้อีก